Dual Cultivation บทที่ 646 ตํารับยาในตํานาน
“ท่านผู้นําสถาบันซู นี่เป็นเรื่องฉุกเฉิน เรามีผู้มาเยี่ยมสี่คน เป็นจอมยุทธในเขตอัมพรวิญญาณสามคนและจอมยุทธเขตราชันวิญญาณอีกหนึ่งคน อย่างไรก็ตามเราไม่รู้จักพวกเขาเลย” ผู้ส่งสารรีบไปที่อาคารของผู้นําสถาบัน เพื่อแจ้งให้เธอทราบถึงการมาของซูหยาง
“อะไรนะ เจ้าจ่าคนในเขตราชันวิญญาณไม่ได้อย่างไร มีจอมยุทธเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในเขตราชันวิญญาณ และเจ้าตั้งใจจะบอกข้าว่าเจ้าจ่าคนผู้นี้ไม่ได้อย่างงั้นรี” ผู้นําสถาบันซูได้ทําการสั่งสอนศิษย์คนนี้ในทันที
“ท่านผู้นําสถาบัน ข้ารู้จักใบหน้าของผู้ฝึกยุทธทุกคนในเขตราชันวิญญาณ แต่ข้าจ่าคนนี้ไม่ได้จริงๆ เขาเป็นชายชราที่อยู่ในเขตราชันวิญญาณระดับแรก”
“ชายชราที่อยู่ในเขตราชันวิญญาณระดับแรกรี” ผู้นําสถาบันซูเล็กคิ้วเมื่อได้ยินข้อมูลนี้ ในเมื่อเธอเองก็นึก ถึงชายชราในระดับนั้นไม่ได้เช่นเดียวกัน
“เจ้าถามชื่อพวกเขาหรือไม่” จากนั้นเธอก็ถามขึ้น
“ขอรับ พวกเขาสามคนอยู่ในตระกูลที่มีนามสกุลว่า “ซี และคนสุดท้ายชื่อซูหยาง” ศิษย์คนนั้นกล่าว
“นามสกุลซีและซู – ซื้อ” ผู้นําสถาบันหยุดพูดทันที และเธอก็จ้องมองไปที่ศิษย์ด้วยดวงตาเบิกกว้าง และมองไปอย่างเชื่องซึม ราวกับว่าเธอเพิ่งเห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“ค-คะคะคนสุดท้ายชื่ออะไรนะ ท-ทบทวนให้ข้าอีกครั้ง” เธอพูดด้วยน้ําเสียงตะกุกตะกัก ไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
“อืม…ข้าเชื่อว่า เขาเรียกตัวเองว่า ซูหยาง … “ศิษย์ตอบด้วยท่าทางประหม่า หลังจากเห็นปฏิกิริยาของผู้นําสถาบัน
ทันใดนั้น
ศิษย์มองดูอย่างสยดสยอง เมื่อผู้นําสถาบันซูลุกขึ้นยืน และบินออกจากหน้าต่างที่ยังปิดอยู่เกิดเป็นช่องที่น่าเกลียดบนผนัง
“ท่านผู้นําสถาบัน” ศิษย์คนนั้นรีบวิ่งไปที่หน้าต่างทันทีและร้องเรียกเธอ แต่อนิจจา เธอหายไปนานแล้ว
ในขณะเดียวกันที่ทางเข้าของสถาบันสี่ฤดู ซูหยางและตระกูลซีก็รออยู่ข้างนอกอย่างสบายๆ ในระหว่างที่ศิษย์คนหนึ่งไปแจ้งผู้นําสถาบันซูถึงการมาของพวกเขา
“เจ้าไม่รู้จักพวกเขารี ซูหยาง ทําไมเราจึงต้องรอแบบนี้ถ้าเจ้ารู้จักพวกเขา” เจ้าซีถาม
“หม ข้ารู้จักคนเพียงไม่กี่คนของที่นี่” เขาตอบอย่างสบายๆ
“…” เจ้าซีเริ่มกังวลว่าสถาบันสี่ฤดจะรับฟังคําขอร้องของพวกเขาหรือไม่ อย่าว่าแต่จะให้รากสีธาตุแก่พวกเขา
ในขณะที่เจ้าซี่กําลังเป็นกังวลอยู่นั้น พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังอันแข็งแกร่งพุ่งตรงเข้ามาใกล้ตําแหน่งของพวกเขาด้วยความเร็วมหาศาล
“กระแสพลังที่แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้ จอมยุทธคนนี้ต้องอยู่ที่เขตราชันวิญญาณแน่” เจ้าซีแสดงความประหลาดใจ
“นี่เป็นครั้งที่สองที่ข้าได้เห็นบุคคลอื่นที่อยู่ในเขตราชันวิญญาณ และกระแสพลังของบุคคลนี้ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าเลวคนนั้น” ซีหวังรู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่เขาได้พบกับคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าสํานักทองเร็วอย่างนั้น
“น-นั่นคือท่านผู้นําสถาบัน ท่านผู้นําสถาบันกําลังมาทางพวกเรา” เหล่าศิษย์ที่ประจําการอยู่ที่ประตูพากันเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบและอดทนรอการมาถึงของผู้นําสถาบันซูในทันที
ไม่กี่อึดใจต่อมา พวกเขาก็โค้งคํานับให้กับร่างที่พุ่งลงมาตรงหน้าพวกเขา “คารวะท่านเจ้าสถาบันซู”
