บทที่ 564 ซันนี่เดย์บาร

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

นิ้วมือของเย่เทียนก็ยังคงหยุดอยู่บนเปียโน ความรู้สึกในใจยังคงสงบลงไม่ได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่าบทเพลงที่สั่นคลอนจิตใจของผู้คนเมื่อครู่นี้เป็นเพลงที่เขาเล่นเอง

ซึ่งบทเพลงนี้ เขาได้รับแรงบันดาลใจจากความรู้สึกของเขาหลังจากที่ได้นั่งลงตรงหน้าเปียโนนี้ เป็นบทเพลงที่เขาเล่นตามความรู้สึกจากประสบการณ์ชีวิตในอดีตของเขา และเหตุผลที่เขาไม่ได้เล่นต่อ เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต!

“เล่นสิ! ทำไมไม่เล่นต่อล่ะ?”

ก่อนที่เย่เทียนจะตั้งสติได้ เสียงคาดหวังของผู้ชมก็ดังขึ้นข้างหูเขา

“นั่นสิ! จากนั้นเด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นอย่างไงต่อล่ะ?”

“แล้วตอนจบล่ะ? นี่มันไม่น่าจะใช่ตอนจบนะ?”

ทุกคนค่อยๆ รู้สึกตัวและพูดคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวกับบทเพลงนิรนามที่เย่เทียนเล่นไปเมื่อสักครู่ แต่พวกเขากลับลืมว่าเพิ่งชื่นชมเย่ย่งเล่อไป

เย่เทียนส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น จากนั้นค่อยๆ ยืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมองว่า “ต้องขออภัยด้วยนะครับ เพลงนี้ผมเล่นตามความรู้สึก เนื้อหาต่อจากนี้ผมยังไม่ได้คิดครับ”

ว้าว!

คำพูดของเย่เทียนทำให้เกิดความโกลาหลกับทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะคนที่มีความรู้ทางด้านเปียโนก็ยิ่งรู้สึกน่าเหลือเชื่อ

แค่เล่นตามอารมณ์ก็สร้างบทเพลงที่ไพเราะขนาดนี้ได้ แล้วถ้าตั้งใจเขียนเพลงล่ะ จะไม่ใช่เฟรเดริก ชอแป็งคนที่สองเหรอ?

แปะ แปะ แปะ!!!

เมื่อนึกถึงจุดนี้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปรบมือเป็นคนแรก ทำให้ทุกคนส่งเสียงปรบมืออย่างอบอุ่น และทำให้เย่เทียนกลับมาจากความเศร้าหมองได้

เย่เทียนโค้งคำนับขอบคุณทุกคน จากนั้นเดินกลับไปที่โต๊ะของเขา

สำหรับเย่ย่งเล่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าซีดเซียว ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในสายตาของเย่เทียนอีกต่อไป

เซวฟู่ยี่ตบไหล่ของเย่เทียนอย่างสนิทสนมและถามด้วยความสงสัยว่า “ไม่คิดเลยนะครับว่าพี่เย่จะเล่นเปียโนเก่งขนาดนี้ ถามจริง มีอะไรที่พี่ทำไม่ได้ไหมครับ?”

“เยอะแยะ” เย่เทียนยิ้มอย่างถ่อมตน

ทัศนคติของหยุนเหมิงหยานก็เปลี่ยนไป “เย่เทียน นี่คุณไปเรียนเปียโนกับใครมาเนี่ย? ทำไมถึงเล่นได้ดีขนาดนี้?”

“ทำไมเหรอครับ? หรือว่าคุณแอบชอบผมเข้าให้แล้ว?”

เย่เทียนถึงกับตกใจและพูดติดตลกว่า “แต่ผมขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าผมสู้เซวหมานจื่อไม่ได้จริงๆ คุณอย่ามาชอบผมเลย”

“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก”

หยุนเหมิงหยานกลอกตาใส่และเบะปากพูดว่า “มีแต่คนบ้าน่ะสิที่จะแอบชอบคุณ!”

“เย่เทียน เพลงเมื่อกี้คุณเล่าตามอารมณ์จริงๆ เหรอ?”

