โลกที่อยู่ในตรงหน้า โดย Ink Stone_Fantasy
ทั่วทั้งเขตโรงกลั่นน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งหรือว่าการป้อนวัตถุดิบก็ล้วนแต่พยายามใช้เครื่องจักรไอน้ำเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ให้ได้มากที่สุด ระดับการใช้เครื่องจักรนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเขตที่มีการใช้งานเครื่องจักรสูงที่สุดในเนเวอร์วินเทอร์
เนื่องจากมันจำเป็นต้องใช้ถ่านหินและน้ำมันดิบเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อมองลงมาจากบนฟ้าจะเห็นว่าเขตโรงงานเป็นเหมือนลานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ทางทิศเหนือนั้นจะหันเข้าหาแม่น้ำแดง พื้นที่ตรงนั้นมีทั้งท่าเรือของเขตโรงกลั่นและลานกองถ่านหิน สายพานลำเลียงจำนวนหลายสิบเส้นที่เชื่อมต่อกับเครื่องจักรไอน้ำนำเอาถ่านหินส่งเข้าไปในห้องเตาเผาอยู่ตลอดเวลา สายพานสีดำที่ดูเป็นระเบียบกับพื้นดินที่ถูกทำให้กลายเป็นคอนกรีตสีเทาดูตัดกันอย่างชัดเจน
อีกด้านหนึ่งของลานสี่เหลี่ยมใช้สำหรับเก็บน้ำมันที่ถูกส่งมาจากหาดน้ำตื้น รางเหล็กและรถลากที่วิ่งไปมากลายเป็นภาพที่เห็นได้ประจำของพื้นที่ตรงนี้ ในตอนที่ขาดแคลนถ่านหิน ห้องเตาเผาสามารถเอาน้ำมันที่ยังไม่ได้ทำการกลั่นมาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนได้
โรงเก็บน้ำมันที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของหอกลั่นน้ำมันเพิ่งจะสร้างเสร็จไปได้เพียงครึ่งเดียว ตึกคอนกรีตที่ดูเหมือนป้อมปราการเรียงเป็นแถวยาว รูปร่างที่ดูหยาบๆ ของมันดูแล้วเหมือนจะไม่เข้ากับบ้านเรือนผู้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเลย แต่มันกลับมีความงดงามอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ ถึงแม้รูปร่างของมันจะดูแปลกๆ แต่เทคโนโลยีที่ใส่เข้าไปในตัวมันนั้นถือว่าค่อนข้างล้ำสมัยเลยทีเดียว ทั้งวาล์วระบายแรงดัน ช่องกระจกสำหรับดูน้ำมัน ท่อขนส่ง อุปกรณ์สำหรับป้องกันไฟฟ้าสถิต….ตั้งแต่รายละเอียดการก่อสร้างไปจนถึงกฎระเบียบการใช้งาน หากไม่มีประสบการณ์จากโรงงานอุตสาหกรรมเคมีก่อนหน้านี้ ทุกอย่างคงไม่มีทางราบรื่นขนาดนี้แน่
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างพึงพอใจก็คือตัวเองทำหน้าที่เพียงแค่ตรวจสอบและทำการอนุมัติในตอนสุดท้ายเท่านั้น ขั้นตอนการออกแบบทั้งหมดเป็นฝีมือของกองโยธาธิการกับกองอุตสาหกรรมเคมี เห็นได้ชัดว่างานวิศวกรรมเหมืองและเขตเตาหลอมที่ผ่านมานั้นทำให้พวกเขามีประสบการณ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งยังกล้าเอาประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้ในโครงการใหม่นี้ด้วย เนื่องจากในยุคสมัยนี้ยังไม่มีมาตรฐานทางอุตสาหกรรมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำหรับยกขึ้นลงหรือกว้านสำหรับลากจูง เครื่องจักรทุกๆ อย่างล้วนแต่ต้องทำการกำหนดตัวเลขพารามิเตอร์ต่างๆ ก่อนถึงจะส่งไปให้ทางโรงงานประกอบได้ ถ้าไม่มีระดับความรู้ด้านวิศวกรรมพื้นฐานกับอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แล้วล่ะก็ การสื่อสารระหว่างคนงานทั้งสองฝั่งคงเป็นไปได้ยาก
