DND.
“ตั้งแต่ที่ข้าจับเจ้ามาจนถึงตอนนี้เจ้าเคยบอกถึงตัวเจ้าเองมาก่อนหรือไม่?”
นี่ทำให้ม่อเทียนฉวนโมโหถ้าหากเขาบอกตั้งแต่แรก พวกเขาคงจะไม่ต้องกลายเป็นตัวตลกของคนตั้งตำหนัก
ซือหยูตอบอย่างเย็นชา
“แล้วท่านเจ้าตำหนักเคยให้โอกาสข้าได้พูดหรือไม่?”
เส้นพลังของเขาถูกม่อเทียนฉวนกดเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มและเขามิอาจพูดได้ กว่าเขาจะพูดได้ เขาก็ถูกสืบสวน เขาเคยมีโอกาสได้บอกด้วยหรือว่าตัวเองเป็นใคร?
“ขะ…”
ม่อเทียนฉวนรู้สึกผิดนางยิ่งรำคาญใจยิ่งกว่าเดิม ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะต้องเป็นฝ่ายยอมถอยและขายหน้าต่อหน้าคนอื่น
“เจ้าจะขอสิ่งชดเชยสินะ?”
น้ำเสียงของม่อเทียนฉวนอ่อนลงเล็กน้อย
“เจ้าถูกเข้าใจผิดตำหนักเข้าใจดี เจ้าจะขอสิ่งใดก็ได้ ตราบเท่าที่ตำหนักให้ได้ พวกเราจะเก็บไปคิด”
“ข้าต้องการให้ท่านไม่แตะต้องข้าอีกและอยู่ห่างจากข้าหนึ่งพันลี้หากได้เจอกันอีก!”
ซือหยูตอบอย่างไม่ลังเล
อาจารย์พรายพูดไม่ออกเขาแอบตกใจที่ซือหยูกล้าพูดเช่นนั้นออกมา
ผู้เฒ่าจิงขมวดคิ้ว
“ไอ้เวร!เจ้ากล้าดียังไงมาดูหมิ่นท่านเจ้าตำหนักทั้ง ๆ ที่ทุ่มเทเพียงเล็กน้อย?”
ซือหยูมองนางอย่างไม่แยแส
“ข้าจะจัดการเจ้าทีหลัง!”
เขาพูดและมองตรงไปที่ม่อเทียนฉวนที่ดวงตาร้อนเป็นไฟ
“ถ้าท่านสัญญาได้ข้าจะออกไปจากที่นี่ ถ้าไม่ ข้าขอตายในคุกดีกว่าก้าวออกไป ถ้าหากตำหนักลำบากเรื่องอะไรอีกก็ไม่ต้องมาหาข้าแล้ว”
ม่อเทียนฉวนกำหมัดแน่นนางกำลังฝืนไม่ให้ก้าวออกไปชกหน้าเขา เขาโชคดีที่ได้เปรียบและพูดต่อรองแบบนี้ได้ ซือหยูทำให้นางอยู่ห่างจากเขาเพื่อไม่ให้นางสัมผัสและค้นดูความทรงจำ
แย่เกินไปที่สถานการณ์กดดันแต่มันก็ไม่ฉลาดที่จะกักขังซือหยูให้นานกว่านี้ นางจึงเก็บความโมโหเอาไว้และฝืนยิ้ม
“ข้าปิดประตูฝึกตนตลอดปีข้าจะไม่เรียกตัวเจ้าอีกแล้ว ส่วนเรื่องแตะต้องยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่”
“คำพูดล้วนไร้น้ำหนักใช้ปฏิญาณสัตย์ดวงใจซะ”
ซือหยูหยิบปฏิญาณสัตย์ดวงใจออกมาจากแหวนมิติ
เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนจากหน้าผากม่อเทียนฉวนในฐานะเจ้าตำหนัก นางมักจะรักษาสัญญา แต่ตอนนี้นางกำลังถูกเด็กคนหนึ่งบังคับให้สาบาน นางต้องเก็บความเคียดแค้นเอาไว้และรับปฏิญาณสัตย์ดวงใจมา นางหยดโลหิตลงไป ถึงตอนนั้นซือหยูจึงถอนหายใจออกมา
ม่อเทียนฉวนจ้องมองซือหยูด้วยความแค้นแต่ก็รู้สึกลักลั่นไปพร้อมกันนางแสยะยิ้มพลางคิด
‘ถ้าหากปฏิญาณสัตย์ดวงใจรับมือข้าได้แล้วข้าจะเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากราชาเขตเรอะ?’
