บทที่ 565 ดื่มเหล้าต้องดื่มเป็นลัง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

เย่เทียนและคนอื่นๆ เดินเข้ามาในซันนี่เดย์บาร์ แม้เวลาจะเพิ่งสามทุ่ม แต่คนก็เริ่มเยอะมาก และในบาร์เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังแดนซ์กับเพลงที่กำลังเปิด

ทั้งสี่คนหาที่นั่งตรงมุม หยุนเหมิงหยานดึงมือจี้เยียนหรันแล้วเข้าไปนั่งข้างในสุด ส่วนเย่เทียนกับเซวฟู่ยี่ก็นั่งคนละข้าง

“คุณลูกค้าครับ ไม่ทราบว่าจะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ?”

หลังจากที่ทุกคนนั่งลงได้สักพัก ก็มีพนักงานในบาร์เดินมาด้วยรอยยิ้มและส่งเมนูให้พวกเขาดู

“ให้คุณผู้หญิงก่อนเลยครับ”

เย่เทียนรับเมนูมาและยืนให้กับหญิงสาวทั้งสองคนอย่างสุภาพบุรุษ

“เหมิงหยาน เธอดูก่อนสิว่าจะดื่มอะไร?”

จี้เยียนหรันยิ้มรับแล้วเปิดเมนูและถามหยุนเหมิงหยาน

“ค็อกเทลเตกีล่าไฟไหม? ชื่อนี้ดูแปลกดีนะ งั้นฉันเอาอันนี้ก็แล้วกัน!”

หยุนเหมิงหยานค็อกเทลที่สวยงามในรายการเครื่องดื่ม

“งั้นฉันก็ดื่มอันนี้เหมือนกัน”

จี้เยียนหรันพยักหน้าและสั่งพนักงานเสิร์ฟ “ช่วยเอาค็อกเทลเตกีล่าไฟให้เราสองที่นะ”

“ได้ครับ”

พนักงานจดลงบนกระดาษในมือของเขาและถามต่อด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมืออาชีพว่า “แล้วคุณผู้ชายสองท่านรับอะไรดีครับ?”

“ผมเอา……” เย่เทียนพูด

“ที่ร้านของคุณมีเหล้าป้าหวังจุ้ยของสือฮวาไหม? ถ้ามีเอามาหนึ่งลังเลยนะ”

ก่อนที่เย่เทียนจะพูดจบ เซวฟู่ยี่ก็พูดแทรกขึ้นมา

การแสดงออกอย่างต่อเนื่องของเย่เทียนทำให้เขาชื่นชมเป็นอย่างมาก และทำให้เขาสงสัยไม่น้อยเช่นกัน เขาจึงอยากรู้ว่ายังมีเรื่องอะไรไหมที่เย่เทียนทำไม่ได้!

พนักงานเสิร์ฟได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นพูดอย่างลำบากใจว่า “คุณลูกค้าครับ ต้องขออภัยด้วยนะครับ ทางร้านเราไม่มีเหล้าที่ว่าครับ แต่ว่า……”

“ตรงปากซอยมีร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นะครับ ถ้าคุณลูกค้าต้องการ ผมวิ่งไปซื้อให้ได้นะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องรบกวนคุณดีกว่า”

เซวฟู่ยี่เลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า “งั้นเหล้าที่แรงที่สุดในร้านนี้คืออะไรครับ?”

พนักงานตอบอย่างรวดเร็วว่า “เหล้าที่แรงที่สุดในร้านเราก็จะเป็นเหล้าอู่เหลียงเย่ครับ”

“อู่เหลียงเย่เหรอ? งั้นก็ได้!”

เซวฟู่ยี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “งั้นเอามาให้พวกเราลังนึงเลยนะ!”

“ลังนึงเลยเหรอครับ?”

พนักงานถึงกับตกใจพร้อมกับใบหน้าที่ประหลาดใจ

หมายความว่ายังไง? เหล้าอู่เหลียงเย่ลังนึงเลยเหรอ? ดื่มกันแค่สองคนเนี่ยนะ? ยังไม่ทันดื่มหมดขวดก็คงได้หามส่งโรงพยาบาลก่อนแล้วมั้ง?

เซวฟู่ยี่พยักหน้าแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “ใช่! เอามาหนึ่งลัง!”

