แม้ว่าแขกที่มารับประทานอาหารที่ร้านเป็นจำนวนมาก แต่ทางร้านก็ยังเสิร์ฟอาหารไวเหมือนกัน เย่เทียนและคนอื่นคุยพูดคุยกันได้สักพัก อาหารและเครื่องดื่มที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟหมดแล้ว
เนื่องจากเซวฟู่ยี่ทานอาหารมาแล้ว เขาจึงสั่งมาแค่กาแฟมาแก้วเดียว และนั่งพูดคุยกับคนในโต๊ะอาหารเพื่อจะได้ไม่น่าเบื่อ
แต่ไม่รู้ว่าทำไม เย่เทียนถึงรู้สึกว่าสายตาของเซวฟู่ยี่ที่มองมาที่เขานั้นแปลกๆ เหมือนมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดกับเขา
ทันใดนั้น เพลงที่เปิดในร้านก็ค่อยๆ เบาลงและหยุดไป และเปิดไฟสปอตไลท์ขึ้นมา
ไฟสปอตไลท์ที่เปิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในร้านต่างพากันสนใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และทุกคนก็มองไปที่ชายคนที่ถูกไฟสปอตไลท์ส่องประกาย
เป็นชายที่ใส่ชุดสูทสีขาว และยังมีใบหน้าที่หล่อเหลา พร้อมกับร่างกายที่สมส่วน ราวกับเจ้าชายที่ขี่ม้าขาว
“เกิดอะไรขึ้น?”
เย่เทียนขมวดคิ้ว เขารู้สึกคุ้นเคยกับชายในสูทสีขาวนี้มาก พอนึกสักพักแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน
“พี่เย่ครับ ก่อนหน้านี้ผมก็อยากมากับพวกคุณ”
เซวฟู่ยี่ส่ายหัวไปมา พร้อมหัวเราะอย่างขมขื่นและพูดว่า “อันที่จริงแล้ว ร้านอาหารนี้เป็นร้านของเย่ย่งเล่อ”
เย่เทียนถึงกับอึ้งและมองไปที่ชายในชุดสูทสีขาว และเขาก็พบว่าชายคนนั้นก็คือเย่ย่งเล่อ!
ก่อนหน้านี้ในวันเกิดของเฉินชังไห่ เย่ย่งเล่อมาพร้อมกับการแต่งตัวที่เหมือนยาจก แต่ในวันนี้เขากลับมาแบบทางการแบบนี้ ซึ่งทำให้คนมองเขาไม่ออกจริงๆ
เหมือนดั่งสุภาษิตที่ว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง!
“ว่ากันว่า ร้านนี้เป็นร้านแรกที่เย่ย่งเล่อบริหาร ฉะนั้นเขาจึงผูกพันกับร้านนี้เป็นอย่างมาก และเมื่อมีเวลาว่าง เขาจะมาเล่นเปียโนที่นี่บ่อยครั้ง”
เซวฟู่ยี่จิบกาแฟพร้อมกับอธิบายว่า “ผมจะเตือนพวกคุณตั้งแต่แรกแล้ว แต่พวกคุณดันเดินเข้ามาก่อน ผมก็เลย……”
“เขาคนนั้นคือเย่ย่งเล่อเหรอ? หล่อจัง!”
หยุนเหมิงหยานเงยหน้าขึ้นมองและถามเย่เทียนด้วยความสงสัยว่า “แล้ว เย่ย่งเล่อเป็นน้องชาย? หรือพี่ชายของคุณ?”
เย่เทียนหยักไหล่และพูดอย่างเฉยเมยว่า “เป็นน้องชายลูกพี่ลูกน้อง”
“สวัสดีครับทุกท่าน ผมคือเจ้าของร้านนี้ ชื่อเย่ย่งเล่อครับ”
เย่ย่งเล่อทักทายทุกคนก่อนพร้อมกับยิ้มและพูดอย่างสุภาพว่า “เป็นเกียรติมากที่ทุกท่านได้มารับประทานอาหารที่ร้านอาหารกรีนไลท์ ”
ในระหว่างที่กำลังพูดอยู่นั้น ดวงตาอันลึกล้ำของเย่ย่งเล่อก็ได้มองไปรอบๆ และหลังจากที่เห็นเย่เทียน รูม่านตาของเขาก็หดลง เขาไม่เคยคิดเลยว่าเย่เทียนจะมาที่นี่
แต่สักพัก เขาก็ได้สติกลับมา เขาถือโอกาสนี้ในการมองไปที่จี้เยียนหรันที่นั่งข้างๆ เย่เทียน และอดใจไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มออกมา
เขายังคงมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง เมื่อนึกถึงเรื่องการจีบจี้เยียนหรัน และเห็นถึงสีหน้าความผิดหวังของเย่เทียน เขาก็อดขำไม่อยู่!
