หนังเวทมนตร์ โดย Ink Stone_Fantasy
ชีคไม่ได้รอพบเธออยู่ที่ห้องหนังสือเหมือนอย่างทุกที
โลก้าเดินตามเวoดี้เข้าไปยังห้องรับแขกที่อยู่ชั้นหนึ่ง ก่อนจะพบว่าภายในห้องนอกจากโรแลนด์ วิมเบิลดันแล้ว ยังมีผู้หญิงแปลกหน้าอยู่อีกคนหนึ่งด้วย
เธอมองดูอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ส่วนอีกฝ่ายเองก็มองมาที่เธอเหมือนกัน แต่ว่าสิ่งที่ทำให้หมาป่าสาวรู้สึกแปลกๆ ก็คือในสายตาของผู้หญิงคนนั้นเหมือนพยายามจะมองทะลุตัวเธอเพื่อตรวจสอบอย่างไรอย่างนั้น
“มาแล้วเหรอ” โรแลนด์ยังคงทำสีหน้าอ่อนโยน “ข้าตามเจ้ามาก็เพราะมีภารกิจอยากจะมอบหมายให้เจ้าทำ นั่งลงก่อนสิ”
“เพคะ” หลังอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มาครึ่งปี โลก้าก็พอจะรู้ถึงนิสัยของชีคที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพิธีรีตองเท่าไรนัก เธอยกหางของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามผู้หญิงคนนั้น “แต่ว่าทรงอนุญาตให้หม่อมฉันรายงานข่าวๆ หนึ่งก่อนได้ไหมเพคะ นี่เป็นข่าวเกี่ยวกับดินแดนทางใต้สุดเพคะ”
“โอ้?” อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นมา “ว่ามาสิ”
โลก้าเล่าสิ่งที่พ่อของเธอเขียนเอาไว้ในจดหมายออกมา “ถึงแม้หม่อมฉันจะคิดว่าชาวเผ่าในเมืองไอรอนแซนด์จะทำอะไรท่าเรือเคลียร์อวอเทอร์ไม่ได้ แต่เราก็ควรจะป้องกันเอาไว้ดีกว่าเพคะ การบุกเบิกพื้นที่หนึ่งๆ ขึ้นมานั้นต้องใช้กำลังและเวลาอย่างมาก แต่การทำลายมันนั้นง่ายนิดเดียว โดยเฉพาะในตอนที่กองทัพที่หนึ่งกลับมายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ทั้งหมดแบบนี้
“อย่างนี้นี่เอง” โรแลนด์ลูบคางตัวเอง “ความจริงตอนที่กำหนดแผนการเคลื่อนย้ายชาวทะเลทราย ทางทีมที่ปรึกษาก็เคยคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน ตอนนี้น่าจะประมาณปีนึงได้แล้ว พวกเขาน่าจะเตรียมตัวพร้อมแล้วล่ะ”
โลก้าเหมือนจะคิดอะไรอยู่ “พวกเขาหมายถึง…”
“อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ” โรแลนด์ตอบยิ้มๆ “ก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาจะคลี่คลาย กองทัพที่หนึ่งไม่มีทางที่จะดูแลทั้งอาณาจักรได้อย่างทั่วถึงแน่นอน เรื่องของดินแดนทางใต้สุด ยังไงก็ต้องให้คนในพื้นที่เป็นคนจัดการ” เขาชะงักไปเล็กน้อย “แต่ไม่ว่ายังไง ข้าก็ต้องขอบคุณพ่อของเจ้ามาก ถ้าเขายินดีจะให้ความร่วมมือ เรื่องนี้จะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน”
“บางทีหม่อมฉันอาจจะเขียนจดหมายให้ท่านพ่อได้เพคะ” หมาป่าสาวตอบออกไปทันที ในตอนที่พูดออกไปแล้ว เธอถึงจะสังเกตเห็นว่าตอนนี้เธอยืนอยู่ในุมุมของเมืองเนเวอร์วินเทอร์…หรือพูดอีกอย่างคือในมุมของชีคเรียบร้อยแล้ว
“ในเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง เดี๋ยวข้าเป็นคนเขียนเองจะดีกว่า” โรแลนด์โบกมือ “ยิ่งไปกว่านั้นที่ข้าตามเจ้ามาก็ไม่ใช่เพื่อจะมาคุยเรื่องเครียดๆ พวกนี้ เดี๋ยวข้าขอแนะนำก่อน เลดี้ที่อยู่ข้างข้าคนนี้ชื่อเมย์ เจ้าน่าจะเคยได้ยินอีกฉายาหนึ่งของนาง ‘ดวงดาราแห่งดินแดนตะวันตก’”
“คณะละคร…สตาร์ฟลาวเวอร์?” โลก้างุนงง เธอไม่ได้สนใจเรื่องละครพวกนี้เท่าไร แม้แต่ชื่อคณะละครนี้ก็ได้ยินมาจากปากของเอคโค่ เธอรู้เพียงว่าในคณะละครนี้มีนักแสดงอยู่สองคนที่เป็นที่ชื่นชอบของคนในเมืองเนเวอร์วินเทอร์อย่างมาก และคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ก็ได้ชื่อนี้มาเพราะเหตุนี้
แต่ว่านี่เกี่ยวอะไรกับเธอด้วยเล่า?