อย่างไรก็ตาม ผู้นําสถาบันซูไม่สนใจพวกเขาแต่ตรงเข้าหาซูหยางในทันที
“โอ้ … โอ้ ช่างดีจริง เป็นเจ้าจริงๆ ซูหยาง” ผู้นําสถาบันซูจับไหล่ของเขาด้วยมือที่สั่นเทาพร้อมกับน้ําตาไหล
“ท่านสบายดีไหม…”ซูหยางรู้สึกงุนงงกับปฏิกิริยาของเธอ ซึ่งดูเหมือนกับว่าเธอกําลังได้พบกับลูกชายที่ห่างหายไปนานเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“ข้าสบายดี สบายดีถึงที่สุด เพียงแค่ข้าไม่เคยคิดว่าจะได้เจอเจ้าอีกครั้ง หลังจากที่เจ้าจากไป” เธอกล่าวหลังจากเช็ดน้ําตา
“อย่างไรก็ตาม อะไรที่ทําให้เจ้ากลับมาที่นี่ เจ้ามาที่นี่เพื่อพบกับซูเมิ่งอี้ใช่ไหม” เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
เขาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ พร้อมกับเรื่องอื่นๆอีกสองสามเรื่อง”
“ได้โปรด เราไปคุยกันที่อื่นเถอะ ที่ซึ่งสบายกว่านี้”
จากนั้นผู้นําสถาบันซูก็พาซูหยางและตระกูลชี้จากไป ทําให้เหล่าศิษย์ตกตะลึง
“ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใครกัน ข้ามิเคยเห็นท่านผู้นําสถาบันทําตัวแบบนี้มาก่อน เธอทําให้ข้านึกถึงยายของข้าเมื่อกี้นี้”
“เธอถึงกับร้องไห้ ข้ามิคิดว่าคืนนี้ข้าจะนอนหลับได้เมื่อเห็นเช่นนั้น”
ในขณะเดียวกัน ย้อนกลับมาที่อาคารผู้นําสถาบัน หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว ผู้นําสถาบันซูก็พูดว่า “โปรดอย่าใส่ใจหน้าต่างที่แตกนี้ มันเป็นอุบัติเหตุ
จากนั้นเธอก็มองไปที่ซูหยางและพูดต่อ “ในเวลานี้ ซูเมิ่งอี้อยู่ที่สานักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตามข่าได้ส่งข้อความถึงเธอเกี่ยวกับการปรากฏตัวของเจ้าแล้ว ดังนั้นเธอควรจะกลับมาในไม่ช้า”
“แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรอื่นอีก”
ซูหยางกล่าวว่า “ท่านรู้จักสมบัติที่เรียกว่า รากสี่ธาตุ” หรือไม่ ข้ากําลังมองหามันอยู่”
“รากสี่ธาตุ” ผู้นําสถาบันซูเลิกคิ้วทันทีด้วยความประหลาดใจ “แน่นอน ข้ารู้จักสมบัติชิ้นนี้ อันที่จริงนักเล่นแร่แปรธาตุทุกคนที่มีอยู่ในทวีปนี้ก็รับรู้ถึงสมบัติล้ําค่านี้เช่นกัน ซึ่งมีข่าวลือว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมของสูตรยาในตํานาน ที่กล่าวกันว่ามีความสามารถในการชุบชีวิตคนตาย”
“อย่างไรก็ตาม มันเป็นสมบัติที่สุดแสนจะหายาก จึงต้องมีการดูแลด้วยจักรพรรดิเอง ดังนั้นจึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้เห็นมัน อย่าว่าจะแตะต้องมัน”
“ตํารับยาในตํานาน เพื่อชุบชีวิตคนตายรี ยังกับว่าจะมีอะไรแบบนั้น” ซูหยางส่ายหน้าทันที ประกาศว่ายาแบบนี้เป็นเรื่องงมงายไร้สาระ แม้ว่าจะมีตํานานที่คล้ายคลึงกันมากมายในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ แต่ก็ไม่เคยมีใครปรุงยาที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้ ไม่เว้นแม้แต่เทพปรุงยาที่เป็นที่รู้กันว่ามีความสามารถในการปรุงยาทุกเม็ดที่มีอยู่ในจักรวาลก็ตาม
“ถึงแม้ว่าข่าวลือนี้จะถูกต้องหรือไม่ แต่ก็เป็นความจริงที่ว่า รากสีธาตุนั้นมิใช่สิ่งที่ใครๆก็จะสามารถเอื้อมมือเข้าไปถึงได้ง่ายๆ และหากเจ้ากําลังมองหามัน ข้าก็ได้แต่เพียงแนะนําให้เจ้าไปหาจักรพรรดิเท่านั้น” ผู้นําสถาบันซูพูดกับเขาด้วยน้ําเสียงเสียใจ
“จักรพรรดิองค์นี้เป็นใครกันรี บอกว่าเรื่องเขาหน่อย” ซูหยางกล่าว
ผู้นําสถาบันซูพยักหน้าและอธิบายทุกอย่างให้เขาฟัง