แข่งกันเวลา โดย Ink Stone_Fantasy
ผ่านไปครู่ใหญ่ อาซีม่าจึงสูดหายใจขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปยังโต๊ะหนังสือของโรแลนด์ “ในลิ้นชักของพระองค์ น่าจะมีของที่เป็นวัสดุแบบเดียวกันอยู่เพคะ”
“ถูกต้อง” อีกฝ่ายยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงเอากล่องอีกใบมาวางไว้บนโต๊ะ “แต่ข้ารู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ทำไมเจ้าถึงบอกว่ามันเป็น ‘วัสดุแบบเดียวกัน’ แทนที่จะบอกว่าของที่ ‘เหมือนกัน’?”
“เพราะว่า…ปฏิกิริยาของทั้งสองมันไม่เหมือนกันเพคะ ถึงแม้จะเป็นระดับแหล่งกำเนิดเหมือนกัน แต่อันแรกนั้นมีปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่า” อาซีม่าบรรยายสิ่งที่ตัวเองเห็นออกมา
“อย่างนั้นเจ้าสามารถหาของที่เป็นวัสดุแบบเดียวกันชิ้นที่สามได้ไหม?”
“ขอหม่อมฉันลองดูก่อนนะเพคะ”
เธอจมลงไปในความคิดพร้อมพยายามรับรู้ถึงลำแสงสีเขียวที่อยู่ในมืออีกครั้ง เนื่องจากเป้าหมายก่อนหน้านี้อยู่ใกล้เกินไป เธอจึงมองข้ามลำแสงนำทางเส้นอื่นๆ หลังรวบรวมสมาธิอีกครั้ง อาซีม่าก็มองเห็นลำแสงเส้นยาวอีก 3 เส้น พวกมันชี้ไปยังทิศตะวันออก ตะวันตกและทิศเหนือ นี่หมายความว่าตอนนี้มีแหล่งกำเนิดอย่างน้อย 3 แห่งที่ใหญ่กว่าของที่เธอถืออยู่ในมือ แค่สิ่งที่ทำให้เธอไม่เข้าใจก็คือถึงแม้เส้นนำทางเหล่านั้นจะดูแล้วใหญ่อย่างมาก แต่มันกลับประกอบขึ้นจากลำแสงเส้นเล็กๆ จางๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
หลังจากบอกให้โรแลนด์ฟังถึงสิ่งที่เธอเห็น อีกเห็นก็พยักหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ “ก็หมายความว่าก่อนที่จะไปถึงแหล่งกำเนิดของมัน เจ้าก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่ามันอยู่ไกลเท่าไร”
“ใช่เพคะ”
“อย่างนั้นไปทางตะวันออกก่อน แล้วค่อยไปทางเหนือ” โรแลนด์ตัดสินใจออกมาอย่างรวดเร็ว “ทางตะวันตกมันต้องเข้าไปในดินแดนรกร้าง ซึ่งจะอันตรายมากเกินไป ถ้าไปจนถึงทะเลแล้วยังไม่เจอแหล่งกำเนิดก็ค่อยเปลี่ยนเส้นทางไปทางเหนือก็ได้”
อาซีม่าลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ถามสิ่งที่เธอสงสัยออกมา “ฝ่าบาท เจ้าสิ่งนี้มัน…มีค่ามากกว่าทองอีกเหรอเพคะ?”
เธอไม่ใช่แม่มดสายต่อสู้ ความสามารถในการป้องกันตัวเองเรียกได้ว่าแทบจะไม่มี ถ้าเจ้าสิ่งนี้มันมีค่าขนาดนั้นจริงๆ ทันทีที่ข้อมูลนี้รั่วไหลออกไป ไม่เพียงเธออาจจะทำภารกิจไม่สำเร็จ แต่เธออาจจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้กลางทางด้วย
โรแลนด์เหมือนจะมองเห็นถึงความกังวลของเธอ เขาพูดยิ้มๆ ขึ้นมาว่า “ความจริงมันทั้งล้ำค่าแล้วก็ไร้ค่า สำหรับคนที่ไม่เข้าใจมัน มันก็เป็นแค่หินธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีทั้งความสวยงามและประโยชน์ใดๆ เลย แต่สำหรับข้าแล้ว มันมีค่าเหนือกว่าทองคำเสียอีก อีกทั้งมันยังเป็นกุญแจสำคัญในการเริ่มต้นโครงการเรสเพลนเดนท์ เรเดียชั่นด้วย
เรสเพลนเดนท์ เรเดียชั่น? มันคืออะไร? อาซีม่าพบว่าตัวเองเหมือนจะฟังเข้าไป แต่พอคิดๆ ดูอย่างละเอียดเหมือนว่าตัวเองไม่เข้าใจอะไรเลย
“แต่เมื่อคิดถึงความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง ข้าย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าไปหามันคนเดียวแน่นอน” โรแลนด์ชี้ไปยังทหารที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่ง “เขาชื่อฌอน เขาจะเป็นคนปกป้องเจ้าในการเดินทางครั้งนี้เอง นอกจากนี้ยังมีวิศวกรทหารจากกองทัพที่หนึ่งที่จะไปกับเจ้าด้วย ภารกิจครั้งนี้คือตามหาแหล่งกำเนิดให้เจอ ดังนั้นทุกเรื่องที่ต้องการความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ในดินแดนอื่นๆ เจ้าสามารถบอกให้ฌอนไปจัดการให้ได้”
“พระองค์ทรงหมายความว่า…ผู้ปกครองพวกนั้นจะทำงานให้หม่อมฉันเหรอเพคะ?” อาซีม่าพูดอย่างตกใจ
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” โรแลนด์ยักไหล่ “พวกเขาไม่ใช่ผู้ปกครองเหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว การทำตามคำสั่งจากส่วนกลางเป็นหน้าที่ของพวกเขาในตอนนี้” เขาชะงักไปเล็กน้อย “เนื่องจากการตามหาแหล่งกำเนิดอาจจะใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นเงินค่าจ้างข้าจะจ่ายให้เจ้าก่อนล่วงหน้า 30% ส่วนที่เหลือจะจ่ายให้เดือนละครั้ง นี่คือทั้งหมดที่อยู่ในสัญญา แล้วคำตอบของเจ้าล่ะ ว่ายังไง?”
