หมีใหญ่อยู่บนพื้นด้วยความตกตะลึง  จากนั้นเขามองขึ้นข้างบนและเริ่มหัวเราะเนื่องจากเขาอดรู้สึกพึงพอใจกับความทุกข์ยากของกระเรียนคอยาวมิได้  นี่คือความจริงก่อนที่เขาตะโกนขึ้นอย่างรวดเร็ว

” พี่ใหญ่ …ดู ! เจ้าตัวเล็กนี้มีหยกผูกไว้ที่คอ … นี่หมายความว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงของใครสักคน … และนั่นมิได้หมายความว่า ….ฟู่ฟฟ…”

เห็นได้ชัดจากเสียงขู่อันเยือกเย็นว่าเขากำลังสั่นกลัว

สัตว์เลี้ยง … ?

 

บุรุษชุดดำมิอาจละเลยวาจานั้น  เขาหมุนสิ่งมีชีวิตตัวน้อย และพบหยกขาวชิ้นหนึ่ง  มันเป็นสีขาวใส เหมือนกับขนของเจ้าสิ่งนี้  เช่นนั้น จึงไม่มีผู้ใดสามารถเห็นได้หากไม่ตั้งใจมอง ความจริง หมีใหญ่ มิอาจเห็นนั้นได้หากเขามิได้นอนอยู่บนพื้น …และไม่ได้สังเกตเห็นการสะท้อนแสงซึ่งแสดงถึงความแตกต่างระหว่างขน และหยก …

 

” นครเทียนเชียง ….ตู่กู้…”

บุรุษชุดดำอ่านคำเหล่านั้นเบาๆ จากนั้น เขาเงยหน้าขึ้นทันใจ และเริ่มครุ่นคิด  เป็นเวลาชั่วครู่ก่อนเขาเอ่ยขึ้นในที่สุด

” อีกแล้ว นครเทียนเชียงนั่น !  ดูเหมือนว่าเราต้องมุ่งหน้าไปยังนครเทียนเชียงแห่งนี้  เจ้าตัวน้อยนี้สามารถพัฒนาไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ และสิ่งนี้สามารถแก้ปัญหาของเราได้  เจ้าตัวเล็กนี่สามารถก้าวหน้าไปได้แม้นว่าร่างกายจักอ่อนแอ  ยิ่งกว่านั้น ยังมีช่องว่าให้มันเติบโตได้อีกมากมาย  รวมไปถึง ดูเหมือนมันจักไม่มีผลข้างเคียงอันใด  เคล็ดวิชาลึกลับนี่เขย่าโลกาอย่างแท้จริง !”

 

หมีใหญ่คิดถึงบางสิ่งได้ในทันที  จากนั้น เขาเริ่มคลานตรงไปยังเจ้าขาวน้อง และหยุดตรงหน้าของมัน  จากนั้นเขาอ้าปาก และส่งเสียงหอน และแยกเขี้ยวสีขาวออกมา

 

ดวงตาของเจ้าขาวน้อยลุกโชน  มันยกอุ้งเท้าและแสดงท่าทาง จากนั้นอ้าปากและควรญคราง

 

บุรุษชุดดำเตะเข้าไปที่หลังของหมีใหญ่

“ข้าลืมไปว่าเจ้าสามารถคุยกับมันได้ ! เหตุใดถึงไม่ทำก่อนหน้านี้ เจ้าโง่หรืออย่างไร ? “

 

หมีใหญ่ถูก้นของเขาขณะสาปแช่งในใจ

เจ้าก็ลืมเช่นกัน  แล้ว เหตุใดถึงทำเช่นนี้กับข้า ….?

แต่ เขามิกล้าเอ่ยปาก  เขาควรญเล็กน้อย และจากนั้นเขาเริ่มส่งเสียงแปลกประหลาด  โอ้ะ! โอ้ะ! …. ซ้ำๆ

 

ดวงตาของเจ้าขาวน้อยกระพริบอย่างตื่นเต้น  อุ้งเท้าสองข้างของเขาเคลื่อนขึ้นและลง เขาส่งเสียง

“โอ้ะ ! โอ้ะ! โอ้ะ! …..” เช่นกัน

ฝ่ายตรงข้ามเป็นหมี และข้าเป็นเสือ…แต่เรายังสามารถคุยกันได้ !  มิใช่สิ่งที่ดีเลิศอย่างนั้นหรือ !