หลังผลักดันการศึกษาภาคบังคับไปสองปี ผลสำเร็จของมันก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาให้เห็น
เมื่ออุณหภูมิในเตาเผาสูงขึ้นเรื่อยๆ น้ำมันที่ถูกเพิ่มความร้อนจนอยู่ในสภาพไอน้ำก็จะไหลเข้าไปในหอกลั่น ในจุดนี้จะเห็นได้จากหิมะที่จับตัวอยู่บนหอกลั่นละลายกลายเป็นไอน้ำออกมา ในตอนนี้ลมเหนือได้นิ่งสงบแล้ว มีเพียงแค่หิมะที่ตกโปรยปรายลงมา แต่ประชาชนทุกคนที่มาเยี่ยมชมต่างก็พากันอุทานให้กับความสวยงามของหอกลั่นแห่งนี้ เสียงลมหายใจของพวกเขาสอดประสานเข้าไปเสียงไอน้ำที่พ่นออกมาจากเครื่องจักรต่างๆ ที่อยู่บนลาน ท่ามกลางฤดูหนาวที่มองไม่เห็นแสงอาทิตย์นี้ มันกลายเป็นความอบอุ่นที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าแสงแดดเลย
……
“สวยจัง” เอดิธส์ยืนพูดเสียงเบาๆ อยู่บนสะพานเหล็ก
ที่นี่อยู่ห่างจากเขตโรงกลั่นประมาณ 2 – 3 กิโลเมตร ด้วยเหตุนี้จึงมีคนสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย บางครั้งจะมีคนที่รีบวิ่งผ่านไป ส่วนใหญ่แล้วพวกเขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังหอกลั่น นอกจากจะไปดูสิ่งแปลกใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว พวกเขาไปที่นั่นก็เพื่อดูราชา แต่ว่าในตอนที่พวกเขาเดินผ่านไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือ คนส่วนใหญ่มักจะอดเหลือบมาทางพวกเธอสองคนไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าในสายตาของพวกเขามองว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะสองคนนี้มีหน้าตาที่สะสวยอย่างมาก
นั่นมันก็แค่ปล่องไฟไม่ใช่เหรอ? สวยตรงไหน? โคลบ่นอยู่ในใจ แต่ปากกลับไม่กล้าพูดมันออกมา “ถ้าท่านอยากจะดูทำไมถึงไม่บอกทางสำนักงานเมืองล่ะ? ท่านบารอฟจัดที่ดีๆ ให้ท่านได้ไม่ใช่เหรอ ฝ่าบาทเองก็…”
ถึงแม้ตรงนี้จะอยู่ในมุมที่ค่อนข้างสูง มุมมองเองก็กว้าง แค่เนื่องจากระยะทางค่อนข้างไกล ด้วยเหตุนี้จึงมองอะไรไม่ค่อยชัดเท่าไร ที่สำคัญกว่านั้นก็คือการเดินทางไปเยี่ยมชมหอกลั่นครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ผูกสัมพันธ์กับคนในสำนักงานเมือง การที่เจ้าหน้าที่สำนักงานเมืองไปรวมตัวอยู่ด้วยกัน ความสำคัญของมันไม่ได้อยู่ที่การไปเยี่ยมชม หากเปลี่ยนเป็นยุคสมัยของขุนนาง นี่ก็เป็นเหมือนกับงานเลี้ยงงานหนึ่ง สิ่งสำคัญของงานเลี้ยงนั้นไม่ได้อยู่ที่อาหารภายในงานเลี้ยง หากแต่อยู่ที่ว่าคู่สนทนาที่เราสนทนาด้วยกับคนที่เราได้ทำความรู้จักใหม่นั้นมีใครบ้าง
สำหรับพี่สาวที่เชี่ยวชาญเรื่องปฏิสัมพันธ์กับผู้คนแล้ว เธอไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องพวกนี้แน่นอน ตอนแรกเธอบอกให้เขาตั้งใจฝึกงานอยู่ในสำนักงานเมืองแท้ๆ แต่นี่เธอกลับจงใจที่จะปล่อยโอกาสแบบนี้ไป บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าในหัวสมองของอีกฝ่ายนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
แต่สายตาที่เหลือบมองมาของเอดิธส์ทำเอาโคลต้องหุบปากไปทันที
“ก็เพื่อเจ้าน่ะสิ น้องชายที่รักของข้า” เธอพูดเสียงเบาๆ “เจ้าอยากจะให้เจ้าหน้าที่คนอื่นเห็นเจ้าในสภาพนี้จริงๆ เหรอ?”
