เสียงของทราย โดย Ink Stone_Fantasy
“ฮัด…เช่ย….”
ในตอนที่โลก้าลุกขึ้นมาจากผ้าห่มอันอบอุ่น หัวของเธอยังรู้สึกปวดอยู่เล็กน้อย เธอดูดปากตัวเอง ก่อนจะพบว่าตามร่องฟันยังคงมีรสชาติของเหล้าขาวสมุนไพรอยู่
ดูเหมือน…เธอจะดื่มเยอะไปอีกแล้ว
“อือ…”
เธอส่งเสียงครางเบาๆ ออกมาในลำคอ
หลังกลับมาจากการรบ เธอก็อยู่ในสภาพแบบนี้มาอาทิตย์กว่าแล้ว
“ต้องโทษหัวหน้านั่นแหละ” เธอย่อมต้องหมายถึงโรแลนด์ วิมเบิลดัน
แม่มดทุกคนที่เข้าร่วมการรบจะได้รับรางวัล น้อยหน่อยก็หลายสิบหยวน มากหน่อยก็มากกว่าร้อย ในขณะที่เธอเป็นแนวหน้าในสนามรบ เธอเองก็ได้รับรางวัลมา 35 หยวน ถ้าแปลงเป็นเหรียญทองก็จะได้ประมาณ 100 เหรียญทอง
การเฉลิมฉลองหลังการรบนั้นเป็นเรื่องปกติ ที่นักรบชาวโมเกนสู้ตายในการต่อสู้ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากจะเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความกล้าและเกียรติของตัวเองแล้ว พวกเขายังสู้เพื่อรางวัลด้วย ทรัพยากรในทะเลทรายไม่พอที่จะเลี้ยงดูทุกคน ถ้าอยากจะทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นก็จำเป็นต้องสู้เพื่อมัน
แต่ว่าท่าที่ของแม่มดในสโมสรแม่มดที่มีต่อรางวัลนั้นแตกต่างไปจากชาวโมเกนอย่างสิ้นเชิง
หลังเรียนเสร็จ ภายในห้องโถงของปราสาทจะครึกครื้นอย่างมาก
เมื่อภายในกระเป๋าเงินมีเงินเพิ่มขึ้นมา พวกเธอก็ต้องเอาเงินเหล่านั้นไปแลกอาหารชนิดต่างๆ จากพ่อครัว จากนั้นก็เอามาแบ่งๆ กันกิน โดยเฉพาะแอนเดรียที่ไม่เพียงแต่จะได้รับรางวัลเยอะที่สุด แต่เธอยังเชี่ยวชาญในการจัดงานเลี้ยงอย่างมากด้วย เรียกได้ว่าเธอเป็นผู้นำการใช้ชีวิตแบบนี้มาสู่ทุกคน
ต้องยอมรับเลยว่าแผ่นกระดาษที่ดูสวยงามเหล่านี้เหมือนมีพลังเวทมนตร์อันน่ามหัศจรรย์ พอใช้ออกไปแล้วกลับไม่รู้สึกถึงความกดดันอะไรเลย โลก้าคอยลองคำนวณดู ก่อนจะพบว่าเงินที่ทุกคนใช้ออกไปในแต่ละคืนรวมกันแล้วเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอย่างมาก
แต่ชีวิตแบบนี้ไม่สามารถหยุดลงได้….
