บทที่ 126 บังคับเกณฑ์
ใบมีดค่อย ๆ กรีดลงบนผิวหนัง ทำให้เลือดสดทะลักออกมาเจิ่งนองไปทั่วโต๊ะ
มือคล่องแคล่วคู่หนึ่งรีบล้วงเข้าไปในร่าง ดึงเอาหัวใจที่ยังมีความสมบูรณ์พร้อมออกมาดวงหนึ่ง
แม้ฉู่อิงหว่านจะสังหารทหารเผ่าคนเถื่อนมาก่อน แต่ก็ยังไม่คุ้นกับภาพฉากเช่นนี้ นางมุ่นคิ้วแล้วเอ่ยคำ “ข้าไม่เข้าใจว่าทำเช่นนี้จะได้ประโยชน์อะไร”
“เผ่าคนเถื่อนมีหัวใจสองดวง ทำให้ร่างกายสร้างพลังได้จำนวนมหาศาล หากแต่พลังก็ไม่ได้มาจากหัวใจเพียงอย่างเดียว…… พวกเขามีหัวใจมากกว่าเราเพียงหนึ่งดวงแท้ ๆ แต่กลับมีพลังเหนือกว่าพวกเราสองเท่า !” ซูเฉินตอบพร้อมรอยยิ้มบาง
หลังได้พบกับกองทัพกำลังสวรรค์แล้ว เชลยเผ่าคนเถื่อนก็ไร้ประโยชน์อีก ดังนั้นซูเฉินจึงเริ่มนำตัวทดลองมาใช้อย่างไม่คิดอะไรมาก ทำให้งานวิจัยของเขาคืบหน้า
ความโหดร้ายของคู่ต่อสู้หรือความแตกต่างของเผ่าคนเถื่อนนั้นต่างเป็นข้อมูลเพิ่มเติมเท่า ด้วยแค่ความเกลียดชังระหว่างกันก็มาพอจะทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่อาจเข้ากันได้แล้ว
ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ใส่ใจความเจ็บปวดใด หรือแสดงความเมตตาต่อศัตรูแม้แต่นิด
และเพราะเขาสอนโทเทมโลหิตสลายให้กับคนอื่นแล้ว กองทัพกำลังสวรรค์จึงเริ่มสนอกสนใจในหัวข้อการวิจัยของซูเฉิน หลายครั้งก็เข้ามาดูบ่อย ๆ
หากแต่การวิจัยที่โชกเลือดเป็นปกติของเขา กลับทำให้คนดูรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง
“ไม่ใช่เพราะโทเทมเหล่านั้นหรอกหรือ ?” ฉู่อิงหว่านถามขึ้น
“โทเทมเป็นเพียงส่วนเสริม แต่ร่างกายที่แข็งแกร่งทรงพลังของพวกเขาเป็นพื้นฐานสำคัญ ส่วนโทเทมเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้พวกเขาขับพลังซ่อนเร้นภายในร่างออกมาได้” ซูเฉินเอ่ย พลางตรวจสอบหัวใจในมือด้วยเนตรมองจุลภาค “แหล่งความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขาคือพลังต้นกำเนิด”
“พลังต้นกำเนิด ?” ฉู่อิงหว่านชะงักไป “เผ่าคนเถื่อนใช้พลังต้นกำเนิดไม่เก่งไม่ใช่หรือไร ?”
