“ขอโทษนะ ฉันเล่นเปียโนไม่เป็น คุณเลือกคนอื่นเถอะ!”
การปฏิเสธของจี้เยียนหรันนั้นเกินความคาดหมายของเย่ย่งเล่อมาก เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นทันที แต่พอสักพัก เขาก็นึกได้อีกวิธี แล้วยิ้มพูดว่า “คุณผู้หญิงท่านนี้ครับ ถึงคุณจะเล่นเปียโนไม่เป็นก็ไม่เป็นไรนะครับ”
“งั้นเอาอย่างนี้ไหมครับ ให้คุณเลือกเพลงที่คุณถนัด แล้วผมจะเป็นคนเล่นเปียโน ส่วนคุณเป็นคนร้องดีไหมครับ?”
ทันทีที่พูดจบ ผู้คนในร้านก็ต่างพากันตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าเย่ย่งเล่อจะอาลัยอาวรณ์กับจี้เยียนหรันขนาดนี้!
แขกที่มารับประทานอาหารประจำต่างก็รู้ดี แม้บางทีเย่ย่งเล่อจะเชิญคนขึ้นไปร่วมแสดงสดด้วย แต่เขาไม่เคยลดมาตรฐานลงมากขนาดนี้มาก่อน หรือว่าเขาจะถูกใจจี้เยียนหรันคนนี้เข้าให้แล้ว?
เมื่อนึกถึงจุดนี้ สายตาของทุกคนที่จับต้องไปที่จี้เยียนหรันต่างก็สับสนมากขึ้น ซึ่งมีทั้งความรังเกียจ ดูถูก ที่ไม่น่าแปลกใจที่สุดคือความอิจฉาของทุกคน!
“ผมว่าคุณคงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องใช่ไหมครับ? คนอื่นเขาอุตส่าห์ปฏิเสธขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมยังหน้าด้านขนาดนี้ครับ?”
โดยที่ไม่รอให้จี้เยียนหรันตอบก่อน เย่เทียนก็ทนไม่ไหวและพูดขึ้นมาว่า “เปียโนดีๆ แต่คุณเล่นเหมือนหมาหอน แถมยังภาคภูมิใจในตัวเองอีกด้วย เชื่อคุณเลยจริงๆ”
“ผมเคยเห็นคนหน้าด้านมาก่อนนะแต่ยังไม่เคยเห็นคนที่หน้าด้านเท่าคุณมาก่อนเลย!”
บรรยากาศในร้านอาหารเงียบลงทันที ทุกคนต่างรอชมฉากที่ดุเดือด
พวกเขาไม่ใช่คนโง่ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าจี้เยียนหรันนั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับเย่เทียน บางทีสองคนนี้อาจจะเป็นแฟนกันก็ได้ แล้วถ้ามีคนมายุ่งกับแฟนสาวของตัวเองต่อหน้าแบบนี้ ไม่โกรธก็คงแปลกแล้วสินะ
“แขกท่านนี้ ดูเหมือนคุณกำลังจะบอกว่าคุณก็เล่นเปียโนเป็นงั้นเหรอครับ?”
เย่ย่งเล่อแสดงสีหน้าไม่พอใจทันที แต่ในไม่ช้าเขาก็ควบคุมสติและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ในเมื่อคุณคิดว่าผมเล่นไม่เพราะ งั้นขอเชิญคุณขึ้นมาเล่นให้พวกเราทุกคนฟังสักหน่อยไหมครับ”
“เย่เทียน คุณ……” สีหน้าของจี้เยียนหรันเต็มไปด้วยความกังวล
“เชื่อผมสิ ผมไม่เป็นไรหรอก”
เย่เทียนหันไปยิ้มให้จี้เยียนหรันอย่างมั่นใจและพูดกับเย่ย่งเล่ออีกครั้งว่า “ให้ผมขึ้นไปเล่น แน่นอนว่าไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้วครับ แต่ถ้าไม่มีการเดิมพันหน่อย แล้วมันจะมีความหมายได้ยังไงครับ!”
“หืม? เดิมพันงั้นเหรอ?”
“ง่ายมากครับ!”
เย่เทียนดีดนิ้วแล้วและยิ้มพูดว่า “คุณนะเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก และเป็นคนประเภทที่ผมเกลียดมากที่สุดด้วย”
“งั้นให้ผู้ชมเป็นคนตัดสินก็แล้วกันนะครับ ถ้าทุกคนคิดว่าผมเล่นดีกว่าคุณ ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป คุณต้องห้ามเสนอหน้าออกมาในทุกที่ที่ผมไป”
“โอเคครับ! ผมรับคำท้าของคุณ!”