 

หมีใหญ่สอบถามเพิ่มเติมอย่างเร่งรีบ  เจ้าขาวน้อยเงยหน้า และมองไปยังฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้เดียงสา  จากนั้น เขาครวญครางเล็กน้อย  เขาต้องการอธิบาย แต่เขามิอาจอธิบายได้ …และดวงตาของเขาแสดงถึงความสับสนในใจอย่างชัดเจน  เช่นนั้น เขายอมแพ้และห้อยหัวลงมาด้วยความท้อแท้  เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเพ่งมองอย่างว่างเปล่า ขณะที่หูของเขาลูบลง และมิได้ส่งเสียงอื่นใด …

 

หมีใหญ่ยกมือขึ้นเพื่อบอกว่าเขาถามคำถามเสร็จแล้ว

 

 

บุรุษชุดำและกระเรียนคอยาวถามพร้อมกัน

” อะไรหรือ ? “

 

” โอ๊ะ! โอ้ะ! อู้วววว …. ”

หมีใหญ่ ลืมเปลี่ยนภาษามาและเอ่ยด้วยภาษาแปลกประหลาดนั้นต่อไป  จากนั้นเขาได้รับการต่อยเข้าที่หน้าอก และเตะเข้าที่หลัง  จากนั้นเขาตะโกนและเริ่มถูกส่วนที่โดนโจมตี …

 

” รีบพูดสิเจ้าโง่ ! ”

ใบหน้าของอีกสองผู้แสดงถึงความชั่วร้าย  และ เจ้าขาวน้อยตกใจ เช่นนั้นเขาจึงหดหัวและหันหน้าเดินไปทางหน้าอกของบุรุษชุดดำ  สิ่งมีชีวิตตัวน้อยนี้ช่างเยาวว์วัยนัก  แต่เงยหน้าขึ้น และรู้ว่าบุรุษชุดดำเป็นหัวหน้าของคนเหล่านี้  ดังนั้น เขารู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนที่ปลอดภัยที่สุดที่จะอยู่ด้วย  เช่นนั้น เจ้าขาวน้อยหอนด้วยความสับสนทันใด เบิกดวงตากว้าง หมุนตัวสองครั้ง ประอุ้งเท้าด้วยความเคารพ และจากนั้นมันแลปลิ้นเลียบุรุษชุดดำ

 

บุรุษชุดดำสบัดมือราวกับโดนสายฟ้า และเจ้าขาวน้อยตีหน้าเศร้าขณะที่เขาร่วงลงบนพื้น

 

“เจ้าตัวน้อยนี่ !”

บุรุษชุดดำเอ่ยด้วยความเสียใจและมีโทสะ จากนั้น ดึงปลอกแขนขึ้นและยกเจ้าขาวน้อยขึ้นมา และอุ้มมันไว้ที่หน้าอกอีกครั้ง  หลังจากนั้น เจ้าเริ่มลูบหัวมัน

“…ไร้เดียงสายิ่งนัก !”

เขาเอ่ยด้วยทีท่าจริงจัง

 

เจ้าขาวน้อยหวาดกลัวที่จะมองไปที่เขา  เช่นนั้นเขาจึงนอนคว่ำตัวโดยไม่เคลื่อนไว

 

” บอกได้ว่าทรงพลัง …ทรงพลังยิ่งนัก และเป็นเลิศ … คนดีมากได้ช่วยเขา”

หมีใหญ่หายใจด้วยโทสะขณะที่เขาตอบด้วยน้ำเสียงหยาบหระด้าง  ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และสีหน้าของเขาหม่นหมอง

 