อาซีม่าคิดเล็กน้อย “ฝ่าบาท พระองค์ทรงจ่ายเงินค่าจ้างพวกนี้ให้ดอร์ริสได้ไหมเพคะ?”
“ตามหลักแล้วไม่มีปัญหา” โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา “ถ้าเจ้าอยากจะให้ทำแบบนั้นล่ะก็นะ”
“อย่างนั้นหม่อมฉันรับงานนี้เพคะ” เธอโค้งคำนับเขา “พรุ่งนี้เช้าหม่อมฉันพร้อมจะออกเดินทางเพคะ”
ถึงแม้จะมีอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อย….เธอก็ไม่ต้องเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของเธออีก นอกจากนี้ภารกิจนี้ก็ดูไม่มีอะไรที่แปลกๆ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีความช่วยเหลือของกองทัพที่หนึ่งล่ะก็ ช้าเร็วเธอก็จะต้องหาแหล่งกำเนิดนั่นเจอแน่ แล้วเมื่อรวมกับเงินรางวัล 50 เหรียญ ชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนๆ เธอก็จะดีขึ้นกว่าเดิม เธอทนที่จะบอกข่าวดีนี้กับดอร์ริสไม่ไหวแล้ว
“อย่างนั้นก็ดี” โรแลนด์ลุกขึ้นมา “แล้วข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้านะ”
…..
หลังเวนดี้ส่งอาซีม่าออกไปแล้ว เขาก็หมุนตัวเดินไปที่หน้าต่าง สายตามองดูภาพเมืองในยามค่ำคืนพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“ในที่สุดก็เริ่มแล้วสินะ”
“สร้างพระอาทิตย์น่ะเหรอเพคะ?” ไนติงเกลปรากฎตัวออกมาจากหมอกมายา “หม่อมฉันรู้สึกว่าทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ พระองค์จะดูกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษนะเพคะ…”
“เพราะมันเป็นเหมือนการไล่ตามพระอาทิตย์น่ะสิ” โรแลนด์อุทานออกมา “นับจากนี้เป็นต้นไป มนุษย์จะก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ จากที่เคยต้องเอาแต่แหงนหน้ามองพระอาทิตย์กลายเป็นการสร้างพระอาทิตย์ขึ้นมาเอง สำหรับข้าแล้ว เกรงว่าคงไม่มีเรื่องไหนที่โรแมนติกไปมากกว่าเรื่องนี้แล้ว” เขาหมุนตัวกลับมา ก่อนจะชี้ไปบนหัวของตัวเอง “เจ้ามองเห็นเครื่องหมายตกใจสีเหลืองบนหัวข้าไหม?”
ไนติงเกลส่ายหัวยิ้มๆ “หม่อมฉันเห็นเพียงคนเพ้อเจ้อ…ที่พูดเองเออเองอยู่คนเดียวเพคะ”
“แค่กๆ…” โรแลนด์เกือบสำลักน้ำลายตัวเอง “เฮ้ พูดตรงๆ แบบนี้มันจะดีเหรอ?”