เย่ย่งเล่ออึ้งไปสักพัก จากนั้นพูดด้วยความมั่นใจว่า “แต่ถ้าคุณแพ้ ผมหวังว่าจะไม่เจอคุณในเมืองจินอีกนะครับ!”
ซึ่งเขาต้องเสียเงินมากมายในการจ้างครูที่เก่งที่สุดมาสอนเขา จนทำให้เขากลายเป็นปรมาจารย์ในศิลปะด้านนี้ได้ และเขาก็เชื่อว่าเย่เทียนที่เกาะเมียกินจะไม่มีปัญญาในด้านนี้หรอก
และยิ่งไปกว่านั้น คนที่ตัดสินคือทุกคนในร้าน และคนส่วนมากก็เป็นแฟนคลับของเขาทั้งนั้น ซึ่งมันก็รู้ผลแพ้ชนะกันอยู่แล้ว!
“ไม่มีปัญหาครับ!”
เย่เทียนตอบโดยไม่ลังเล “งั้นเอาอย่างนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบ ผมจะให้คุณเล่นอีกหนึ่งเพลง”
“จำไว้นะครับ คุณเล่นเพลงที่คุณถนัดที่สุด ถึงเวลาที่แพ้ คุณจะได้ไม่มีข้ออ้างมาแก้ตัว”
ถึงแม้เย่ย่งเล่อจะเชื่อว่าเย่เทียนไม่มีปัญญาสู้เขาได้ แต่เพื่อความปลอดภัย เขาก็ไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเย่เทียน
หลังจากปรับสภาพอารมณ์แล้ว สองมือของเขาก็วางลงบนเปียโน และเสียงเพลงอันไพเราะดุจจากสวรรค์ก็ดังกระจายออกไป
บอกได้คำเดียวเลยว่าฝีมือการเล่นเปียโนของเย่ย่งเล่อนั้นยอดเยี่ยมมาก ทำให้คนในร้านต่างพาเคลิ้มจนหลับตาลงและตั้งใจฟังเพลง《โหมโรงน้ำฝน》ที่เย่ย่งเล่อกำลังบรรเลง
เพลงนี้ไม่ถือว่ายากมาก แต่ถ้าจะเล่นให้ไพเราะ นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
เย่ย่งเล่อเป็นคนที่หยิ่งทะนงตนจริงๆ ในขณะที่เขาบรรเลงอยู่นั้น เขายังไม่ลืมที่จะใส่อารมณ์อย่างเต็มที่ เพื่อให้อารมณ์ที่แสดงออกเป็นไปตามบทเพลงที่เขากำลังบรรเลง
แปะ แปะ แปะ!!!
เมื่อเพลงจบลง คนในร้านก็ต่างพากันปรบมือชื่นชมเขา
“คุณชายเย่ ฉันรักคุณ!”
“ว้าว! สุดยอด! เล่นได้ไพเราะที่สุดเลยค่ะ!”
“เถ้าแก่เย! เถ้าแก่เย! ฉันอยากมีลูกให้คุณ!”
เมื่อได้ยินคำชมจากทุกคน รอยยิ้มอันได้ใจก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่ย่งเล่อ จากนั้นเขายืนขึ้นแล้วโค้งคำนับขอบคุณทุกคนและกวาดสายตาไปที่เย่เทียน
“แขกผู้มีเกียรติท่านนี้ครับ ต่อไปก็ถึงตาคุณแล้วนะครับ! ”
“เย่……”
จี้เยียนหรันจับมือของเย่เทียนไว้แน่นๆ เพื่อพยายามรั้งไม่ให้เขาขึ้นไป
“วางใจเถอะ บอกแล้วไงว่าให้เชื่อใจผม”
เย่เทียนส่ายหัวแล้วแตะฝ่ามืออันเรียวงามของจี้เยียนหรันเบาๆ และดึงมืออันกว้างใหญ่ของเขาออกไป จากนั้นเขาก็ลุกยืนขึ้นและก้าวเท้าออกไปโดยไม่ลังเล
โลกแห่งทหารรับจ้างในชาติก่อน บางเวลาเขาจำเป็นต้องปิดบังตัวตน ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีโอกาสได้ฝึกฝนเปียโนอย่างจริงจัง!
แน่นอนว่าการที่ไม่ได้จับเปียโนเป็นเวลานานขนาดนี้ เย่เทียนก็รู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เขายังถอยกลับได้หรือ?
“หลบไป! หลบไป!”