“ข้าถามมันว่าคนผู้นี้มีหน้าตาเช่นไร และเจ้าสิ่งนี้ตอบว่า ดี ดีมาก  ข้าถามถึงอายุของคนผู้นี้ และเขาตอบว่า ดี! ดีมาก ! …. ทุกสิ่งดี !  ดีมากๆ ! …”

หมีใหญ่ยังคงเศร้าหมอง  ความจริง น้ำเสียงของเขาเกือบจะแสดงถึงความไม่พอใจ

 

” มิได้มีรายละเอียดใดๆ เจ้าสื่อสารกันอย่างไรเจ้าโง่ ?! “

บุรุษในชุดดำกระวนกระวาย

 

” ไม่มีคำตอบใดนอกจาก ดีมาก ! มันบอกว่ากลิ่นของบุรุษผู้นี้ดีมาก  ความจริง เขาบอกว่ามันดีเลิศยิ่งกว่าเจ้านายของเขา”

หมีใหญ่เอ่ยต่อ  เขารู้สึกโศกเศร้าเนื่องจากทุกสิ่งสับสนอย่างมากสำหรับเขา …

 

” น่าพอใจ เจ้าตัวน้อยผู้นี้อายุเพียงไม่กี่เดือน อีกทั้งเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมที่เขาสามารถสื่อสารได้มากมายเช่นนี้ เมื่อเจ้าอายุเท่านี้เจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ ?  แต่อย่างน้อยเราสามารถยืนยันได้ว่าคนที่สามารถเพิ่มความก้าวหน้าของอสูรเชวียนได้นั้นมีอยู่จริง…!”

 

กระเรียนคอยาวแสดงสีหน้าเหยียดหยาม  เขาหันไปหาบุรุษชุดดำ

” พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าสิ่งนี้สัมพันธ์กับบุรุษชุดหน้ากากดำ  ความจริง ข้ามันใจว่ามันต้องสเชื่อมโยงกับเขา  ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดยกเว้นคนผู้นั้นสามารถทำสิ่งนี้ได้  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าตัวน้อยมีเจ้านาย  เช่นนั้น เจ้านายของมันและผู้ที่พัฒนาพลังปราณของมันจักต้องใกล้ชิดกัน  เขาคงไม่ใช้เคล็ดไม่สามัญนี้หากเขามิใช่เพื่อนสนิทกัน คนผู้นั้นใช้เคล็ดเช่นนี้อย่างสะเพร่าได้อย่างไรกัน ? “

 

” ใช่ การประเมินของน้องกระเรียนคอยาวนั้นสมเหตผล  เหตุใดเจ้าไม่เรียนรู้จากเขา น้องหมี ?  เช่นนั้น หากพูดถึงที่อยู่ในตอนนี้ของบุรุษลึกลับและทรงพลังผู้นี้ เป็นไปได้ว่าเขาอยู่ที่นี่  อย่างไรก็ตาม อย่างน้อย เรารู้ว่าเจ้านายของเจ้าตัวน้อยนี้อยู่ที่นี่….”

 

ดวงตาของบุรุษชุดดำเริ่มเปล่งประกาย  เขาเดินสองก้าวและออกคำสั่งแน่วแน่

” ดำเนินการตามแผ่นที่ได้ตัดสินใจไปก่อนหน้านี้ !  แต่อย่าได้พุ่งไปที่คนของสกุลจวินและตูกู้  หาก …”

 

จากนั้นถอนใจ

 

” พี่ใหญ่ หากเราไปถึงการต่อสู้ชีชะตา … มันจักไม่ … ? “

กระเรียนคอยาวและหมีใหญ่มองเขาด้วยความกังวล

” เจ้าอยู่ในขั้นปฐพีเชวียนสูงสุด … หากมันมีผลกระทบ… มันจะไม่ …? “

 

” นั่นไม่สำคัญ ! ”