ต่อให้ไม่ต้องแตะต้องตัวนางก็มีวิธีอื่นในการค้นดูความทรงจำของซือหยู
“เอาล่ะไปพักเสียสามวัน เจ้ามีเรื่องต้องทำ”
ม่อเทียนฉวนสั่ง
ซือหยูยืนอยู่กับที่และยังไม่ออกไปไหน
“ขอสิทธิ์เข้าสู่แดนมณีมหัศจรรย์กับข้าสิบที่”
ม่อเทียนฉวนเกือบจะระเบิดความโกรธออกมาอยู่แล้วตำหนักโลหิตมีที่ว่างให้เข้าสู่แดนมณีมหัศจรรย์สี่สิบตำแหน่ง ซือหยูขอสี่สิบที่ในคราวเดียว! แต่ละคนใช้สิทธิ์ได้ครั้งเดียว เขาคิดจะเอาสิทธิ์ไปต้มกินหรืออย่างไร? ม่อเทียนฉวนสาปแช่งในใจ
นางขมวดคิ้วถาม
“ทำไมเจ้าขอมากนัก?”
“สิ่งแรกที่ขอเพื่อให้ข้าแน่ใจว่าท่านจะไม่ทำเรื่องเดิมกับข้าอีกส่วนคำขอนี้คือการชดเชยของจริง! สิบตำแหน่งในแดนมณี!”
ซือหยูพูดอย่างแน่วแน่
มม่อเทียนฉวนส่ายหน้า
“แค่สิทธิ์เดียวก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแดนมณีเกิดขึ้นในทุกร้อยปี มีไว้ให้ศิษย์ในได้สร้างโอกาสสำคัญ มันคือเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในทุกร้อยปีของดินแดนพรสวรรค์”
“ตำหนักจะเสียหายอย่างหนักหากพลาดไปสักสิทธิ์ข้าเป็นเจ้าตำหนัก ข้าไม่มีสิทธิ์ให้รางวัลนี้กับใครตามใจชอบ ศิษย์ทุกคนต้องได้มาด้วยความพยายามของตัวเอง”
นางพูดอย่างไม่เว้นวรรคให้ต่อรองนางจะไม่เปลี่ยนใจต่อให้ซือหยูจะไม่ออกจากคุก
ซือหยูขนลุกดูเหมือนว่าตำหนักโลหิตจะให้ความสำคัญกับแดนมณีอย่างมาก ซือหยูคิดและพูด
“ย่อมได้ข้าจะเปลี่ยนเงื่อนไข ข้าอยากจะเข้าหอตำราไปแลกวิชาบ่มเพาะ”
ม่อเทียนฉวนคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า
“ย่อมได้เจ้าช่วยตระกูลซือถู เป็นเรื่องดีมาก เจ้าสมควรได้ห้าแสนคะแนน และแทนการชดเชย เจ้าจะได้อีกห้าแสนคะแนนรวมเป็นหนึ่งล้านคะแนน”
นางพูดต่อ
“ส่วนหอตำราเจ้าจะไปแลกตำราระดับตำนานชั้นสูงได้”
นี่คือการชดเชยจาการปฏิเสธที่จะให้สิทธิ์ในแดนมณีกับซือหยู
ซือหยูอยากจะเข้าตำหนักในเพื่อหาตำราเก่าเขาไม่แน่ใจว่ามันจะมีอยู่ในตำหนักในหรือไม่
“ก็ได้” novel-lucky
เขาพอใจกับการจัดแจงนี้แดนมณียังมาไม่ถึง เขายังมีเวลาสองเดือนที่จะสะสมคะแนนให้มากพอ
ม่อเทียนฉวนถาม
“ยังมีสิ่งใดอีกหรือไม่?”
“มี!”