เดี๋ยวๆ ท่านเป็นคนบอกให้ข้าทำแบบนี้เองไม่ใช่เหรอ!
ให้ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ในบ้านก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เธอดันบังคับให้เขาใส่มันออกมาข้างนอก นี่ถ้าถูกคนรู้จักเห็นเข้า เขาคงต้องไปกระโดดสะพานหนีอายแน่
บ้าจริง! เพราะตัวเองหาเรื่องแท้ๆ เลย ดันไปหยิบเอาเสื้อผ้าของพี่สาวๆ มาลองทาบตัวดูจนถูกพี่สาวมาเห็นเข้า ก็เลยตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะยอมทำตามง่ายๆ ได้ยังไง
ในขณะที่โคลกำลังจะพูดแย้งออกไป ด้านหลังเขาพลันมีเสียงผิวปากดังขึ้นมา
เขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็จับคอเสื้อขึ้นมาเหมือนจะพยายามเอาหัวมุดลงไปในเสื้อ
“ไม่ นั่นไม่ใช่วิธีรับมือที่ถูกต้อง”
มือข้างหนึ่งดันคางของเขาไว้ ทำให้เขาจำต้องเงยหน้าขึ้นมาใหม่
จากนั้นโคลเห็นพี่สาวของตัวเองหันหลังกลับไปมองดูคนๆ นั้นด้วยสายตาดูถูก ความเย็นชาในสายตาของเธอเย็นยะเยือกจนแม้แต่เขาก็ยังอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ ชายคนนั้นถอยหลังไปทันที ก่อนจะเดินหนีไปโดยไม่กล้าพูดอะไรอีก
“เข้าใจหรือยัง?” เอดิธส์ยักไหล่ “นี่คือบททดสอบสำหรับเจ้า”
“….ถ้าแต่งตัวให้มันดีๆ ก็คงไม่เจอเรื่องแบบนี้หรอก” โคลบ่นเสียงเบาๆ
“แต่ถ้าเจ้าอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง มันก็จะต้องเกิดเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้แบบนี้แน่นอน สิ่งที่เจ้าทำได้นั้นมีเพียงแค่ยอมรับมันและพยายามเรียนรู้ที่จะควบคุมมัน” เธอชะงักไปเล็กน้อย “หรือเจ้าคิดว่าตอนที่ทอว์ฟิคขึ้นมาพักอยู่ที่ดินแดนทางเหนือ ข้ายินดีต้อนรับเขาด้วยใจจริง? ทุกสิ่งบนโลกนี้มีหลายมุม สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเจ้าจะเลือกมองมุมไหน อีกอย่างเจ้าเป็นคนหยิบเอาเสื้อผ้าข้ามาลองเอง ความจริงภายในใจเจ้าก็รอช่วงเวลาแบบนี้อยู่ใช่ไหมล่ะ?”
โคลรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมา พี่สาวเขามักจะเอาการกระทำที่ไร้สาระบางอย่างของเขามาพูดเป็นตุเป็นตะ ในเวลานี้แบบนี้ถ้าไปเถียงกับเธอ เขาต้องแพ้แน่นอน วิธีที่ถูกต้องก็คืออยู่เงียบๆ
ส่วนประโยคสุดท้ายนั้น เขาไม่ยอมรับเด็ดขาด!
แต่ที่เธอบอกว่าสวยก่อนหน้านี้มันก็เป็นเพราะมุมมองที่ไม่เหมือนกันเหรอ?
หลังถามคำถามนี้ออกไป โคลก็เห็นแก้มของอีกฝ่ายแดงเรื่อขึ้นมาอย่างชัดเจน
“เจ้าจำฤดูหนาวของเมืองอีเทอร์นอลไนท์ได้ไหมว่าเป็นยังไง?”