“ได้ครับ รอสักครู่นะครับ”

เมื่อเห็นเซวฟู่ยี่ยังคงยืนยันคำเดิม พนักงานก็ไม่พูดอะไรมากกว่านั้น หลังจากเขียนลงบนสมุดโน้ตเขาก็หันหลังกลับไปที่บาร์

“ฟู่ยี่ อู่เหลียงเย่ลังนึงมันจะเยอะไปหน่อยไหม?” จี้เยียนหรันขมวดคิ้วเบาๆ

“ไม่เยอะหรอกครับ ผมเชื่อว่าพี่เย่คอแข็งอยู่แล้ว ดื่มเหล้าแทนน้ำได้ ยังไงก็ต้องดื่มเป็นลังอยู่แล้ว!”

เซวฟู่ยี่โบกมือพูดด้วยรอยยิ้มและมองไปที่เย่เทียนอย่างยั่วยุ

“เยียนหรัน อย่าไปสนใจเขาเลย”

หยุนเหมิงหยานรู้ว่าเซวฟู่ยี่เป็นคนดื่มเก่ง เธอถึงจึงไม่อยากใส่ใจเขาสักเท่าไหร่

นอกจากนี้ มันไม่ได้หมายความว่าจำเป็นต้องดื่มให้หมดลังไม่ใช่หรือ?

“ไป ไป ไป! ผู้ใหญ่เขาจะคุยกันอยู่ เด็กๆ จะมาพูดแทรกทำไม?”

เย่เทียนอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ ไหน ๆ ก็ออกมาเที่ยวกันแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องซีเรียสเกินไป และตลอดระยะเวลาที่ต่อกรกับหยุนเหมิงหยานมา ณ เวลานี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ?

หยุนเหมิงหยานเริ่มหงุดหงิด “ไอ้สารเลว! นายหาว่าใครเป็นเด็กนะ?!”

“คุณไม่ใช่เด็กเหรอ? เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นเด็ก!”

เย่เทียนจงใจเหลือบไปมองหยุนเหมิงหยานและสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่หน้าอกของเธอ

“ไอ้โรคจิต ฉันจะฆ่านาย!”

หยุนเหมิงหยานจะไม่เข้าใจความหมายของเย่เทียนได้อย่างไร เธอจึงรีบลุกขึ้นทันที

“เหมิงหยาน พอเถอะ เย่เทียนเขาก็แค่พูดเล่นเอง”

จี้เยียนหรันจ้องไปที่เย่เทียนอย่างไม่สบอารมณ์และรีบห้ามหยุนเหมิงหยานไว้

“ไอ้บ้า ดื่มเหล้าเป็นแล้วคิดว่าเก่งเหรอ! เหอะ!”

หยุนเหมิงหยานทำได้เพียงยอมใจและนั่งลงด้วยอารมณ์ที่ยังคงโกรธอยู่

แต่เย่เทียนยังคงหลอกล้อหยุนเหมิงหยานไม่หยุด เขาจึงแกล้งพูดดูถูกว่า “ที่คุณพูดก็ถูกเหมือนกันนะ ดื่มเหล้าเป็นแล้วเก่ง หรือถ้าคุณเก่งจริงก็มาดื่มกับพวกผมสิ!”

“นายคิดว่าฉันไม่กล้าใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว! ผมดูก็รู้ว่าคุณไม่กล้าหรอก!”

เย่เทียนยังคงเสียดสีหยุนเหมิงหยานต่อไป และพูดอย่างยุยงว่า “ถ้ามีปัญญาก็มาดื่มกับพวกเราสิ ไม่ใช่ว่าจะดูถูกนะ ผมต่อให้คุณ ผมดื่มแก้วนึง แต่คุณดื่มแค่คำเดียวก็พอ!”

หยุนเหมิงหยานจะทนต่อการกระตุ้นนี้ได้อย่างไร เธอจึงตอบด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองว่า “ได้สิ! นายเป็นคนพูดเองนะ ฉันดื่มคำเดียว แต่นายดื่มหมดแก้ว ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะแพ้นาย!!”

“พอแล้วๆ พวกเธอหยุดทะเลาะกันได้แล้ว”

จี้เยียนหรันยังคงเป็นคนกลาง ซึ่งเธอดูออกแล้วว่าสองคนนี้ก็คือคู่กัดกัน อยู่ด้วยกันแล้วไม่ทะเลาะไม่ได้จริงๆ!

“เหอะ!”

หยุนเหมิงหยานกัดฟันพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่เย่เทียน แต่ไม่ได้พูดอะไร

ขณะที่พูดคุยหยอกล้อกันอยู่ พนักงานก็นำค็อกเทลเตกีล่าไฟที่สาวทั้งสองสั่งมาเสิร์ฟ จากนั้นก็รีบกลับไปที่บาร์แล้วยกอู่เหลียงเย่มาหนึ่งลัง

ซึ่งภาพนี้ทำให้ดึงดูดความสนใจจากลูกค้าคนอื่นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นคนสั่งเหล้าเป็นลัง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วการสั่งเป็นลังคือเบียร์ แต่ไม่ใช่วอสก้า

อย่างไรก็ตาม พนักงานเสิร์ฟก็ยกอู่เหลียงเย่มาหนึ่งลัง แต่เขาเปิดแค่ขวดเดียวก่อน เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่เชื่อว่าทั้งสองจะดื่มหมดลังได้!

“อะไรครับ? เปิดให้หมดเลยสิ! กลัวผมไม่มีปัญญาจ่ายเหรอ?”

เซวฟู่ยี่เลิกคิ้วขึ้นทันทีและพูดกับพนักงานอย่างไม่สบอารมณ์

“เปล่าครับ ผมแค่กลัว……”

พนักงานยังใจดี เพราะถ้าดื่มไม่หมดจะสามารถคืนได้ แต่ถ้าเปิดหมดทุกขวดมันจะคืนไม่ได้!

“ไม่เป็นไรครับ! เปิดให้หมดเลย!”

เย่เทียนยิ้มแล้วหยิบบัตรเครดิตที่ได้มาจากผางอานคาง “ถ้าคุณไม่ไว้ใจ เราเช็กบิลก่อนได้นะครับ รหัสบัตรคือหกหกตัว”

พนักงานก็กังวลเรื่องนี้จริงๆ เขาจึงรับบัตรเครดิตไปแล้วรีบนำไปชำระเงินก่อน จากนั้นค่อยกลับมาเปิดเหล้าอู่เหลียงเย่ให้หมดลัง

หลังจากพนักงานถอยออกไปเซวฟู่ยี่ก็หยิบขึ้นมาหนึ่งขวดแล้วกรอกใส่ปากจนหมดขวด จากนั้นพูดกับเย่เทียนว่า “พี่เย่ ลังเดียวพอไหมครับ?”

เย่เทียนยิ้มจางๆ “ไม่เป็นไร ไม่พอสั่งเพิ่มได้”

คำพูดของทั้งสองคนทำให้พนักงานเสิร์ฟรู้สึกตกใจมาก ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นคนที่ดื่มเก่งจริงๆ แต่แค่คนสองคนวางแผนจะดื่มอู่เหลียงเย่ให้หมดลังนั้น เขาไม่เคยเห็นจริงๆ

เซวฟู่ยี่ไม่รู้ว่าพนักงานกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงหยิบอู่เหลียงเย่ขวดหนึ่งให้กับเย่เทียน และหลังจากชนแก้วทั้งสองก็ยกหมดขวดในทันที

เออะ!

หลังจากดื่มหมดขวดในคำเดียว เย่เทียนถึงจะหยุดลง เขาอดเรออกมาไม่ได้ แต่สีหน้ายังคงเหมือนเดิม

“ไม่เลว ไม่เลวจริงๆ!”

เซวฟู่ยี่หรี่ตาลงเบาๆ แต่สีหน้าก็ยังคงเหมือนเดิมเช่นกัน

ซึ่งมันก็ทำให้พนักงานที่ยังเดินไม่ถึงไหนถึงกับต้องเดินสะดุดเท้าจนแทบล้มลงกับพื้น แม้แต่ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ยังมองไปที่ทั้งสองอย่างประหลาดใจ

นี่มันเกิดออะไรขึ้น? เพิ่งเริ่มก็หมดไปครึ่งขวดแล้ว ถ้าดื่มกันแบบนี้จริงๆ อู่เหลียงเย่ลังนึงคงไม่เกินชั่วโมงเดียวหรอก!

ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่หยุนเหมิงหยานก็ประหลาดใจกับทั้งสองคน “เยียนหรัน พวกเขาดื่มอู่เหลียงเย่จริงใช่ไหม?”

จี้เยียนหรันก็แสดงสีหน้าตกตะลึง “น่าจะนะ?”