บุรุษชุดดำโบกมือและเอ่ย

” นี่เป็นการต่อสู้เพื่อเกียรติยศ !  และเราจักมีความมั่นคงไปอีกอย่างน้อยสิบปี หากเราชนะ !  แต่หายนะจักเกินขึ้นอย่างแท้จริงหากเราตัดสินใจอย่างไม่ระวังที่จักละเว้นการต่อสู้  ข้าจักกลับไปเก็บตัวและ รุกรานประตูสิบสองเมื่อเรื่องนี้จบลง  จากนั้นเจ้าทั้งสองสามารถปกครองเทียนฟาได้ในเวลานั้น ”

 

” ขอรับ ! ”

อีกสองคนตอบรับพร้อมเพียง

 

นครสวรรค์ใต้ดูเหมือนจักเต็มไปด้วยความสับสนในเวลานั้น  และทุกคนดูเหมือนวิตกกังวล

 

การชุมนุมของยอดฝีมือกว่าครึ่งโลกมิได้ทำให้เกิดความมั่นใจว่าจักชนะหลังจากได้พบเห็นความน่ากลัวของเหล่าอสูรเชวียน

 

กลุ่มคนที่ถูกส่งมาจากเหล่าสกุลที่ยิ่งใหญ่ และก๊กเหล่าที่ทรงพลัง  ยิ่งกว่านั้น ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนก็อยู่ด้วย และ มียอดฝีมือเทพเชวียนอย่าน้อยสี่สิบหรือห้าสิบ พวกเขาเคยเต็มไปด้วยความมั่นใจ และมั่งมั่นเพื่อไปต่อสู้ … แต่นั่นก่อนที่อสูรเชวียนจักแสดงถึงความแข็งแกร่ง  ความจริงพวกเขาบางคน พยายามมองหาประโยชน์จากการต่อสู้ครั้งนี้ เพราะพวกเขาหวังจักเก็บเกี่ยวแกนเชวียนจากอสูรเชวียนหลังจบการต่อสู้

 

นี่จักทำให้เราได้รับความมั่งคั่งมากมาย !

 

อ่างไรก็ตาม ความคิดเลิศเลอนี้ได้หายไปเนื่องจากพวกเขาได้พบกับการแสดงความแข็งแกร่งของอสูรเชวียน อสูรเชวียนอันดับแปดเทียบชั้นได้กับ ยอดฝีมือสวรรค์เชวียน และอสูรเชวียนอันดับเก้า เทียบได้กับยอดฝีมือเทพเชวียน  ด้วยวิธีคิดนี้ ความแข็งแกร่งของเถียรฟานั้นเกินกว่าพวกเขา พวกเขาลืมไปหนึ่งเรื่อง และได้เห็นเพียงอสูรเชวียนอันดับเก้า  และพวกเขามีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อย !  และ … อสูรเชวียนระดับแปดมีนับหมื่น

พวกเราจักสามารถต่อสู้ในสังเวียนนี้ได้อย่างไร ?  พวกเราจัดทำได้อย่างไร ?!

 

ยังต้องคิดถึงเรื่องเก็บเกี่ยวแกนอสูรเชวียนอีกหรือ ?  เจ้าต้องฝันได้แน่ๆ !

 

ยิ่งกว่านั้น ยังมีตำนานว่า … ราชันอสูรเชวียน เทียบเท่ากับยอดปรมาจารย์  อ่างไรก็ตาม ในสนามรบตอนนี้มีพวกเขาอยู่เพียงห้า … นั่นคือรวม เฟิงจวนจุ้น อยู่ด้วย !  และ สิ่งที่ไร้เหตุผลที่สุดคือความจริงที่ว่า … ความแข็งแกร่งของราชันแห่เถียรฟานั้นมิอาจเทียบเทียน !  ดังนั้น อย่างน้อยในตอนนี้ยอดปรมาจารย์ ลีจื้อเทียน จึงเสียเปรียบ….