“นั่นเป็นความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงที่เรามีเกี่ยวกับเผ่าคนเถื่อน ทั้งยังเป็นเรื่องที่ข้าเพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง” ซูเฉินตอบคำ “ข้าพบว่า แม้พวกเขาจะไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพลังต้นกำเนิดนั้นไร้ประโยชน์ต่อพวกเขา กลับกันเลย ในร่างกายของพวกเขามีสสารขนาดเล็กอันเป็นเอกลักษณ์ ที่คอยเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดให้กลายเป็นพลังกายอยู่ตลอดเวลา”
“เจ้าหมายความว่า……” ฉู่อิงหว่านเอ่ยเสียงตกตะลึง
“ถูกต้องแล้ว พลังกายอันทรงพลังของพวกเขา แท้จริงแล้วมาจากการเปลี่ยนพลังต้นกำเนิด เราดูดซับมันเข้าร่าง เก็บมันไว้ใช้ จากนั้นปล่อยมันออกมาผ่านการใช้วิชาต่าง ๆ แต่พวกเขาดูดซับพลังต้นกำเนิด แล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังชีวิตแทน ผลที่ได้คือการมีร่างกายแข็งแกร่งทรงพลัง”
มนุษย์ดูดซับพลังต้นกำเนิด คล้ายกับการเพิ่มพลังในร่าง เมื่อพลังนั้นสูงถึงจุดหนึ่ง ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นสสารทางกายภาพได้ แต่การดูดซับพลังต้นกำเนิดของเผ่าคนเถื่อนนั้น เหมือนกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายมากกว่า
ในทางทฤษฎี เมื่อร่างกายแข็งแกร่งถึงจุดหนึ่ง ก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายได้
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สังเกตเห็นได้ยาก ซึ่งมีเหตุผลอยู่สองประการ ข้อแรกเผ่าคนเถื่อนทรงพลังมาก แต่มักโจมตีเรียบง่าย ข้อสองพวกเขามีมันสมองที่เรียบง่าย ไม่ชอบคิดอะไรให้ซับซ้อน ดังนั้นจึงไม่ค่อยชอบใช้วิชาอะไรใหม่ ๆ
การที่มีโทมเทมเป็นวิชาลับของเผ่า ซึ่งเป็นวิธีเพิ่มพลังการต่อสู้นั้น เป็นตัวแสดงว่าเผ่ามีความเก่งกาจอยู่แล้ว แต่มุมมองของซูเฉินในการแปลงพลังต้นกำเนิดไปเป็นพลังชีวิตไม่เรียบง่ายเช่นนั้น
เขาพูดขึ้นว่า “หากเราสามารถล่วงรู้ถึงความลับ รู้ถึงวิธีที่เผ่าคนเถื่อนแปลงพลังต้นกำเนิดให้กลายเป็นพลังชีวิตได้ สักวันหนึ่ง มนุษย์ก็อาจพัฒนาไปมีร่างกายแข็งแกร่งเช่นเผ่าคนเถื่อนได้ !”
สิ้นคำเขา ทุกคนตรงนั้นก็พลันนิ่งเงียบไป
“เป็นไปได้หรือ ?” หลี่ฉงซานรีบถาม
“ได้ แต่ต้องใช้เวลาและพึ่งดวง” ซูเฉินตอบ “ไม่มีใครรู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เบื้องหลังทุกความสำเร็จคือความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน ข้าทำวิจัยมากว่า 20 ปี มีเพียงผลงานที่เป็นระบบเพียงสามอย่างที่ข้าทำสำเร็จ นั่นคือ โทเทมโลหิตสลาย อาวุธวิญญาณ และภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิด หากข้าวิจัยเรื่องเผ่าคนเถื่อนมากพอ นั่นก็จะเป็นความสำเร็จที่สี่ ข้าคิดไว้ว่าจะเรียกมันเป็น…… การบ่มเพาะร่าง ในเมื่อมันเป็นการใช้พลังมาบ่มเพาะร่างกายนี่นะ !”
ในประวัติศาสตร์การบ่มเพาะพลังของมนุษย์ วิชาต้นกำเนิดหลากหลายวิชาถูกพัฒนาขึ้นให้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกายได้ เช่น วิชากายาเวหาเวียนที่ซูเฉินกำลังบ่มเพาะอยู่
หากแต่พลังที่เพิ่มขึ้นมาด้วยวิชาเช่นนี้เทียบกับความแกร่งทางร่างกายของเผ่าคนเถื่อนไม่ได้เลย
หากซูเฉินสามารถทำให้มนุษย์บ่มเพาะร่าง หรือพัฒนาระบบบ่มเพาะร่างเช่นนั้นขึ้นมาได้ ก็นับว่ามันเป็นการคิดค้นสิ่งใหม่ขึ้นมาเลยทีเดียว
รอยยิ้มจริงใจปรากฎบนใบหน้าฉือไคฮวงพลางมองศิษย์ตน “เจ้าทำสำเร็จแน่”
“ข้าก็หวังไว้เช่นกัน” ซูเฉินยังไว้ท่าไม่วางใจ “ใช่แล้ว การเคลื่อนไหวของเผ่าคนเถื่อนช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?”