จี้เยียนหรันอดถามเพราะความสงสัยไม่ได้จริงๆ ดวงตาอันงดงามของเธอมองไปที่เย่เทียนด้วยความสงสัย ซึ่งดูเหมือนว่าเธออยากรู้ความลับของชายตรงหน้าคนนี้จริงๆ

“ผมเคยโกหกคุณด้วยเหรอครับ?” เย่เทียนสงบสติอารมณ์ของตัวเองและยิ้มออกมาอย่างจริงใจ

ไม่ว่าจะยังไง เย่ย่งเล่อก็ไปแล้ว ไปพร้อมกับสีหน้าอันซีดเซียวของเขา

ถึงแม้เย่เทียนไม่ได้หาเรื่องเขาอีก แต่ดูจากท่าทีของผู้ชมแล้ว เขายังจะยังมีหน้าอยู่ต่อได้อย่างไร?

“ไปกันเถอะ!”

หลังจากพูดคุยหัวเราะกันอีกสักพัก พวกเขาทั้งสี่ก็เช็คบินแล้วเดินออกไปจากร้านนอาหาร

เมื่อเดินออกจากห้างสรรพสินค้านิวซัน ท้องฟ้าในขณะนี้ก็มืดสนิทแล้ว ถนนก็เต็มไปด้วยไฟที่ส่องประกายยามค่ำคืน เย่เทียนมองดูเวลา และตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว

เซวฟู่ยี่เสนออย่างกะทันหันว่า “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ หรือว่าเราไปต่อกันที่บาร์ไหมครับ?”

“ได้สิ!” ทันทีที่พูดจบ หยุนเหมิงหยานก็ตอบขึ้นมาอย่างตื่นเต้นทันที

“เยียนหรัน คุณคิดว่าอย่างไงครับ?” เย่เทียนไม่ได้ตอบทันที แต่หันไปถามความคิดเห็นของจี้เยียนหรันก่อน

“ฉันเหรอ? ยังไงก็ได้นะ”

จี้เยียนหรันยิ้มจางๆ “อยากไปก็ไปสิ”

ในเมื่อตัดสินใจกันแล้ว ทั้งสี่คนก็ไม่รอช้า จากนั้นก็รีบขึ้นรถ แน่นอนว่าคนขับรถต้องเป็นเย่เทียนอยู่แล้ว ส่วนผู้หญิงสองคนก็อยู่นั่งด้านหลังคนขับ

เดิมทีเซวฟู่ยี่ขับรถมาเอง แต่เขาก็ยังนั่งไปพร้อมกับพวกเขา

“ฟู่ยี่ แถวนี้มีบาร์ที่ไหนที่พอแนะนำบ้าง?”

เนื่องจากไม่ได้กลับมานานมาก เย่เทียนจึงลืมเมืองจินไปหมดแล้ว ทำได้เพียงถามความเห็นของเซวฟู่ยี่

“ผมจำได้ว่ามีบาร์ร้านหนึ่งที่อยู่ไกลจากที่นี่หน่อยนะครับ เหมือนเป็นบาร์ที่เพิ่งเปิดใหม่ ชื่อว่าซันนี่เดย์บาร์ เห็นเขาบอกกันว่าบรรยากาศร้านดีมาก แถมยังมีสาวสวยเยอะแยะเลยนะครับ”

เซวฟู่ยี่คิดอย่างรอบคอบแล้วพูดว่า “และที่สำคัญนะ เจ้าของบาร์เป็นผู้หญิงระดับเทพธิดาที่เคยสวยที่สุดในเมืองจิน แถมมีคนมากมายเดินทางมาเพื่อชมความงามของเธอด้วยนะครับ!”

“งั้นมัวรออะไรอยู่ล่ะ? มา! คุณมาขับรถเลย!”

เย่เทียนทำท่าเหมือนจะลงจากรถ

“แต่พี่เย่ครับ ถ้าไปจากที่นี่มันไกลหน่อยนะครับ”

เซวฟู่ยี่รีบรั้งเย่เทียนไว้แล้วพูดอย่างจนใจ “แถวนี้ก็มีบาร์เยอะแยะเหมือนกัน แล้วพวกเราจะไปที่นั่นจริงเหรอครับ?”

“ไกลก็ไกลสิ!”

เย่เทียนยักไหล่และยิ้มพูดว่า “ไหนๆ ก็มากันแล้ว ในเมื่อจะเที่ยว ก็ต้องเที่ยวบาร์ที่สนุกที่สุดสิ!”

“ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมขับรถให้ครับ!”

เซวฟู่ยี่ครุ่นคิดแล้วพยักหน้าและสลับไปขับรถแทนเย่เทียน

เมื่อหญิงสาวทั้งสองคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเห็นทั้งสองดูงุ่มง่าม หยุนเหมิงหยานก็ขมวดคิ้วขึ้นมาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่า “น้องยี่ รีบหน่อยสิ!”

