แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่พวกเฉียวฉู่ก็ไม่มีใครกล้าไปที่หอคอยโยวหลิงเลยสักครั้ง
มีอะไรบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อวิญญาณที่ไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาไม่กล้าเอาภูติประจำตัวของตนไปเสี่ยง
“โอ๊ย! แขนขาแก่ๆของข้าจะขาดแล้ว……” เฉียวฉู่ฝึกฝนมาทั้งวัน เขาทิ้งตัวนอนแผ่บนพื้นหญ้าอย่างหมดแรง แม้ว่าการฝึกพลังวิญญาณจะไม่เหนื่อย แต่มันก็น่าเบื่ออย่างที่สุดเนื่องจากต้องนั่งอยู่กับที่ตลอดทั้งวันโดยไม่ขยับเลยแม้แต่นิ้วเดียว ถึงจะบอกว่าการนั่งนานๆไม่ได้ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า แต่ความจำเจและเบื่อหน่ายก็ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจอยู่ดี
เสียงโอดครวญของเฉียวฉู่ทำให้พวกเพื่อนๆที่กำลังฝึกฝนหลุดจากสมาธิ
จวินอู๋เสียลืมตาขึ้นมองเฉียวฉู่ที่กำลังกลิ้งไปมาบนพื้นหญ้า แล้วอดที่จะยิ้มพร้อมกับส่ายหัวไม่ได้
“อย่ามาโอดโอย มันไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น แต่เจ้าน่ะเสียงดังหนวกหู นี่เจ้าทึ่มเฉียว เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกัน? ทำไมแขนขาถึงแก่แล้วล่ะ เจ้าแก่ก่อนวัยหรือไง?” เฟยเหยียนเลิกคิ้วพร้อมกวาดตามองเฉียวฉู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
เฉียวฉู่ส่งเสียงโอดครวญพร้อมลุกขึ้นนั่ง มือกุมหน้าอก ทำท่าราวกับเด็กสาวที่ถูกข่มเหง
“ใครว่าข้าแก่ก่อนวัย นายน้อยคนนี้ยังกระปรี้กระเปร่าดีอยู่!”
“ไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลย” เฟยเหยียนยังคงแกล้งแหย่เฉียวฉู่ต่อพร้อมกับยิ้ม
“ก็ดีกว่าคนวิปริตที่ชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิงแล้วกัน!” เฉียวฉู่โต้กลับ
เฟยเหยียนหรี่ตาพร้อมกับหักข้อนิ้วเสียงดัง
“ข้าว่าเจ้าไม่โดนอัดนานเกินไปแล้ว คันเนื้อคันตัวใช่ไหมล่ะ?”
เฉียวฉู่ไม่สนและท้าทายอีกว่า “คิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ? อย่าหาว่าข้าไม่เตือนแล้วกัน ตอนนี้เจ้าอยู่ในร่างวิญญาณ ไม่มีพละกำลังสัตว์ประหลาดอีกแล้ว ถ้าเป็นเรื่องการต่อสู้ ก็ยังไม่รู้หรอกว่าใครจะอัดใครกันแน่!”
มุมปากของเฟยเหยียนกระตุกจากการยั่วยุของเฉียวฉู่ เขากระโจนเข้าใส่เฉียวฉู่ จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองก็ตะลุมบอนกันบนพื้นหญ้าทันที
ฮัวเหยา, ฟ่านจั๋ว, และหรงรั่วไม่สามารถสงบจิตใจฝึกฝนต่อได้ พวกเขานั่งอยู่บนพื้นหญ้า มองเฉียวฉู่กับเฟยเหยียนสู้กัน…ไอลีนโนเวล
ทันใดนั้น จวินอู๋เสียก็สัมผัสถึงสิ่งผิดปกติได้
“หยุดสู้ก่อน”
เสียงของจวินอู๋เสียทำให้เฉียวฉู่กับเฟยเหยียนหยุดทันที
“มีอะไรหรือ?” หรงรั่วถามพลางมองจวินอู๋เสีย
พลังวิญญาณของจวินอู๋เสียแข็งแกร่งกว่าพวกเขา นางจึงรับรู้การเคลื่อนไหวในป่าโยวเมิ่งได้ดีกว่า
“มีคนมา” จวินอู๋เสียหรี่ตา และฟังเสียงอย่างระมัดระวัง
ป่าโยวเมิ่งกลายเป็นสถานที่ที่แทบไม่มีผู้คนย่างเท้าเข้ามามานานแล้ว ในช่วงสองสัปดาห์ที่พวกเขาฝึกฝนอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่เห็นวิญญาณอื่นปรากฏตัวที่นี่เลยนอกจากพวกเขาเอง
“เสียงมาจากทางบ้านน่าหลานเยว่ กำลังเข้ามาใกล้พวกเรา” จวินอู๋เสียพูด
พวกผู้เยาว์ต่างระวังตัวขึ้นมาทันที
จวินอู๋เสียยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้พวกเขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้ พวกเฉียวฉู่ไม่พูดอะไรอีก ต่างวิ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้ที่สุด ปีนขึ้นไปและซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางใบไม้ที่หนาทึบอย่างเงียบๆ
ไม่นาน วิญญาณมนุษย์กลุ่มหนึ่งก็มาถึงบริเวณพื้นหญ้าที่พวกจวินอู๋เสียอยู่เมื่อครู่ และหัวหน้ากลุ่มวิญญาณมนุษย์ก็เป็นคนที่คุ้นเคย เมิ่งอีเหลียง
“ศิษย์พี่เมิ่ง ท่านว่าจวินอู๋เสียนั่นอยู่ในป่านี้จริงๆหรือ?” ชายคนหนึ่งถามพร้อมกับมองไปที่เมิ่งอีเหลียง
เมิ่งอีเหลียงมองไปรอบๆ พวกเขาเข้ามาในป่าโยวเมิ่งพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่พบอะไร “นางน่าจะอยู่ที่นี่ มองหาให้ดีๆ ถ้าพวกเราหาน่าหลานเยว่ไม่เจอ ก็ต้องหาตัวจวินอู๋เสียมาให้ข้า ไม่งั้นพวกเราจะไม่มีคำอธิบายดีๆตอนที่กลับไป”
“ทำไมศิษย์พี่ใหญ่ถึงอยากให้เราหาผู้หญิงคนนั้นล่ะ?” ชายอีกคนถามอย่างงุนงง พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่ามีคนแบบนั้นอยู่ด้วย