ซือหยูตอบ
ม่อเทียนฉวนใบหน้าดำมืดนางมิอาจเก็บความโกรธได้อีกต่อไปแล้ว แต่นางก็ยินซือหยูพูดว่า
“ข้าหวังว่าตำหนักจะเรียกคนที่กำลังทำภารกิจอยู่ให้กลับมาโดยเร็วที่สุดได้”
ความโกรธแค้นบนใบหน้าม่อเทียนฉวนหายไปนางแปลกใจเล็กน้อย
“ใครกัน?เขาทำภารกิจอะไรอยู่?”
“เสวี่ยเหลียนนางทำภารกิจเป็นสายลับที่ดินแดนมีดสวรรค์”
ซือหยูตอบ
“นางน่ะรึ?”
ม่อเทียนฉวนดูสงสัย
“เจ้ารู้จักเสวี่ยเหลียนด้วยรึ?”
“จะกล่าวเช่นนั้นก็ได้…”
ซือหยูตอบเขาแปลกใจเช่นกัน จากที่ม่อเทียนฉวนพูด มันฟังดูเหมือนว่าเสวี่ยเหลียนจะเป็นคนสำคัญ?
“ถ้าเป็นนางก็ไม่ต้องหรอก…”
ม่อเทียนฉวนตอบ
“เสวี่ยเหลียนทำภารกิจนี้ได้เก่งกาจที่สุดนางย่อมปลอดภัย และถ้าเรียกตัวนางกลับมาตอนนี้ ร่องรอยของนางจะถูกเปิดเผยได้ง่ายกว่า นางจะกลับมาหลังแดนมณีจบลง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง…”
อย่างนั้นรึ?แม้ซือหยูจะรู้สึกระแวง คำพูดของม่อเทียนฉวนก็มีเหตุผล เขาได้แค่หวังว่าเสวี่ยเหลียนจะปลอดภัยดี ซือหยูอยากจะตอบแทนสิ่งที่นางมอบให้เขา
“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม?”
ม่อเทียนฉวนร้อนใจนางมีแต่ความคิดที่จะค้นความทรงจำของเขา นางอยากจะรู้ความจริงของทุกเรื่องเกี่ยวกับเขา
ก่อนที่ซือหยูจะตอบผู้เฒ่าจิงถอนหายใจแรงขัดขึ้นมา
“มันจะกล้าขออะไรอีก?มันแค่ทุ่มเทเพื่อตำหนัก ถ้าหากขู่เข็ญตำหนักมากเกินไป มันก็นับว่าเป็นคนทรยศ!”
ซือหยูคิดว่าจะปล่อยไปถ้านางไม่พูดแต่นางก็ไม่รู้จักเลิกรา
“เจ้าตำหนักมีหนึ่งสิ่งที่ข้าอยากให้ท่านรู้”
ซือหยูหยิบกล่องหยกที่ปิดเอาไว้ออกมาของด้านในมิอาจมีใครได้เห็น
ม่อเทียนฉวนรับกล่องหยกไปด้วยความสงสัยนางเปิดและเหลือบมองดูด้านใน เพียงแค่เหลือบมองทีเดียวก็ทำให้นางหรี่ตาลงเล็กน้อย นางแอบมองผู้เฒ่าจิง
“เจ้าเอามันมาจากไหน?”
“มือศัตรูระหว่างต่อสู้ที่ตระกูลซือถู!”
ซือหยูพูด
“นี่เป็นความอับอายของตำหนักข้าเชื่อว่าคนในคงไม่คิดจะรายงานต่อตำหนัก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ส่วนจะจัดการอย่างไร ท่านก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”
ม่อเทียนฉวนถือกล่องหยกในมือและพยักหน้าช้าๆ แววตานางเยือกเย็นลง
“ถ้าหากมีคนตำหนักในสมคบคิดกับคนนอกจนพวกเราเองต้องเสียหาย พวกเจ้าคิดว่าคนผู้นั้นควรถูกลงโทษอย่างไร?”
อาจารย์พรายเจ้าสำนักซ้ายขวา และผู้เฒ่าจิงเหลือบมองกล่องลหยกด้วยหางตาด้วยความไม่สบายใจ
หรือว่ากล่องหยกนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่ทรยศตำหนัก?