บทที่435
ผู้แปล : N.
“ แล้วพ่อต้องการให้พวกเขามายืมเงินเราหรือยังไงครับ?” ลูชินได้ถามขึ้นทันทีหลังจากเขาฟังสิ่งที่พ่อของเขาเล่ามาจบลง
“ ไม่ใช้แบบนั้น!” พ่อของเขาได้พูดต่อว่า “ บริษัทโลจิสติกส์ของลุงหยูนั้นเป็นเพียงบริษัทเล็กๆเท่านั้น และบริษัทของพวกเขาเองก็ไม่ได้รับความนิยมมานานแล้ว และตอนนี้ใครๆก็รู้ว่าการทำธุรกิจทุกอย่างมันเกี่ยวกับการจัดการห่วงโซ่อุปทานและพวกอินเทอร์เน็ตทั้งหมด ดังนั้นถึงเราจะให้เงินพวกเขายืมมันก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของพวกเขาให้ดีขึ้นได้”
“ในช่วงก่อนหน้านี้เองลุงหยูของลูกก็ได้มาปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อ เขาต้องการที่จะเลิกทำธุรกิจด้านโลจิสติกส์แล้วไปเริ่มธุรกิจใหม่ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาจะไปทำด้านไหนดี?”
“ และเขาก็ได้รู้ว่าลูกนั้นทำธุรกิจมากมาย ไม่แน่ว่าลูกอาจจะมีทางออกให้กับเรื่องนี้ก็ได้ ดังนั้นเขาจึงฝากพ่อมาถามลูกนะ”
ลูชินที่ได้ฟังแบบนั้นก็พยักหน้าออกมา และพูดขึ้นว่า “นี่เป็นเรื่องดี! เพราะตอนนี้มีอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากที่สามารถทำเงิน แต่ผมไม่รู้ว่าลุงหยูจะต้องการทำมันไหม?”
ด้วยข้อมูลและทรัพยากรที่เขามีอยู่ตอนนี้ การพยายามชี้ช่องทางให้เห็นถึงผู้ประกอบการรายย่อยนั้นไม่ใช้เรื่องยากอะไรเลย
“ จริงเหรอ? งั้นลูกพอจะบอกพ่อได้ไหม?” พ่อของลูชินที่ได้ฟังแบบนั้นก็แสดงสีหน้ายินดีออกมาทันที อาจจะเป็นเพราะการทำงานด้วยกันมาเป็นเวลานาน มันจึงทำให้พ่อของเขานั้นเกิดความผูกพันกับบริษัทขึ้นมาก็ได้
หลังจากก็พูดคุยกันระหว่างพ่อลูกจบลง ลูชินก็ได้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า “พ่อครับ! หลังจากที่พ่อบอกตามสิ่งที่ผมพึ่งพูดมาให้กับลุงหยูเสร็จแล้ว ไม่ว่าลุงหยูจะสามารถคว้าโอกาสนี้ได้ไหมมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเราอีกแล้ว ดังนั้นพ่อเองก็อย่าไปกดดันตัวเองให้มากละครับ “
“โอเค!” พ่อของลูชินที่ได้ฟังแบบนั้นก็พยักหน้าเป็นการเข้าใจ
……
ไม่กี่วันต่อมาที่โรงแรมใหญ่ประจำจังหวัด, หยูหลิง ได้พาลูกชายของเขาและเพื่อนนักธุรกิจบางคนไปยังสถานที่จัดงานก่อนและจองงานเลี้ยง
“พ่อ! มันจำเป็นที่เราจะต้องมาเช้าแบบนี้ด้วยเหรอ? นี้มันพึ่งจะเจ็ดโมงเช้าเองนะ! ไหนพ่อบอกว่าเราจะมาทานอาหารที่นี้กันช่วงเทียงไง!” ลูกชายของหยูหลิงได้ถามออกมา โดยที่เขามีชื่อว่าหยูกัง
เมื่อคืนที่ผ่านมาหยูหลิงได้อธิบายกับเขาว่าวันนี้จะมีแขกคนสำคัญมา และเขาจำเป็นที่จะต้องไปต้อนรับเขา
ดังนั้นวันนี้เขาจึงได้แต่งตัวด้วยชุดอย่างเป็นทางการพร้อมกับสวมแว่นตาสมาร์ทรุ่นทั่วไปของบริษัทลู่เทคโนโลยีอีกเพื่อเสริมความมั่นใจให้ตัวเอง
ในปีนี้เป็นปีที่เขาพึ่งจบจากมหลายลัย และเขาเองก็ภูมิใจกับมหาลัยที่เขาจบมาเป็นอย่างมาก นั้นก็เพราะเขานั้นจบมาจากมหาวิทยาลัยชั้นหนึ่ง มันจึงไม่แปลกใจเลยที่เขาจะมีความเชื่อมั่นในตนเองในระดับสูงแบบนี้ และเขามักจะรู้สึกว่าพ่อของเขามีวิธีการจัดการและการดำเนินงานที่ไม่ “ก้าวหน้า” มาโดยตลอด
ดังนั้นทันทีที่เขาได้เข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัทนี้แทนพ่อ เขาก็ได้เริ่มปฏิรูปตั้งแต่ตัวสินค้าไปถึงด้านโลจิสติกส์ทันที และนั้นเป็นผลให้บริษัทถูกทำลายลงในเวลาน้อยกว่าครึ่งปี
หยูหลิงที่ได้ฟังลูกของตัวเองพูดแบบนั้นก็พูดออกมาด้วยความโมโหทันที: “แกว่าอะไรนะ! แกรู้ไหมว่าลูกชายของเฒ่าลูตอนนี้น่ากลัวแค่ไหน ขนาดผู้ว่าจังหวัดเองยังต้องเกรงใจเขาถึงเจ็ดถึงแปดส่วนด้วยซ้ำเมื่อเจอกัน”
“ถ้าการพบปะกันครั้งนี้เป็นไปด้วยดี ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้รับความช่วยเหลือจากเฒ่าลูก็ได้ และนั้นจะทำให้พวกเราออกจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้อย่างง่ายดาย!”