“ราวกับฝูงสุนัขคลั่ง ค้นหาพวกเราไปจนทั่ว เราออกเดินทางเลยดีหรือไม่ ?” หลินเฉ่าเซวียนตอบ
อาณาเขตของเผ่าคนเถื่อนนั้นกว้างใหญ่ มีประชากรเบาบาง ทำให้กองทัพกำลังสวรรค์สามารถหลบซ่อนได้ในหลายพื้นที่ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เผ่าคนเถื่อนไม่อาจตามจับตัวพวกเขาได้โดยง่าย
แต่แม้จะมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ส่วนมากก็เป็นพื้นที่รกร้าง ทรัพยากรมีจำกัด กระทั่งจะเอาชีวิตรอดยังทำได้ยาก
นั่นทำให้เสบียงเป็นปัญหาสำคัญของกองทัพกำลังสวรรค์
ในเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา กองทัพกำลังสวรรค์ถูกปัญหาเสบียงขาดแคลนทำให้จนตรอก ดังนั้น กว่าจะเอาชีวิตรอดมาได้ ก็เจ็บปวดทุกข์ทนกันมามาก แม้ไม่เปิดปากบอก แต่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องฟันฝ่ากันมาจริง ๆ
หากไม่ได้เสบียงที่ซูเฉินนำมาแล้ว กองทัพกำลังสวรรค์ก็คงรอดชีวิตได้อีกไม่นาน แม้จะสามารถหลบเลี่ยงวิกฤตเทพอสูรบรรพกาลได้ก็ตามที
หลังจากได้ยินสิ่งที่หลินเฉ่าเซวียนพูดแล้ว ทุกคนก็หันมามองซูเฉินในพลัน
ซูเฉินสะดุ้งไปเล็กน้อย “พวกท่านจะมองข้าไปทำไมกัน ? เราคุยกันเรื่องแผนออกจากที่นี่แล้วไม่ใช่หรือ ข้าก็ตระเตรียมมาเท่าที่จะทำได้แล้ว ส่วนจะเคลื่อนไหวอย่างไรขึ้นอยู่กับพวกท่าน”
หลี่ฉงซานหัวเราะ “จะเดินทางผ่านเทือกเขาหินปูนได้สำเร็จ เราต้องตระเตรียมให้พร้อมเป็นพิเศษ ปล้นทรัพยากรจากเขตเผ่าคนเถื่อนให้มาก จะเลือกโจมตีสิ่งใดก่อนหลังนับเป็นเรื่องใหญ่ ข้าอยากฟังความเห็นเจ้าในเรื่องนี้”
“ข้าหรือ ?” ซูเฉินอึ้งไป “ข้าไม่ใช่ผู้บัญชาการกองทัพกำลังสวรรค์ ให้ข้าออกความเห็นคงไม่เหมาะกระมัง ?”
“จากนี้ไปเจ้าได้เป็นแล้ว” หลี่ฉงซานว่าพลางตบไหล่ซูเฉิน “จากวันนี้ไป เจ้าเป็นรองผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์ขุนเขาซ่อนเร้นแห่งกองทัพกำลังสวรรค์ มีอำนาจเข้าที่ประชุมทางการทหารทุกอย่างและเสนอความเห็น !”
ได้เป็นรองผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์โดยพลันเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็คงยิ้มหน้าบานด้วยความยินดี
หากแต่ซูเฉินกลับไม่ดีใจสักนิด แต่เอ่ยว่า “ข้าไม่สนใจ ข้าอยากไปทำการทดลองมากกว่า”
หลี่ฉงซานกล่าว “เจ้าห้ามปฏิเสธ กองทัพกำลังสวรรค์กำลังมีปัญหา ขาดกำลังคน คิดเสียว่าถูกเกณฑ์ก็แล้วกัน”
ซูเฉินสีหน้าเปลี่ยน “นี่มันบังคับเกณฑ์กันชัด ๆ!”
หลี่ฉงซานหัวเราะ “ถูกต้อง เจ้าถูกบังคับเกณฑ์เข้ากองทัพ !”
ซูเฉินหันไปร้องทุกข์กับฉือไคฮวง “อาจารย์ !”
ฉือไคฮวงถอนหายใจ “เขาเป็นผู้บัญชาการทัพ ในทัพเองก็มีกฎ ข้าปฏิเสธเขาไม่ได้เช่นกัน”
ท่าทางยินดีของหลี่ฉงซาน ทั้งยังรอยยิ้มแปลก ๆ จากฉู่อิงหว่าน หลินเฉ่าเซวียน และคนอื่น ๆ เป็นตัวบอกซูเฉินว่าเขาคงไม่อาจรอดพ้นไปได้
เขาถอนใจ “อืม ข้าวิ่งมาติดกับดักเองงั้นสินะ”
ฉู่อิงหว่านหัวเราะ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สนใจเรื่องกองทัพ อย่าห่วงเลย ตำแหน่งนี่เป็นตำแหน่งกลวง ๆ เท่านั้น หากอยากใช้อำนาจก็ทำได้ แต่ไม่อยากก็ไม่มีใครบังคับ อย่างไรก็ดี ผลประโยชน์ที่มาพร้อมกับมันก็ยังมี ผู้บัญชาการดูแลเจ้าอย่างดี ทั้งยังฝ่าปัญหาเพื่อเจ้าเลยนะ”
ได้ยินแล้ว ซูเฉินจึงพยักหน้า “เช่นนี้ค่อยดีหน่อย”
“แล้วอย่างไรต่อ ? แนะทางให้สักหน่อยว่าควรจะไปทางใด ?”
ซูเฉินคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “ยอดเขาทัพแดง”