“หม่อมฉันแค่ไม่อยากพูดโกหกต่อหน้าพระองค์เพคะ” อีกฝ่ายหลบสายตา
โรแลนด์ถลึงตาใส่เธออย่างโมโหปนขำ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าไนติงเกลพูดกึ่งๆ ล้อเล่นกับเขา แต่เขาก็รู้ว่าตอนที่มันไม่เสร็จเป็นรูปเป็นร่างออกมา ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเขาบ้าทั้งนั้น
กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าแผนการนี้จะสำเร็จหรือไม่
ถ้าไม่มีแม่มด เขาคงไม่มีทางคิดจะทำมันออกมาแน่ ทั้งทรัพยากร แรงงานและเงินที่ใช้ในโครงการแมตฮัตตันในโลกสมัยใหม่นั้นมากจนประเทศใหญ่ๆ บางประเทศอาจจะรับไม่ไหว การจะสร้างมันขึ้นมาจากศูนย์นั้นไม่ได้ต่างอะไรกับคนบ้าที่พูดเพ้อเจ้อเลย แต่ด้วยความช่วยเหลือของแม่มด พระอาทิตย์ก็ไม่ได้อยู่ไกลเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เขาต้องลงทุนก็มีน้อยมาก หน้าที่หลักๆ ตกอยู่ในความรับผิดชอบของแม่มดแค่ไม่กี่คน การจับระเบิดนิวเคลียร์ด้วยมือเปล่าๆ อาจจะเป็นเรื่องตลกในอีกโลกหนึ่ง แต่ที่นี่มันมีโอกาสที่จะทำได้จริงๆ
เนื่องจากเป็นแผนการที่ถูกศึกษาเอาไว้ก่อนแล้ว มันจึงสามารถดำเนินงานไปพร้อมๆ กับโครงการอุตสาหกรรมใหญ่ๆ โครงการอื่นได้ ถึงแม้จะล้มเหลวมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก
ความจริงแล้ว นับตั้งแต่วันที่ลูเซียบรรลุนิติภาวะ เขาก็เตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้แล้ว ในตอนที่ทำการเก็บรวบรวมธาตุต่างๆ มาเทียบกับบนตารางธาตุฉบับสมบูรณ์ เขาสั่งให้เคโมทำการเลือกเอาตัวอย่างตั้งต้นของยูเรเนียมออกมาจากธาตุเหล่านั้น แล้วเอามาเก็บไว้
ยูเรเนียมนั้นเป็นธาตุที่มีอยู่เยอะแยะมากมายในธรรมชาติ นอกจากเหมืองยูเรเนียมแล้ว ทั้งหินแกรนิต ถ่านหิน ไปจนถึงน้ำทะเลก็ล้วนแต่มียูเรเนียมอยู่ทั้งสิ้น เพียงแต่ด้วยข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตอนนี้ การจะเก็บรวบรวมมันออกมานั้นเรียกได้ว่ามีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แต่ความสามารถของลูเซียนั้นสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดตรงนี้ไปได้ ขอเพียงมีตัวอย่าง เธอก็สามารถดึงเอาธาตุยูเรเนียมจำนวนน้อยนิดเหล่านั้นออกมารวมกันได้
ที่เขาพูดจาฟังดูฮึกเหิมในห้องประชุมนั้นก็เพื่อปลุกขวัญและกำลังใจของทุกคน แต่มีคำพูดบางคำที่เขาเก็บซ่อนมันเอาไว้ในใจ ความโรแมนติกในการสร้างดวงอาทิตย์ขึ้นมานั้นเป็นเพียงแค่เหตุผลส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากไม่ถึงช่วงวลาชี้เป็นชี้ตายจริงๆ เขาก็คงยังไม่ตัดสินใจที่จะลงมือแน่ แต่ในข้อมูลที่ปีศาจระดับสูงบอกว่า เขาคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายแล้ว
จุดสิ้นสุดของพลังเวทมนตร์อยู่ที่ไหน
เขาไม่รู้เลย
สำหรับพลังที่มันไม่สมเหตุสมผลอันนี้ เขาไม่กล้าไปดูถูกมันแม้แต่นิดเดียว
ความเร็วในความก้าวหน้าของปีศาจนั้นน่าตกตะลึงอย่างมาก ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการยกระดับหลังจากที่แย่งเอาชิ้นส่วนสืบทอดมาได้แล้ว
คำแนะนำเรื่องการป้องกันของอกาธานั้นฟังดูเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่มันมีช่องโหว่ที่สำคัญอยู่ นั่นคือการเอาเวลาไปให้อีกฝ่ายเป็นคนจัดการ ที่สมาพันธ์พ่ายแพ้ ก็เป็นเพราะพวกเธอมองข้ามเรื่องนี้ไป
ถ้าในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สาม ปีศาจกับสัตว์ประหลาดสู้กันรู้แพ้รู้ชนะ จากนั้นก็ได้ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น พวกมันจะกลายสภาพเป็นยังไง?
ในเมื่อศัตรูสามารถใช้วิธีอันน่าเหลือเชื่ออย่างเวทมนตร์มาทำให้ตัวมันแข็งแกร่งขึ้นได้ อยางนั้นเขาก็มีแต่ต้องใช้อาวุธอันทรงพลังอย่างหนึ่งมาเป็นไพ่ตายเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเท่านั้น