“ครับ ครับ ครับ พ่อพูดเรื่องนี้มาตลอดทางแล้ว ผมจำได้น่า!” หยูกังทำได้เพียงพูดออกมาเบาๆเท่านั้น
แต่ในใจของเขากลับไม่คิดแบบนั้น เพราะเขาจำได้ว่าเมื่อไม่กี่ปีมานี้ลูกชายของลุงลูนั้นเคยทำงานพาสทามที่บริษัทของพ่อเขา และเขายังเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยอันดับต่ำๆเท่านั้น แต่เมื่อมาตอนนี้สิ! ลูกชายของลุงลูนั้นกับประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เขาได้ก่อตั้งบริษัทที่สามารถทำกำไรได้มากกว่าพันล้านหยวนต่อเดือน เขายังสร้างบ้านพักต่างอากาศขนาดใหญ่ให้กับครอบครัว และล่าสุดนี้เขายังจัดซื้อเครื่องบินส่วนตัวอีกด้วย
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มันก็ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าลูกชายของลุงลูนั้นสามารถทำเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้ยังไง?
ยิ่งกว่านั้นเขาไม่คิดว่าลุงลูนั้นจะสามารถช่วยได้ เพราะประการแรกคือลูกชายของเขาอาจไม่เต็มใจที่จะช่วยเหลือ
เพื่อนในธุรกิจของหยูหลิงที่มาพร้อมกันก็ได้ถามขึ้นว่า “หยูหลิง! นายพูดจริงเหรอ?”
“ ใช้! เฒ่าลูรับปากแล้วว่าจะมาวันนี้” หยูหลิงที่พูดมาถึงตรงนี้ก็ได้มองออกไปข้างนอกแล้วพูดขึ้นว่า “ ดังนั้นตอนนี้เราแค่รอเท่านั้น”
ลูหยูนนั้นมาตรงเวลาเป็นอย่างมาก หลังจากที่รถได้แล่นมาจอดยังที่ลานจอดรถของโรงแรมแล้ว พวกหยูหลิงก็ได้ออกไปตอนรับเป็นการส่วนตัว
ทันทีที่เขามาถึงที่จอดรถหยูหลิงก็เห็นว่ารถที่เฒ่าลูขับมานั้นเป็นยี่ห้อที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และตัวของเฒ่าลูเองก็ไม่ได้นั่งตรงคนขับด้วย
“นี้มันรถยี่ห้ออะไรกัน?” ช่วงนี้เขาไม่ได้เข้าเวยเป๋อมาซักพักก็ไม่แปลกที่เขาจะไม่รู้จักตัวรถไร้คนขับ และยี่ห้อของบริษัทแพนแพนออโต้โมทีฟ
“ ฮาฮาฮา เฒ่าลู! นายยังคงมาตรงเวลาเหมือนเดิมนะ” หยูหลิงได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ฮาฮาฮา! มันติดเป็นนิสัยไปแล้วนะ” ลูหยูนเองก็พูดกลับว่า “เฒ่าหยู! นายเองก็ควรจะหาเวลาออกกำลังกายบ้างนะ ไม่อย่างนั้นพวกโรคต่างๆได้ถามหานายแน่นอน”
“อ่า! ฉันเองก็ออกกำลังทุกวันนะ แต่หลังจากนั้นฉันก็กินมากขึ้นตามไปด้วยนี้สิ!” พูดถึงตรงนี้หยูหลิงก็หยุดไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอีกว่า “เราอย่าไปพูดเรื่องนั้นเลย! เรามาดื่มไวน์ดีๆที่ฉันสั่งเอาไว้ดีกว่า”
ในห้องส่วนตัวอันหรูหราของโรงแรม ได้มีกลุ่มคนรอพวกเขาทั้งคู่อยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับลุงลู” ยูกังได้ยืนขึ้นและพูดทักทายคนที่เดิมมาพร้อมกับพ่อของเขาอย่างสุภาพ
“สวัสดี” เพื่อนร่วมงานหลายคนของหยูหลิงเองก็ได้ยังพูดสวัสดีออกมา ถ้าเป็นในอดีตคนเหล่านี้ถือว่าเป็นใหญ่ในจังหวัดเลยก็ว่า พวกเขาต่างก็มีมีทรัพย์สินจำนวน
ดังนั้นการแสดงออกที่พวกเขาแสดงออกมานั้นจึงแปลกๆไปบ้าง เพราะในอดีตคงเป็นลูหยูนที่เป็นคนทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้พวกเขากลับต้องเป็นคนทำมันแทน
“สวัสดี” ลูหยูนนั้นชอบความรู้สึกนี้ เราะมันทำให้เขารู้สึกว่ามีคุณค่า !