 

ผู้นำของเหล่าก๊กเหล่าทรงพลัง ที่ถกเถียงกันอยู่ตลอดวัน แต่ยังไม่มีการตอบโต้ใดจนถึงตอนนี้  หากมีผู้ใดผู้หนึ่งคิดแผนการได้ … จักมีอีกผู้หนึ่งหักล้างมันลง  หากมีผู้ใดเสนอยุทธวิธี … ผู้อื่นก็จักล้มล้าง  แต่กระนั้น ยังมีเรื่องน่าแปลกใจที่ไม่มีการวิวาทภายในจากพฤติกรรมนี้  ยิ่งกว่านั้น ยังมีผู้คนมากมายที่ต้องการล่าถอยหลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของอสูรเชวียน

 

คุณชายน้อยจวินก็ยังมิได้อยู่อย่างสงบ  อาจกล่าวได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่เหนื่อยมากสำหรับเขา  อย่างแรก เขาใช้พลังงานไปอย่างมากในการโน้มน้าว ไป๋ลี่หลัวหยุน เขาเหนื่อยล้าทั้งกายใจอย่างมาก แต่เขาคิดว่าจักได้ผ่อนคลายเมื่อได้กลับไปยังกระโจม  อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามาถึงกระโจม และพบว่าเจ้าขาวน้อยหายไป  เช่นนั้น เขาจึงต้องปลอบประโลม ตู่กู้เซี่ยวอี้ อย่างไร้ทางเลือก  และ นั่นไร้ประโยชน์นัก…

 

คุณชายน้อยจวิน เริ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและติดขัดอย่างมากเนื่องจากเขามิได้ก้าวหน้าเลย  และ เด็กสาวยังคงร้องไห้งอแงต้องการออกไปหาเจ้าขาวน้อยให้จงได้  สิ่งนี้ทำให้คุณชายน้อยจวินกระวนกระวายอย่างมาก  เช่นนั้น เขาจึงคำราวว่าเขาจักมัดนางเหมือนมัดข้าวและส่งนางกลับไปยังนครเทียนเชียง

 

สิ่งนี้ทำให้แม่นางตู่กู้สงบลงอย่างรวดเร็ว  แต่นางกลับพุ่งพล่านด้วยโทสะ  มันทำให้นางมองหาวันเวลาและโอกาสที่ดีเพื่อเอาคืนเขา ….

 

กวนเซียงฮั่นเริ่มปลอบนางขณะที่นางมองไปยัง เด็กเสเพลที่อยู่ข้างๆนาง

เจ้าเหลือขอผู้นี้ขบขันกับเด็กสาวก่อนที่เขาจักเริ่มยหงุดหงิด แล้ว ทำไมตอนนี้ถึงไม่ละ … ?  พฤติกรรมของเขาเปลี่ยนเป็นเลวทรามในทันที  น่าอายยิ่งนัก !

 

สายตาไม่เป็นมิตรของสองหญิงสาวเป็นเหมือนเข็มหมุดสำหรับจวินโม่เซี่ย  เช่นนั้นเขาจึง ละจากเพื่อนอย่างโศกเศร้าและเริ่มคร่ำครวย

ชีวิตข้าเต็มไปด้วยความยากลำบาก !  ทุกคนมีแต่ปัญหา … ดูข้าสิ .. ข้าเป็นตัวอะไร .. คนดับเพลิงหรือ ?

 

จากนั้นเขาวิ่งไปหา ตงฟางเหวินเจี้ยน และ ตงฟางเหวินต้าในขณะที่เขาออกจากกระโจม และสองลุงตงฟาก็มิได้เต็มใจปล่อยจวินโม่เซี่ยไปเช่นกัน พวกเขาสอบถามจวินโม่เซี่ยถึงสิ่งที่ผ่านไปในหลายปีนั้น ด้วยความละเอียด ความจริง พวกเขาสอบถามเขาอย่างถี่ถ้วนจนทำให้คุณชายน้อยจวินเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ..และเพิ่มความเหนื่อยล้าให้กับจิตใจที่เหนื่อยล้าของเขานับร้อยเท่า …

 

พระเจ้า !  ไม่ปล่อยให้ข้าได้พักสักหน่อยหรือ ?