ไม่ว่าจะยังไง เมื่อเย่เทียนมาถึงตรงหน้าเย่ย่งเล่อ และยังเห็นว่าเย่ย่งเล่อยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาจึงโบกมือด้วยสีหน้ารังเกียจ และทำท่าเหมือนการไล่แมลงวัน
สีหน้าของเย่ย่งเล่อหม่นหมองทันที แต่เขายังควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ จากนั้นเขาก็ลุกออกจากเก้าอี้ ในใจยังแอบคิดว่าเดี๋ยวถ้าเย่เทียนเล่นมั่ว เขาจะให้คนจับเย่เทียนโยนออกไปจากร้าน และทำให้เขาเสียหน้าจนถึงที่สุด!
เย่เทียนนั่งลงตรงหน้าเปียโน และเมื่อวางมือลงบนเปียโน ความไม่คุ้นเคยของเขาที่มีต่อเปียโนก็จางหายไปในทันที
ท้ายที่สุดแล้ว เขาแค่ไม่ได้เล่นมานาน แต่ไม่ได้แปลว่าเขาลืมมันแล้ว
“โด่เรมี……”
เย่เทียนไม่ได้เล่นทันที แต่เขากดตัวโน้ตเพื่อให้ความรู้สึกในการเล่นเปียโนของเขากลับมา
ในเวลาเดียวกัน เย่เทียนเหลือบมองไปบนขอบเปียโน ด้านบนนั้นมีเนื้อเพลงเพลงหนึ่ง ซึ่งเป็นบทเพลง《โหมโรงน้ำฝน》ที่เย่ย่งเล่อเพิ่งเล่นไปเมื่อสักครู่นี้
เย่เทียนแค่เหลือบมองไปและหันกลับมาทันที จากนั้นเขาส่ายเบาๆ หลับตาลง และวางมือลงบนเปียโนตามความรู้สึก
ในวินาทีต่อมา เสียงเปียโนก็ดังขึ้น ตัวของเย่เทียนขยับไปตามจังหวะของนิ้วที่ระบำอยู่บนเปียโน ราวกับว่าเขากับเปียโนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปแล้ว
ดั่งที่ว่ากันว่า เมื่อถึงมือผู้เชี่ยวชาญ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นไม่ได้
ถึงแม้เย่เทียนจะเล่นโน้ตเพียงแค่ไม่มีกี่โน้ต แต่ออร่าก็แผ่ออกมาจากตัวของเขาและมันก็ทำให้สีหน้าของเย่ย่งเล่อเปลี่ยนไปทันที เขารู้สึกได้ว่าเย่เทียนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกับเปียโน เป็นปรมาจารย์ของปรมาจารย์จริงๆ!
ไม่ว่าจะยังไง นิ้วมือของเย่เทียนราวกับเต้นระบำอยู่บนเปียโน ทุกนิ้วของเขาเสมือนร่างกายที่มีชีวิตจริง และยังสามารถปลดปล่อยความเป็นตัวของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
และเปียโนตัวนี้ก็ดูเหมือนจะมีชีวิตและสามารถเปล่งเสียงอันมีจิตวิญญาณออกมา
อย่าว่าแต่เย่ย่งเล่อ แม้แต่จี้เยียนหรันและคนอื่นๆ ต่างก็พากันประหลาดใจ
เสียงบรรเลงของเปียโนไม่ใช่รูปภาพอยู่แล้ว แต่ภายใต้การบรรเลงของเย่เทียนนั้น ทำให้ทุกคนต่างเคลิ้มและค่อยๆ หลับตาลง ราวกับเห็นภาพในหัวขึ้นมาทันที
ซึ่งภาพในหัวนั้นคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินอยู่บนถนนตามลำพัง แต่จู่ๆ ฝนก็ร่วงโรยลงมา แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้จะไม่รู้ตัวเลย
ถ้าจะพูดให้ถูกคือ เด็กหนุ่มคนนี้ถูกครอบงำด้วยความเศร้าในใจของเขามากกว่า ทำให้เขาไม่อยากสนใจปัจจัยภายนอกทุกอย่าง เขาได้แต่เดินอยู่บนถนนตามสัญชาตญาณของเขาอย่างโดดเดี่ยว
ทันใดนั้น เสียงเปียโนก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง และฝนที่โปรยลงมาก็หนักขึ้น ในที่สุดเด็กหนุ่มก็รู้สึกตัว แต่เขากลับตะโกนออกมาดังๆ ท่ามกลางสายฝน ตะโกนเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมจากฟากฟ้า
แต่การกระทำของเด็กหนุ่มดูเหมือนจะรบกวนเหล่าทวยเทพจนโกรธ และทันใดนั้น ฟ้าก็ร้องดังสนั่น บวกกับฝนฟ้าคะนองที่หนักกว่าเดิม ซึ่งดูเหมือนจะล้มเด็กหนุ่มคนนั้นให้ได้
แต่ว่า ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ เสียงเปียโนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ภาพในหัวของทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย….