“ใคร? ใครเป็นคนถีบข้า!”
ผางอานคางถูกถีบจนเดินเซโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อทรงตัวได้ก็หันกลับมามองทันที
“เซวฟู่ยี่เหรอ?! คุณกล้าดีอย่างไงถึงไม่ถีบผม?”
เมื่อมองไปที่เซวฟู่ยี่ ใบหน้าของผางอานคางก็เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ยังมีแววตาที่หวาดกลัวเล็กน้อย
ผัวะ!
เพียงแต่ว่า เซวฟู่ยี่ไม่ได้รีรอ เขาเข้าไปและตบหน้าอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “แล้วแกคิดว่าแกเป็นใคร? กล้าดียังไงถึงมาพูดจาแบบนี้กับข้า?”
“เซวฟู่ยี่ นี่คุณ……”
ผางอานคางชายร่างกำยำผู้น่าสงสารคนนี้ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเซวฟู่ยี่จะกล้าลงมือทำร้ายเขา จึงได้แต่อึ้งอยู่กับที่
แต่ผางอานคางยังไม่ทันได้พูด เซวฟู่ยี่ก็ตบใส่เขาอีกครั้ง
แต่ว่า ครั้งนี้ผางอานคางรู้ทัน จึงยกมือบังไว้ทันเวลา
“คุณอะไร? ขนาดแขกที่ตระกูลเซวเชิญมานายยังกล้ารังแก เป็นเพราะข้าไม่ได้ออกงานนานเกินไปใช่ไหม นายถึงไม่เห็นหัวข้าแบบนี้?!”
วินาทีต่อมา เซวฟู่ยี่ก็ถีบใส่เขาแรงๆ อีกที
ผางอานคางถูกถีบจนเดินโซเซถอยหลังออกไป ในที่สุดเขาไม่สามารถประคองตัวได้และล้มลงกับพื้นแรงๆ
“เขาเป็นแขกของตระกูลเซวของพวกคุณงั้นเหรอครับ?”
ในเวลานี้ เขาเริ่มตั้งสติได้ และสีหน้าก็ซีดเซียวทันที
“แล้วมัวชักช้าทำไม? ยังไม่รีบขอโทษพี่เย่อีก!”
เซวฟู่ยี่ไม่หยุดเพียงแค่นี้ และยังตะคอกใส่ผางอานคางด้วยความเย่อหยิ่ง
ผางอานคางถึงกับตากระตุก ในใจรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมมาก ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนที่ถูกทำร้าย แต่เขายังต้องขอโทษเอง?
“ขอ ขอโทษครับ”
เมื่อนึกถึงอำนาจของตระกูลเซวแล้ว เขาก็ต้องยอมขายหน้า และจำใจต้องพูดคำขอโทษออกจากปากของเขาเอง
ตระกูลผางเป็นตระกูลที่แทบจะไม่มีสิทธิ์ยืนอยู่ในกลุ่มอำนาจสูงสุดด้วยซ้ำ แต่ตระกูลเซวนั้นเป็นถึงกำลังสำคัญของเหล่าตระกูลที่มีอำนาจสูงสุด แล้วถ้าเกิดมีการปะทะกัน ฝ่ายที่จะเสียเปรียบจะเป็นตระกูลผางอย่างไม่ต้องสงสัย
และนี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเซวหมานจื่อถึงไม่กล้าขวางเย่เทียนตั้งแต่ตอนที่อยู่สนามบิน
สิ่งแรกก็คือความสัมพันธ์ระหว่างหยุนเหมิงหยาน ส่วนเรื่องที่สอง เขาไม่เคยต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลผางเลยด้วยซ้ำ
แต่ผางอานคางจะรู้ได้อย่างไงว่าเซวหมานจื่อกำลังคิดอะไรอยู่ ในตอนแรก เขาคิดว่าเซวหมานจื่อไม่อยากยุ่งด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากล้าหาเรื่องแก้แค้นเย่เทียน
“นายพูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน!”
แต่ทว่า เซวฟู่ยี่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร เขาจึงขมวดคิ้วแล้วแสยะยิ้มออกมา
เมื่อผางอานคางได้ยินเช่นนี้ เขาถึงกับกำหมัดไว้แน่นๆ จนกระทั่งเล็บแทบจะทิ่มเข้าไปในผิวหนัง
แต่เขารู้อยู่แก่ใจ ถ้าเขาทำให้เรื่องมันใหญ่ไปมากกว่านี้ เรื่องคงไม่จบด้วยการขอโทษง่ายๆ อย่างแน่นอน บางทีอาจถึงขั้นขายหน้าไปถึงพ่อของเขาเลยด้วยซ้ำ
“ขอโทษครับ!”
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ผางอานคางก็ตะโกนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เขารู้สึกเพียงใบหน้าร้อนไปทั้งใบ และเขาแทบอดไม่ได้ที่จะมุดเข้าไปในดินแล้วหายตัวไปทันที
“ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก?”
เซวฟู่ยี่พยักหน้าดัวยความพอใจ และเตะใส่ผางอานคางอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน! ผู้หญิงของคุณยังไม่ได้จ่ายเงินให้ผมเลยนะ! ”
ผางอานคางได้แต่ระงับความโกรธในใจ แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกไปนั้น เสียงอันเย็นชาของเย่เทียนก็ดังขึ้นข้างหูเขา
“ในบัตรใบนี้มีอยู่สามแสน รหัสคือหกหกตัว”
ผางอานคางโกรธมาก แต่ไม่กล้าแสดงอาการใดๆ เขาแค่อยากออกไปจากที่ที่ทำให้เขาขายหน้าให้เร็วที่สุด จึงหยิบบัตรเครดิตออกมาจากกระเป๋าอย่างรวดเร็วแล้วโยนมันออกไปและพูดว่า “ส่วนที่เหลือ ถือว่าแทนคำขอโทษก็แล้วกันครับ!”
เมื่อพูดจบ เขาก็รีบลุกขึ้นและเดินออกไปทันที
“เหอะๆ!”
เย่เทียนก็ถึงกับอึ้งไปสักพัก ถ้าจำไม่ผิด กำไรข้อมือที่ทำจากเพรชเส้นนั้นน่าจะแค่แสนกว่าเท่านั้น? แต่ตอนนี้ได้กำไรมาแสนห้า? เงินนี้มันจะหาง่ายไปหน่อยหรือเปล่า?
“พี่เย่ครับ แบบนี้พี่พอใจแล้วยังครับ?”
เซวฟู่ยี่เดินเข้ามาและยิ้มถามเย่เทียน
“อัดคนแล้วแถมยังได้เงินอีก ถามจริงมีอะไรที่จะดีกว่านี้ไหม?”
เย่เทียนหยักไหล่และถามด้วยความสงสัยว่า “คุณทำกับผางอานคางแบบนี้ มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ! ผมไม่ชอบขี้หน้าไอ้หมอนั่นตั้งนานแล้วครับ ครั้งนี้ถือว่าได้จัดการมันสักทีครับ!” เซวฟู่ยี่หัวเราะ
เย่เทียนหัวเราะออกมาดังๆ “คุณมันเอาแต่ใจจริงๆ เลยนะ!”
“ฟู่ยี่”
ในตอนนี้ จี้เยียนหรันก็รู้สึกตัว แม้เธอจะงงว่าเซวฟู่ยี่มาที่นี่ได้อย่างไร แต่เธอก็พอเดาได้ว่าคงเป็นฝีมือเย่เทียน
“พี่เยียนหรันครับ”
ในขณะนั้นเอง เซวฟู่ยี่ก็มองไปที่จี้เยียนหรัน แต่เมื่อเขาเห็นสาวคนนี้ยังจับชายเสื้อของเย่เทียน สายตาของเขาก็กลายเป็นการหยอกล้อทันที
เมื่อเห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของเซวฟู่ยี่ ใบหน้าของจี้เยียนหรันก็แดงขึ้นมาทันที เธอจึงรีบปล่อยมือออกแล้วพูดว่า “คุณมาที่นี่ได้ไง?”
เซวฟู่ยี่ก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “พี่ชายผมกลัวพวกคุณจะไม่คุ้นเคยกับเมืองจิน ก็เลยให้ผมมาพาพวกคุณทัวร์ครับ”
“อ้วน นายมาได้ไง?”
ในขณะนี้ หยุนเหมิงหยานก็เดินออกมาจากข้างหลัง และเจอกับเซวฟู่ยี่พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเซวฟู่ยี่ได้ยิน สีหน้าก็บูดบึ้งทันที จากนั้นพูดอย่างขมขื่น “พี่เหมิงหยาน ในที่สาธารณะ มีคนเยอะแยะแบบนี้ พี่อย่างเรียกชื่อเล่นของผมได้ไหมครับ?”
“แล้วจะเป็นไรไปล่ะ? เดี๋ยวนี้ปัญหาเยอะขึ้นแล้วนะ?”
น่าเสียดายที่หยุนเหมิงหยานไม่ได้สนใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “หรือว่า นายคันเนื้อคันตัวอีกแล้ว?”
“ไม่มีปัญหาครับ! ผมไม่กล้ามีปัญหาครับ!”