หมาป่าสาวเพิ่งจะเคยรับความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างเพื่อนที่อายุใกล้ๆ กันแบบนี้เป็นครั้งแรก หลังจากที่ตัดสินใจเข้ามาอยู่ในสโมสนแม่มด เธอก็ได้รับการยอมรับจากทุกคนอย่างรวดเร็ว ความเชื่อใจแบบนี้ทำให้เธอแอบรู้สึกตกใจเล็กน้อย ถึงแม้แม่มดที่เกิดขึ้นมาในหมู่ชาวทะเลทรายจะถูกยกย่องให้เป็นเทพี อีกทั้งยังได้รับความเคารพจากคนจำนวนมากในเผ่า แต่ตัวเทพีกลับมีโอกาสได้พูดคุยกันน้อยมาก เพราะว่าพวกเธอต่างก็เป็นอาวุธในการช่วงชิงตำแหน่งของแต่ละเผ่า อย่าว่าแต่จะมานั่งกินดื่มด้วยกันเลย แค่จะเจอหน้ายังต้องระมัดระวังกันอย่างมาก
แต่ถึงแม้ทุกคนจะมีเงินเหลือ แต่การจะดื่มเครื่องดื่มยุ่งเหยิงอย่างเต็มที่นั้นค่อนข้างเป็นเรื่องลำบาก ด้วยเหตุนี้แอนเดรียจึงคิดเกมทายไพ่ขึ้นมาสองสามเกม คนชนะได้ดื่มเครื่องดื่มยุ่งเหยิง คนแพ้ได้ดื่มเหล้าขาว ห้ามใช้พลัง แล้วก็ต้องถือหินอาญาสิทธิ์เอาไว้ในมือถึงจะเล่นเกมได้
จากนั้นเธอก็กลายเป็นแบบนี้
หรือว่าตัวเองจะโชคร้ายขนาดนั้น? โลก้าย่อมไม่มีทางยอมรับ ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงเป็นความผิดของชีค
หากพระองค์มอบรางวัลเป็นเหรียญทองเหมือนอย่างเมื่อก่อนนี้ เธอเชื่อว่าทุกคนคงไม่มีทางเอามันมาใช้จนหมดอย่างรวดเร็วแบบนี้แน่!
ไม่ได้ เธอจะอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้
หมาป่าสาวตบแก้มตัวเอง
อย่าลืมสิว่าเธอมาที่นี่เพื่อฝึกฝนตัวเอง ถ้าใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป ฝีมือการต่อสู้ของเธออาจจะหายไปหมดก็ได้!
เธอไม่เคยเห็นแม่มดอาญาสิทธิ์เฉลิมฉลองแบบนี้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน พวกเธอก็ล้วนแต่มีท่าทีสุขุม นี่สิถึงจะเป็นแบบอย่างของนักรบยอดเยี่ยมที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน
โลก้าสูดหายใจ ก่อนจะหยิบเอาเสื้อกันหนาวมาใส่แล้วลุกลงจากเตียง เธอเตรียมจะไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปเมืองชายแดนที่สาม
ที่นั่นทุกคนต่างก็มีฝีมือที่ไม่ธรรมดา ในเมื่อชีคไม่อนุญาตให้เธอออกจากเมืองไปคนเดียว อย่างนั้นการไปหาพวกแม่มดอาญาสิทธิ์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน
ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องนอน เธอพลันสังเกตเห็นกระดาษหนังแกะเหน็บอยู่ตรงช่องประคู
หลังเข้ามาอยู่ในสโมสรแม่มด เธอก็ได้ย้ายมาอยูที่ตึกแม่มดในปราสาท โดยเธอนอนคู่กับชารอน แต่ว่าปกติอีกฝ่ายมักจะมานอนที่นี่ในเวลาที่จำเป็นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ส่วนใหญ่เธอจึงนอนในห้องเพียงคนเดียว
ดังนั้นนี่จึงเป็นจดหมายของเธอ?
โลก้ากางกระดาษออกมาอย่างประหลาดใจ ก่อนจะพบว่ามันเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธอคือลายมืออันคุ้นเคยของพ่อเธอ
‘ลูกสาว อยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์เป็นยังไงบ้าง? มีใครมารังแกเจ้าหรือเปล่า?’
ไม่มีคำขึ้นต้นอย่างที่นิยมกันในดินแดนทางเหนือ ลายมือยังคงเขียนหวัดๆ เหมือนเคย แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นทะเลทราย
หางของเธอกระดิกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ถึงแม้ตอนที่จากบ้านมา โลก้าจะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รับการดูแลจากครอบครัว แต่ในตอนที่ได้เห็นประโยคนี้ เธอพลันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นภายในใจ
“จะเป็นไปได้ยังไง ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะ?” เธอบ่นพึมพำ
‘แต่คิดๆ ดูแล้วคงไม่มีประโยชน์ที่จะถามแบบนี้ เพราะว่าเจ้าคือเจ้าหญิงโลก้าแห่งเผ่าไวลด์เฟลม มีแต่เจ้าที่รังแกคนอื่น คนอื่นไม่มีทางที่จะมารังแกเจ้าได้ใช่ไหม?’
‘ตอนนี้สมาชิกภายในเผ่าย้ายจากเมืองไอรอนแซนด์มายังท่าเรือเคลียร์วอเทอร์แล้ว แถมยังได้อยู่ตรงริมแม่น้ำด้วย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าชีคดูแลเจ้าดีหรือเปล่า แต่อย่างน้อยที่นี่เขาก็ไม่ได้ผิดคำพูด คำสัญญาที่ให้ไว้ตอนการต่อสู้ศักดิ์ล้วนแต่กำลังกลายเป็นจริง ขอเพียงหางานทำ ก็จะไม่มีทางอดตาย เผ่าต่างๆ ก็เลยย้ายมาที่นี่กันมากขึ้น แล้วก็ทำให้มีปัญหาความขัดแย้งเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรเพิ่มขึ้นด้วย’
‘แต่วิธีการแก้ปัญหาของคนทางเหนือไม่เหมือนกับราชินีเคลียร์วอเทอร์ พวกเขาห้ามไม่ให้มีการต่อยตีกัน ทุกคนต้องใช้กฏหมายของอาณาจักรทางเหนือในการแก้ไขปัญหา ถึงแม้ประสิทธิภาพจะต่ำไปหน่อย แต่อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลอกใช้ คนที่ยอมรับในจุดนี้ก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่จึงค่อนข้างเป็นระเบียบทีเดียว’
‘นอกจากจะสร้างท่าเรือเคลียร์วอเทอร์ขึ้นมาใหม่แล้ว เผ่าบางเผ่ายังไปทำนาอยู่ด้านนอกเมืองด้วย ข้าวที่พวกเขาปลูกก็เป็นข้าวสาลีที่ถูกขนมาจากทางแม่น้ำ ทางเมืองฟอลเลนดราก้อนส่งคนมาสอนพวกเราขุดร่องน้ำ ใส่ปุ๋ย เก็บเกี่ยว ต้องยอมรับเลยว่าคนทางเหนือนี่หาวิธีทำให้ตัวเองอิ่มท้องได้ง่ายจริงๆ พวกเราต้องลำบากลำบนกว่าจะหาอาหารมาจากโอเอซิสได้ พวกเขาไม่ต้องทำอะไรมากก็ปลูกมันขึ้นมาได้แล้ว แถมยังเยอะกว่าเราตั้งหลายเท่าด้วย ตอนนี้ทุกคนใช้ชีวิตแทบจะเหมือนกับคนทางเหนือแล้ว ข้าไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แต่พอไม่ต้องออกไปล่าสัตว์เพื่อฝึกพลังและจิตใจของตัวเอง มันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป…ลูกสาว เจ้ามีวิธีดีๆ บ้างไหม?”
“คำถามพวกนี้ท่านควรจะไปถามพี่ใหญ่ถึงจะถูก” โลก้าเบะปาก ก่อนจะอ่านลงไปต่อ
‘ข้าคุยเรื่องข้าจบแล้ว เรามาคุยเรื่องเจ้ากันบ้างดีกว่า ถ้า…ข้าหมายถึงสมมติว่าชีคเขาดูแลเจ้าดี เจ้าก็น่าจะลองหาโอกาสแสดงให้เขารู้ว่าเจ้าพร้อมจะรับใช้เขา ข้าได้ยินว่าพวกขุนนางทางเหนือมีงานอดิเรกมากมาย ไม่แน่เขาอาจจะเป็นพวก…’
หมาป่าสาวกรอกตาขึ้นมาทันที
‘เอาล่ะ เก็บกรงเล็บก่อน ข้าก็แค่พูดๆ ไปเท่านั้น ความจริงแล้วข้าอยากจะรู้มากกว่าว่าตอนนี้ฝีมือเจ้าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว? ได้เจอศัตรูที่น่ากลัวพวกนั้นหรือยัง? เทียบกับตอนที่จากเมืองไอรอนแซนด์ไป เจ้าน่าจะเติบโตขึ้นมากใช่ไหม? แต่จำเอาไว้นะ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็อย่าได้ใจร้อนและหน้ามืดตามัว อย่าได้ลืมเส้นทางที่ตัวเองตามหาเด็ดขาด’
เมื่อเห็นประโยคนี้ โลก้ารู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เธอรู้สึกขายหน้าจนอยากจะเอาหน้ามุดดินหนีไป
ปีศาจน่ะเจอแล้ว แถมยังได้ทำศึกกับพวกมันด้วย แต่ประโยชน์ของเธอแทบจะเป็นศูนย์ เดิมคิดว่าแนวหน้าจะเป็นหน่วยที่ได้ปะทะกับศัตรูก่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถเข้ามาในระยะ 300 เมตรได้ นอกจากเสาหินแปลกๆ ที่เล่นงานเธอจนมอมแมมแล้ว เธอแทบจะไม่เห็นหน้าศัตรูเลย
ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ เธอไม่มีทางเลือกไปอยู่แนวหน้าแน่
นอกจากนี้เธอยังรู้สึกไม่ชินอย่างมากกับอาวุธใหม่ที่ชีคสร้างขึ้นมาให้เธอเป็นพิเศษด้วย จริงอยู่ที่มันมีอานุภาพรุนแรงจนน่าตกใจ แต่เธอมักจะรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่พละกำลังของเธอ แล้วก็ไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างใจต้องการและไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้จากการฝึกฝนด้วย นี่จึงทำให้ยากจะเชื่อมโยงมันเข้ากับเทคนิคการต่อสู้ได้
บวกกับเรื่องที่เธอเที่ยวเล่นจนเพลินหลังจากสงครามจบลง นี่จึงยิ่งทำให้โลก้ารู้สึกผิดขึ้นมา
ถ้าไม่เป็นเพราะช่วงท้ายของจดหมายยังมีข้อความอยู่อีกหน่อย เธอคงจะรีบวิ่งไปยังเมืองชายแดนที่สามแล้ว
แต่เนื้อหาส่วนสุดท้ายกลับทำให้โลก้าขมวดคิ้วขึ้นมา
‘อ้อใช่แล้ว ยังมีปัญหาเล็กน้อยอีกเรื่องหนึ่ง ข้าได้ยินว่าช่วงนี้ในเมืองไอรอนแซนด์ไม่ค่อยสงบสุขเท่าไร พวกเผ่าใหญ่ๆ ที่ยังไม่ย้ายออกมาเหมือนจะไม่พอใจที่ชาวทะเลทรายจำนวนมากย้ายออกมาจากซิลเวอร์สตรีม แต่เรื่องรายละเอียดข้ายังไม่รู้แน่ชัดเท่าไร ส่วนเรื่องที่ว่าจะบอกชีคหรือไม่นั้น อันนี้ก็แล้วแต่เจ้าเป็นคนตัดสินใจ ถ้าเขาแสดงท่าทีรังเกียจเจ้าเพราะรูปร่างของเจ้าล่ะก็ อย่างนั้นก็สมควรหาเรื่องให้เขาปวดหัวหน่อยใช่ไหมล่ะ?’
ปัญหานี้แทบจะไม่ต้องลังเลเลย
โลก้าเก็บจดหมายพร้อมผลักประตูออก ในขณะที่เธอกำลังจะไปยังปราสาท เธอบังเอิญเห็นเวนดี้เดินอยู่ตรงระเบียงทางเดือนพอดี
เธอรีบเข้าไปทำความเคารพ “ท่านช่วยพาข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทหน่อยได้ไหม? ข้ามีเรื่องอยากจะบอกพระองค์”
“บังเอิญจัง” เวนดี้กะพริบตาก่อนจะยิ้มขึ้นมา “ฝ่าบาทเองก็ทรงอยากจะพบเจ้าพอดี เชิญตามข้ามาเลย”