“ เอาละ! แขกก็มาแล้ว งั้นพวกเราก็เริ่มงานกันเถอะ!” หยูหลิงได้พูดเปิดงานอย่างเป็นกันเองทันทีที่เขานั่งลง
หลังจากสามรอบของการดื่ม หยูหลิงก็ได้เปลี่ยนหัวข้อที่พูดอยู่ตอนนี้ไปที่บริษัทของเขาแทน เขาถึงกับถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “ฉันทำธุรกิจนี้มาหลายสิบปีแล้ว และเมื่อฉันได้เกษียณออกมาก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ขึ้น “
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ยูกังก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะพูดว่า “พ่อ! ผมจะจำบทเรียนนี้ได้เอาไว้และจะพยายามหาเงินมาคืนให้พ่อให้ได้ในอนาคต!”
“แล้วแกจะทำเงินได้ยังไง? ฉันได้ย้ำเตือนแกมาตลอดว่าการทำธุรกิจนั้นไม่เหมือนกับการเรียนหนังสือหรือความรู้ตามหนังสือชวนเชื่อพวกนั้น!” หยูหลิงเองก็ได้ใช้โอกาสนี้สอนลูกชายของตัวเองโดยตรง “ถ้าแกฟังฉันก่อนหน้านี้ แกคงไม่หลงกลแบบนี้หรอก! “
“ผมรู้! ดังนั้นผมจะไปข้อกู้เงินจากธนาคารและมาเริ่มต้นธุรกิจใหม่!” หยูกังได้พูดออกมาด้วยความอับอาย
“ แล้วแกจะเอาอะไรไปค่ำกัน!” หยูหลิงได้ส่ายหัวของเขา ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นว่า “ แกสามารถกู้เงินได้หรือไงถ้าไม่มีอะไรเป็นหลังประกัน? หรือว่าแกมีเครดิตที่ดีต่อธนาครากัน”
“บริษัทของเรานั้นเป็นบริษัทเล็กๆ ในเรื่องชื่อเสียงนั้นบริษัทของเราแทบจะไม่มีเลย แล้วแบบนี้แกจะเอาอะไรไปใช้ได้กัน”
หยูกังที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้หยุดพูดทันที
“เฒ่าลู! ฉันได้ยินมาว่าลูกชายของนายนั้นมีความสามารถมาก นายพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม” ไม่ใช้หยูหลิงที่ถามคำถามนี้ออกมา แต่เป็นเพื่อนร่วมงานที่ชื่อว่าเฟิงเจิง เขาเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นส่วนของบริษัทโลจิสติกส์นี้ โดยที่เขามีหุ่นอยู่ถึง 5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ลูหยูนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ทำเพียงจิบไวน์แดงเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ในความคิดของฉันบริษัทโลจิสติกส์ของพวกคุณนั้นไม่ควรทำอีกต่อไป เพราะอีกไม่นานแล้วธุรกิจประเภทนี้จะต้องถูกกลืนกินด้วยกาลเวลาอย่างแน่นอน มันขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น”
หลังจากที่ลูหยูนพูดจบลง มันก็ทำให้เฟิงเจิงและคนอื่นๆที่อยู่ร่วมโต๊ะนี้ต่างก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เมื่อพวกเขาได้คิดย้อนกลับไปในช่วงสิบปีที่แล้ว พวกเขานั้นเป็นถึผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ แต่ลูหยูนกับเป็นเพียงพนักงานตัวเล็กๆเท่านั้น นี้เป็นเรื่องที่ยากที่พวกเขาจะยอมรับได้!
“พวกคุณต้องรู้ว่าโลจิสติกส์ปัจจุบันนั้นกำลังก้าวไปสู่ระดับใหม่แล้ว โดยการจัดการที่ชาญฉลาดโดยอินเทอร์เน็ต ถ้าพวกคุณยังไม่ทำการปรับเปลี่ยนมันตอนนี้ พวกคุณจะไม่มีความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทอื่นๆอย่างแน่นอน! “ลูหยูนได้พูดคำที่ลูชินได้พูดกับเขาก่อนหน้านี้ออกมาทั้งหมด