 

จากนั้นจวินวูอี้และ ตงฟางเหวินชิงกลับมาในตอนค่ำ … ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  และ จวิวูอี้หันไปทางกระโจมของจวินโม่เซี่ยในทันทีหลังจากที่เขาได้ออกคำสั่งระเบียบทางทหาร

 

“มันแย่หรือ ? “

จวินโม่เซี่ยถาม  กวนเซี่ยงฮั่นนั่งอยู่ข้างๆเขา นางลืมตาเงียบๆ และเงี่ยหูฟัง

 

” มันมิได้แย่ มันน่าหวาดกลัว ! “

จวินวูอี้ขมวดคิ้ว และถอนใจ

” นี่มิใช่การต่อสู้  ไม่มีกำลังทหารที่นี่  ไม่มีผู้ใดยอมกัน  ยิ่งกว่านั้น สกุลมากมายต้องการล่าถอย  ข้าเชื่อว่าเราต้องพ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่มเนื่องจากเราขาดกำลังใจในค่ายนี้ ”

 

” อะไรนะ ?  เช่นนั้น ไม่มีข้อสรุปใดเลยหลังจากถกเถียงกันทั้งวัน ?  สถานการณ์มิได้เลวร้ายใช่หรือไม่ ? “

จวินโม่เซี่ยตกตะลึง

ผู้คนไร้สามารถเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?!

 

” มองในแง่ร้าย ?  นี่เป็นข้อโต้แย้งที่มองโลกในแง่ดีมากในสถานการณ์นี้ !  เจ้าคิดว่าการประชุมเช่นนั้นต้องมีการเห็นพ้องกันหรือ ?! “

ตงฟางเหวินชิงเต็มไปด้วยโทสะขณะที่เขาคำรามทางจมูก

” เราเห็นด้วยกับการตัดสินใจที่จักยุติความเป็นมนุษย์หากเป็นไปตามข้อเสนอของเหล่ายอดปรมาจารย์ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ขาดขวัญกำลังใจและความพร้อม  พวกเราจักล้มเหลวในทันทีหากอสูรเชวียนโจมตีในคืนนี้ ! ”

 

” มันกลายเป็นว่า ลีจื้อเทียนนั้นไม่มีความเป็นผู้นำเพียงพอ ”

จวินโม่เซี่ยถอนใจขณะเขาเอ่ย

 

” โอ้ ใช่หรือ ?!  สถานะของเหล่ายอดปรมาจารย์เป็นที่นับถืออย่างแท้จริง แต่พวกเขายังเป็นมนุษย์  พวกเขาสามารถรวบรวมกองกำลังมากมายเพื่อสงคราม แต่มีพวกเขาสักคนที่สามารถเป็นผู้นำพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ ?  พวกเขาแต่ละคนเพียงแต่จดจ่อกับการฝึกฝนตนเอง  มิเช่นนั้นยพวกเขาจักประสบความสำเร็จมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?  แต่เมื่อพูดถึงความสามารถในการเป็นผู้นำ … ยอดปรมาจารย์จุ้นเป้ยเฉิน และ ยอดปรมาจารย์ฉีฉาเซี่ยวถือได้ว่าดีกว่าพวกเขาคนอื่นๆ  อย่างไรก็ตาม พวเขาทั้งหมดนั้นโง่เขลาในเรื่องนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวผู้นั้น … เขานั้นป่าเถื่อน ! ”

 

ตงฟางเหวินชิงเอ่ยต่อด้วยโทสะ

” วาจาของเขานั้นยั่วโทสะเขาอย่างมาก !  เขาต้องการให้ข้านั้นสนใจเพียงยอดฝีมือเทพเชวียนเท่านั้นในตอนนี้  เขาบอกว่าเราจักต้องลอบแทรกซึมเข้าไปในเถียรฟา และสังหารราชันอสูรจำนวนมากก่อนจักล่ามถอยอย่างรวดเร็ว  ข้าต้องการตบความหยิ่งยะโสของเขาออกไปเสีย  เขานั่นเป็นดั่งคนหัวหมูอย่างแท้จริง ! “