“ท่านคือองค์หญิงลำดับที่สามของเผ่าไวลด์เฟลมเหรอ? สมแล้วที่เป็นชาวทะเลทราย ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้เลย” ในที่สุดเมย์ก็เก็บสายตาที่เหมือนจะพยายามมองทะลุตัวเธอไป ก่อนจะทำความเคารพเธออย่างสง่างาม “ยินดีที่ได้รู้จัก คุณหนูโลก้า การทำงานด้วยกันหลังจากนี้ข้าคงต้องขอคำชี้แนะด้วย”
ทำงานด้วยกันเหรอ? โลก้ามองไปทางชีคด้วยสายตาเลิกลัก อีกฝ่ายนั้นไม่ใช่แม่มด ส่วนเธอก็ไม่ได้มีความสามารถในการแสดงเหมือนอย่างเอคโค่ แล้วจะไปทำงานด้วยกันได้ยังไง?
“คืออย่างนี้” โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา “เจ้ายังจำที่ข้าเคยบอกว่าอยากจะให้หลายๆ คนยอมรับพลังพวกนั้นกับแม่มดที่เป็นเหมือนอย่างเจ้าได้หรือเปล่า? วิญญาณไม่ควรจะเกี่ยวอะไรกับรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ว่าพวกนางจะมีรูปร่างที่แปลกประหลาดกว่าคนอื่นยังไง จะมีหูมีหางหรือมีเกล็ดบนใบหน้า โดยเนื้อแท้แล้วพวกนางก็คือหนึ่งในพวกของเรา ถ้าอยากทำให้คนยอมรับเรื่องพวกนี้ได้ ละครคือวิธีที่ได้ผลเร็วที่สุด”
“พระองค์ทรงอยากจะให้หม่อมฉันไปแสดงละครเหรอเพคะ?” โลก้าหน้าตาลนลานขึ้นมาทันที ถึงแม้หลังจากที่เธอตัดสินใจว่าจะไม่ปิดบังหูและหางของตัวเอง ชาวบ้านในเมืองจะไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจตัวเองออกมาอย่างชัดเจน แต่นี่มันเป็นคนละเรื่องกับการให้เธอไปยืนอยู่ตรงหน้าคนเป็นพันๆ คน “แต่หม่อมฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย แล้วมันก็ไม่ใช่สิ่งที่หม่อมฉันถนัดด้วย ยิ่งไปกว่านั้นที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์แห่งนี้ หม่อมฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีใครไม่ชอบหม่อมฉัน บางทีพระองค์น่าจะไปหาคนอื่น…”
“สบายใจได้” โรแลนด์เหมือนจะมองความคิดของเธอออก “เจ้าไม่ต้องไปแสดงอยู่ต่อหน้าทุกคน ผู้ชมเองก็ไม่ใช่คนในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน ข้าเรียกมันว่าภาพ….ไม่สิ ข้าเรียกมันว่า ‘หนังเวทมนตร์’”
“หนังเวทมนตร์?” หมาป่าสาวพูดทวน
ชีคหยิบเอาผลึกแปลกๆ ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาให้เธอดู ในเวลานี้เธอถึงได้สังเกตเห็นว่ามันไม่ใช่เครื่องประดับธรรมดาๆ ทั่วไป บนตัวปรึซึมสีขาวเงินมีอัญมณีแวววาวฝังอยู่สามเม็ด รอบๆ ยังมีริ้วสีน้ำเงินอยู่อีกหลายเส้น ตอนที่แกว่งไปแกว่งมา เธอเหมือนจะมองเห็นสำแสงเย็นๆ วูบไหวไปมาอยู่ในลวดลายของมัน