“เออ…” เขาตกตะลึงเล็กน้อย ภายในหัวมีภาพหลายภาพผุดขึ้นมา แต่ในภาพเหล่านั้นมีเพียงไม่กี่ภาพที่เป็นภาพเมือง ภาพส่วนใหญ่มักจะเป็นภาพเตาผิงร้อนๆ เหล้าและงานเลี้ยง ภาพที่นึกขึ้นมาได้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพภายในห้อง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดอย่างไม่มั่นใจขึ้นมาว่า “เหมือนจะค่อนข้าง….เงียบ?”
“ไร้ชีวิตชีวา เหมือนทั้งเมืองถูกน้ำแข็งปิดตายเอาไว้” เอดิธส์มองไปทางหอกลั่น “ข้าคิดมาตลอดว่านั่นคือสภาพปกติของฤดูหนาว แต่ดูตอนนี้สิ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย” เธอพ่นลมหายใจสีขาวออกมา “ตอนนี้เจ้ามองเห็นอะไร? แผ่นดินกำลังโห่ร้อง ส่วนไอน้ำพวกนั้นก็คือเครื่องยืนยันที่ดีที่สุดว่ามันยังมีชีวิตอยู่”
“ข้าไม่ค่อย….เข้าใจ”
“นี่พิสูจน์ได้ว่าธรรมชาติสามารถถูกมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพูดช้าๆ ชัดๆ “ทุกคนไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตตามกฏของธรรมชาติ แล้วก็ไม่ต้องถูกกดเอาไว้เพียงเพราะตัวเราอ่อนแอ และหลังจากที่พวกเราแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งแล้ว พวกเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ พลังแบบนี้ยังสวยงามไม่พอเหรอ?”
แต่ว่าโคลกลับมองเห็นอีกเรื่องหนึ่งที่สวยกว่า
หญิงสาวที่กำลังพูดอยู่นั้นเหมือนมีประกายที่ไม่สามารถบรรยายได้แผ่กระจายออกมา หิมะที่โปรยปรายลงมาบนเส้นผมสีเขียวครามดูงดงามทิวทัศน์ไหนๆ แก้มที่แดงเรื่อช่วยลดความดุร้ายที่ผ่านมาขอเธอลงไปได้ ทำให้ใบหน้าที่ขาวเนียนดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก
ภายในใจเขามีความรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาว่าโลกภายในดวงตาของเอดิธส์นั้นเป็นอย่างไรกันแน่?
….
“น้ำมัน น้ำมันออกมาแล้ว!”
บริเวณใกล้ๆ หอกลั่นหมายเลขหนึ่งมีเสียงตะโกนขึ้นมา ผู้คนก็พากันแตกตื่น
“อะไรออกมานะ?”
“เหมือนจะเป็นน้ำมัน!”
“เอามาทอดแป้งเหรอ?”
“ใช่ที่ไหนล่ะ ตรงลานมีแต่ถ่านหินกองเต็มไปหมด ไม่ใช่เนื้อซักหน่อย”
“จะไปสนทำไมล่ะว่าอะไรออกมา ในเมื่อเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงต้องการ อย่างนั้นมันจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆ แน่”
“อย่างนั้นพวกเราฉลองได้แล้วใช่ไหม?”
“ใช่ ฝ่าบาททรงพระเจริญ!”
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ!”
ไม่นานก็มีคนอีกจำนวนมากพากันตะโกนตามขึ้นมา ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ถึงความสำคัญของหอกลั่นน้ำมัน แต่มันก็ไม่เป็นปัญหาต่อการร่วมแบ่งปันความสุขกันในเวลานี้
เสียงตะโกนกระจายออกไปเหมือนคลื่น จนดังไปทั่วทั้งเขตโรงกลั่นในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที ภาพเหตุการณ์แบบนี้ทำเอาเดือนแห่งปีศาจดูไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างทุกที
เมื่อมองดูควันสีขาวดำที่พุ่งขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำ กับหอกลั่นที่เทาที่ดูลางๆ ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา ภายในใจโรแลนด์เต็มไปด้วยความรู้สึกภูมิใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้
ถ้าบอกว่ากลุ่มควันที่พวยพุ่งขึ้นมาตรงเนินทิศเหนือนั้นเป็นผลสำเร็จของปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่หนึ่ง อย่างนั้นควันที่เกิดขึ้นตรงพื้นที่นี้ก็หมายถึงการมาถึงของยุคสมัยใหม่