“ครับ ครับ ครับ ไปแล้วครับ ไปแล้วครับ!”

เซวฟู่ยี่เห็นสายตาของหยุนเหมิงหยานที่มองมาจากกระจกหลัง แล้วเขาจะกล้าเถียงได้อย่างไร เขาได้แต่รีบขานตอบแล้วขับรถออกไปทันที

“เยียนหรัน ที่บาร์จะสนุกไหม?”

เมื่อรถแล่นไปบนถนนหยุนเหมิงหยานก็อารมณ์ดีขึ้น และถามจี้เยียนหรันที่อยู่นั่งข้างๆ

“หืม?!”

จี้เยียนหรันถึงกับตกใจและถามด้วยความประหลาดใจว่า “เหมิงหยาน ตอนอยู่เจียงหนันเธอไม่เคยไปบาร์มาก่อนเลยเหรอ?”

“ไม่เคยเลย!”

หยุนเหมิงหยานพยักหน้าและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “เคยไปครั้งเดียว ตอนที่ฉันไปหาเธอเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ จากนั้นตลอดหลายปีฉันอยู่แต่ในกองทัพ อีกอย่างอยู่กับหมานจื่อด้วย เขาไม่เคยให้ฉันไปเลย”

“อ้อ! ถึงว่าล่ะ”

จี้เยียนหรันพยักหน้าอย่างครุ่นคิด เดิมทีกองทัพก็มีระเบียบที่เข้มงวดอยู่แล้ว เวลาส่วนใหญ่ก็เอาแต่ฝึกฝน ส่วนเวลาที่เหลือหยุนเหมิงหยานก็ต้องมาอยู่กับเซวหมานจื่อ ไม่แปลกที่จะไม่เคยไปเที่ยวบาร์!

ระหว่างทาง ทั้งสี่คนพูดคุยกันทั่วไป และประมาณยี่สิบนาที พวกเขาก็มาถึงลานจอดรถของซันนี่เดย์บาร์

เมื่อลงจากรถ เย่เทียนก็สังเกตเห็นว่ามีเม็ดฝนค่อยๆ โปรยลงมาจากท้องฟ้า เมื่อกระทบกับพื้นก็เบ่งบานออกเหมือนดอกไม้

หลังจากสองสาวลงจากรถ พวกเธอก็เริ่มรู้สึกหนาวและสั่นขึ้นมาทันที

เมื่อเย่เทียนที่เห็นอย่างนี้ก็ถอดเสื้อคลุมของเขาคลุมให้กับจี้เยียนหรัน ซึ่งมันก็ทำให้หยุนเหมิงหยานเพ่งมองไปที่เซวฟู่ยี่อย่างหงุดหงิด

แต่ดูเหมือนว่าเซวฟู่ยี่ยังไม่รู้ว่าหยุนเหมิงหยานกำลังหมายถึงอะไร เขาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วรีบถอดเสื้อคลุมไปคลุมให้กับหยุนเหมิงหยาน

พื้นที่ของซันนี่เดย์บาร์นั้นไม่ถือว่าเล็กเกินไป และยังมีการตกแต่งที่หรูหราอลังการตระการตาอีกด้วย แค่เดินมาถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงอึกทึกที่ดังออกมาจากข้างในร้าน ซึ่งก็ทำให้หยุนเหมิงหยานรู้สึกตื่นเต้นมาก

เมื่อผลักประตูเข้าไป หยุนเหมิงหยานก็มองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น ซึ่งไม่ต่างอะไรกับคนบ้านนอกเข้ากรุงเป็นครั้งแรกเลย

เซวฟู่ยี่ที่เห็นแบบนี้ก็อดขำไม่ได้ “พี่เหมิงหยาน เก็บอารมณ์หน่อยได้ไหม?”

“นายหมายความว่าไง? อยากเจ็บตัวใช่ไหม? ” หยุนเหมิงหยานจ้องเขม็งทันที

“ผมผิดไปแล้วครับ! ผมขอโทษครับ!”

เมื่อเห็นท่าทางที่ขี้ขลาดของเซวฟู่ยี่ เย่เทียนก็อดขำไม่ได้ เกรงว่าเซวฟู่ยี่คงต้องเดินเส้นเดียวกับเซวหมานจื่อแล้ว ชายผู้เป็นมนุษย์กลัวเมีย!