“เจ้าสิ่งนี้คือรูนเวลา เป็นเทคโนโลยีที่หลงเหลือมาตั้งแต่สมัยทาคิลาเหมือนกับรูนแห่งโชคชะตา มันสามารถเอาไปรวมกับหินเวทมนตร์อื่นๆ แล้วทำให้เกิดผลทางเวทมนตร์ที่ต่างกันได้” เขาพูดอธิบาย “แต่ว่ารูนแห่งเวลาไม่ได้ใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขเวลา หากแต่ใช้บันทึกภาพเหตุการณ์หนึ่งๆ ลงไป แล้วฉายมันซ้ำไปซ้ำมาได้ ถ้าไม่เป็นเพราะชัยชนะในครั้งนี้ที่ทำให้เราสามารถเก็บเอาหินเวทมนตร์คุณภาพดีมาจากปีศาจระดับสูงและอสูรสยองตัวยักษ์นั้นได้จำนวนมาก รูนที่มีค่าเช่นนี้ก็ไม่มีทางที่จะทำออกมาได้ง่ายๆ พูดอีกอย่างคือ สถานที่ในการแสดงครั้งนี้ไม่ใช่ลานเมือง แล้วก็ไม่ใช่ที่ไหนด้วย หากแต่เป็นโลกแห่งความจริงนี้”
“ในตอนที่ข้าได้ยินว่าเวทมนตร์สามารถทำเรื่องที่มหัศจรรย์เช่นนี้ได้ ภายในใจข้ารู้สึกประหลาดใจและยินดีจนไม่อาจบรรยายได้เลย” เมย์อุทานออกมา “คุณหนูโลก้าอาจจะไม่รู้เรื่องละครมากนัก แล้วก็ไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร นักแสดงอย่างพวกเราจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ ประสบการณ์และฝีมือการแสดง จึงทำให้พวกเขายากจะรักษามาตรฐานการแสดงของตัวเองเอาไว้ให้เหมือนเดิมทุกครั้งได้ ด้วยเหตุนี้ช่วงเวลาสูงสุดในอาชีพนักแสดงของทุกคนจึงมีเพียงแค่ครั้งเดียว”
“แต่ตอนนี้ฝ่าบาททรงสามารถบันทึกการแสดงเหล่านี้เอาไว้ได้ นั่นก็หมายความว่าขอเพียงเตรียมตัวมาดี ฝึกซ้อมบ่อยๆ ก็จะทำให้การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดสามารถฉายออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ พวกเราจะสามารถทุ่มเทสมาธิเข้าไปในทุกๆ การเคลื่อนไหว ทุกๆ สีหน้าได้ สำหรับพวกเราแล้วนี่มันเป็นเหมือนกับปาฏิหาริย์!”
“ข้าได้ยินว่าปกติรูนนี้จะใช้บันทึกการประชุมที่มีความสำคัญๆ หรือพิธีเฉลิมฉลองเท่านั้น การที่ฝ่าบาททรงคิดเชื่อมโยงมันเข้ากับการแสดงละครได้นี่นับว่าพระองค์ทรงเป็นอัจฉริยะจริงๆ” เมย์กล่าวชมโรแลนด์ “ข้ากล้าพนันเลยว่าขอเพียงข่าวนี่แพร่ออกไป นักแสดงทุกคนจะต้องดีใจกันอย่างมากแน่ ต่อให้ต้องจ่ายเงินจำนวนมาก พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไปแน่”
“อะแฮ่มๆ” ชีคทำสีหน้าอายๆ ออกมา “ความดีความชอบตรงนี้ควรเป็นของคณะสตาร์ฟลาวเวอร์จะดีกว่า ในช่วงสองปีมานี้พวกเราทำงานกันหนักมากเพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องนโยบายของเมือง” พูดจบเขาก็มองไปทางโลก้า “เจ้าคิดว่าไง? ละครเรื่องนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ ข้าใช้เวลาอยู่เกือบครึ่งเดือนแหนะ กว่าจะเขียนมันออกมาได้”
ถึงแม้สุดท้ายโลก้าจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าหนังเวทมนตร์มันคืออะไร เพราะเธอไม่สามารถเชื่อมโยงละครเข้ากับปาฏิหาริย์ได้ แล้วเธอก็ไม่อยากเอาเวลาอันมีค่ามาใช้กับเรื่องที่เธอไม่สนใจแบบนี้ด้วย เพียงแต่ในตอนที่ได้ยินว่าละครนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ เธอกลับเปลี่ยนความคิดของตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้….อย่างนั้นหม่อมฉันลองดูก็ได้เพคะ” โลก้าตอบพร้อมกระดิกหู