เซวฟู่ยี่ยอมรับความขี้ขลาดของเขา พร้อมกับหัวเราะและพูดอย่างขมขื่นว่า “พี่เหมิงหยานครับ ผมผิดไปแล้ว งั้นเอาเป็นว่า ถ้าพี่อยากได้อะไรในร้านนี้ พี่หยิบเอาได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจ่ายเอง ถือว่าแทนคำขอโทษของผมนะครับ!”
ซึ่งต่างจากเซวหมานจื่อมาก เพราะเขาไม่ได้เป็นทหาร และในฐานะทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง เขาคุ้นชินกับการที่กลั่นแกล้งคนไปทั่ว โดยเฉพาะครั้งแรกที่เซวหมานจื่อพาหยุนเหมิงหยานกลับมาบ้าน เซวฟู่ยี่ก็เคยมีเรื่องกับเธอแล้ว
ต่อมาหลังจากถูกหยุนเหมิงหยานเล่นงานจนเข็ด และพี่ชายยังตำหนิเขาแบบนี้ ทำให้เขาไม่กล้าดูถูกหยุนเหมิงหยานอีกเลย และยังคิดในใจว่าเขาจะไม่กล้ามีเรื่องกับพี่สะใภ้คนนี้อีกเป็นอันขาด
“คุณผู้ชายคะ ไม่ทราบว่าคุณจะเอาสร้อยข้อมือเส้นนี้อยู่หรือเปล่าคะ?”
โชคดีที่ตอนนี้มีพนักงานขายเดินมาถามพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เอาสิ! เอาแน่นอนอยู่แล้ว!”
เย่เทียนยื่นบัตรเครดิตที่ไดัรับเมื่อครู่นี้ออกไปพร้อมกับยิ้มพูดว่า “รบกวนช่วยเก็บสร้อยข้อมือใส่กล่องด้วยนะครับ ส่วนการ์ดใบนี้ผมเชื่อว่าคุณรู้รหัสมันแล้วนะ”
แต่เดิมก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินอยู่แล้ว แถมตอนนี้ยังมีคนช่วยจ่ายเงินอีก แล้วเรื่องอะไรที่จะไม่เอาล่ะ?
“ได้ค่ะ รบกวนรอสักครู่นะคะ”
พนักงานรีบรับบัตรเครดิตมาแล้วนำไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์
สุดท้ายแล้วหยุนเหมิงหยานก็ไม่ได้ใช้เงินของเซวฟู่ยี่ เมื่อเจอกับเรื่องนี้ สาวทั้งสองก็ล้มเลิกความคิดที่จะเดินเที่ยวต่อ จากนั้นตรงขึ้นไปชั้นบนสุดและเข้าไปทานมื้อค่ำในร้านอาหารตะวันตกร้านหนึ่ง
ซึ่งการตกแต่งของร้านอาหารทางตะวันตกมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก ทั้งร้านปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์สีเขียนที่ทำจากพลาสติก โต๊ะและเก้าอี้ต่างก็เป็นวัตถุดิบจากไม้ที่สวยงาม ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในป่าจริงๆ และทำให้คนรู้สึกสบายใจทันทีที่เข้ามา
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ร้านอาหารทางตะวันตกนี้จึงมีคนเยอะเป็นพิเศษ และทั้งสี่คนก็หาโต๊ะที่ติดกับหน้าต่าง
“พี่ชายคุณเป็นยังไงบ้าง? ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เมื่อสั่งอาหารเสร็จ เย่เทียนก็ถามเซวฟู่ยี่
“แกไม่น่าเป็นไรหรอกครับ พ่อผมแค่จู้จี้จุกจิกไปหน่อย คงต้องใช้เวลาสามถึงห้าชั่วโมงกว่าจะยอมปล่อยเขา”
เซวฟู่ยี่ส่ายหัวไปมาและพูดตรงๆ “ผมแค่สงสารพี่ชายผม ทั้งๆ ที่ตัวใหญ่เท่าควาย แต่กลัวจนถึงขั้นไม่กล้าหายใจเสียงดังต่อหน้าพ่อผม……”
“ไอ้อ้วน ดูนายช่างกล้าพูดจริงๆ เลยนะ!”
ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค หยุนเหมิงหยานก็หัวเราะขึ้นมา “นินทาพี่ชายต่อหน้าฉันแบบนี้ ไม่กลัวกลับไปแล้วได้เรื่องเหรอ?”
“อย่า อย่า อย่า! พี่เหมิงหยาน ผมผิดไปแล้ว ปล่อยผมไปเถอะนะ!”
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาก็คือนายน้อยคนที่สองของตระกูลเซว ดังนั้นเขาจะทำตัวเย่อหยิ่งยังไงก็ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนเหมิงหยานผู้ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของเขาในอนาคต เขาจึงต้องกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดังต่อหน้า!