แปะ แปะ แปะ!!!
เมื่อเย่ย่งเล่อพูดจบ ผู้คนในร้านก็ต่างพากันปรบมือชื่นชมเขา
“วันนี้ผมมีเพลงบรรเลงพิเศษจากเฟรเดริก ชอแป็ง อยากจะเล่นให้ทุกคนฟัง โดยเฉพาะสาวสวยที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างทางซ้ายมือท่านนั้นครับ”
เย่ย่งเล่อยกสองมือขึ้นมาและกดลงไป หลังจากที่เสียงปรบมือหยุดลง ทุกอย่างเป็นไปตามความตั้งใจ เขาจึงมองไปที่จี้เยียนหรันด้วยสายตาที่อ่อนโยน
“ให้ตายสิ!”
เมื่อเย่เทียนเห็นอย่างนี้ เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที นี่มันเป็นการตั้งใจยั่วยุชัดๆ!
จี้เยียนหรันและคนอื่นๆ ก็ได้สังเกตเห็นสายตาที่มองมาของเย่ย่งเล่อพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย และสีหน้าของทุกคนก็แปลกประหลาดทันที
“โด่เรมี……”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เย่ย่งเล่อยังคงนั่งลงบนเก้าอี้เปียโนอย่างมีสง่า จากนั้นเขาชูนิ้วเรียวยาวเหมือนผู้หญิงขึ้นมาและกดไปที่เปียโนเพื่อทดสอบเสียง
หลังจากทดสอบเสียงแล้ว เย่ย่งเล่อก็หายใจออกยาวๆ และหลังจากการปรับตำแหน่งของร่างกายเสร็จ เขาก็เริ่มบรรเลงเพลง
ในขณะนั้น เสียงเปียโนอันนุ่มนวลค่อยๆ ดังขึ้นในร้านอาหารสไตล์ตะวันตกแห่งนี้ ทำให้ทุกคนหลับตาลงโดยไม่ทันรู้ตัว เพื่อรับฟังเพลงดังระดับโลกนี้อย่างมีความสุข
บอกได้เลยว่าเย่ย่งเล่อเล่นเปียโนได้ไพเราะมาก นิ้วมือทั้งสิบนิ้วของเขาราวกับกำลังเต้นระบำอยู่บนเปียโน ทำให้คนในร้านรู้สึกตื่นตาตื่นใจและชื่นชมไปด้วย!
แปะ แปะ แปะ!!!
ผ่านไปประมาณห้านาที เพลงก็จบลง ทุกคนในร้านต่างพากันปรบมือชื่นชม
เพียงแค่เพลงเดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าทักษะการเล่นเปียโนของเย่ย่งเล่อนั้นอยู่ในระดับปรมาจารย์!
“นึกไม่ถึงเลยนะว่าเย่ย่งเล่อคนนี้จะเล่นเปียโนได้ดีขนาดนี้”
หลายๆ คนในนี้ล้วนมาจากครอบครัวผู้ดีทั้งนั้น ซึ่งพวกเขาล้วนมีความรู้ทางด้านดนตรีไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะหยุนเหมิงหยาน เพราะเธอเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มดนตรีในค่ายทหาร ดังนั้นเธอจึงรู้ดีกว่าใครแน่นอน
“ถึงผมจะไม่ได้รู้เรื่องเปียโนมากนัก แต่การบรรเลงของไอ้หมอนั่นถือว่าดีมาก ผมว่าเขาน่าจะฝึกฝนมาไม่น้อยนะ!”
เซวฟู่ยี่ก็พยักหน้าและนำเสียงก็แสดงให้เห็นถึงความชื่นชม
ถึงแม้จี้เยียนหรันจะไม่ได้พูดอะไร แต่ใบหน้าของเธอกลับแสดงออกถึงความคิดที่อยู่ในใจ ซึ่งสามารถดูออกเลยว่าเธอก็ชื่นชอบเพลงที่เย่ย่งเล่อบรรเลงเหมือนกัน
“เหอะ! ก็แค่เล่นเปียโน! ใครๆ ก็เล่นได้ทั้งนั้น!”
เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของจี้เยียนหรัน เย่เทียนก็รู้สึกอิจฉาและแสยะยิ้มออกมา
“คุณเล่นเป็นด้วยเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียน หยุนเหมิงหยานก็หันมามองและจ้องไปที่เย่เทียนตั้งแต่หัวจรดหางพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ
ไม่เพียงแต่หยุนเหมิงหยาน แม้แต่เซวฟู่ยี่กับจี้เยียนหรันทั้งสองคนต่างก็มองมาที่เย่เทียน พร้อมกับแสดงสีหน้าที่ไม่เชื่อ
“ผมต้องเล่นเป็นอยู่แล้ว!”
เย่เทียนตบหน้าอกตัวเองแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “ถ้าผมขึ้นไปเล่นนะ รับรองว่าเล่นดีกว่าไอ้หมอนั้นแน่นอน”
“จริงเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนพูดอย่างนั้น หยุนเหมิงหยานก็หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วพูดยุยงว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณก็ลองขึ้นไปเล่นให้พวกเราฟังสักเพลงสิ!”
“เหมิงหยาน!”
จี้เยียนหรันหันมามองทันที เธอขมวดคิ้วแล้วส่ายหัวให้กับหยุนเหมิงหยาน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากเชื่อว่าเย่เทียนจะเล่นเปียโนได้จริงๆ
“เย่เทียน เหมิงหยานก็แบบนี้แหละ คุณอย่าไปใส่ใจเลย”
เพราะกลัวเย่เทียนจะถูกยุยงให้ขึ้นไปเล่นบนเวทีจริงๆ จี้เยียนหรันจึงหันมาอธิบายให้กับเย่เทียน
“ไม่เป็นไรครับ”
หลังจากรู้จักกันมาสักพัก เย่เทียนก็รู้ดีว่าหยุนเหมิงหยานนั้นเป็นคนตรงไปตรงมา แล้วเขาจะใส่ใจเรื่องเล็กๆ แค่นี้ได้อย่างไร?
คนเราต้องไม่เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยสิ!
“เล่นไม่เป็นก็บอกตรงๆ อย่าทำเป็นเสแสร้งเลย!”
แต่หยุนเหมิงหยานไม่มีทางยอมง่ายๆ อยู่แล้ว
“ทุกท่านครับ ผมอยากจะเชิญหญิงสาวท่านหนึ่งขึ้นมาแจมกับผมสักเพลง ไม่ทราบว่ามีท่านใดสนใจอยากจะขึ้นมาครับ?”
ในขณะที่เย่เทียนกำลังอธิบายอยู่นั้น เย่ย่งเล่อที่อยู่บนเวทีก็ยืนขึ้นและถามอย่างสุภาพ
“คุณชายเย่ เลือกฉันเถอะค่ะ!”
“เลือกหนูเถอะค่ะ! เลือกหนู! หนูเล่นเปียโนเป็นนะคะ!”
เมื่อพูดจบ ผู้หญิงที่พอจะเล่นเปียโนเป็นต่างก็พากันยกมือแสดงตัว
แต่เดิมเย่ย่งเล่อก็หล่อเหลาอยู่แล้ว บวกกับภูมิหลังเศรษฐีรุ่นที่สอง และยังเป็นชายโสดผู้ประสบความสำเร็จมากมาย ฉะนั้นหากผู้หญิงคนไหนสามารถครอบครองเขาได้ มันก็จะเป็นเหมือนไก่บ้านกลายเป็นนกฟีนิกซ์!
แต่น่าเสียดายที่เย่ย่งเล่อมีคนที่เลือกไว้ในใจแต่แรกแล้ว เขามองไปที่จี้เยียนหรัน และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงสุดสวยที่ใส่ชุดวอมสีขาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะสิบสาม จะสามารถเป็นเกียรติขึ้นมาร่วมแสดงกับผมไหมครับ?”
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนต่างพากันมองไปที่โต๊ะสิบสาม และอยากรู้ว่าใครคือผู้โชคดีคนนั้น
“ขอโทษนะคะ ฉันเล่นเปียโนไม่เป็น คุณเลือกคนอื่นเถอะ!”
จี้เยียนหรันปฏิเสธโดยไม่ลังเล
“ให้ตายสิ!”
สีหน้าของเย่เทียนหม่นหมองทันที เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเย่ย่งเล่อจงใจหาเรื่องเขาอยู่ ซึ่งมันก็ทำให้เขาเริ่มทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน!