ตอนที่ 950 - หนึ่งล้านคะแนน

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.
  “ตั้งแต่ที่ข้าจับเจ้ามาจนถึงตอนนี้เจ้าเคยบอกถึงตัวเจ้าเองมาก่อนหรือไม่?”
  นี่ทำให้ม่อเทียนฉวนโมโหถ้าหากเขาบอกตั้งแต่แรก พวกเขาคงจะไม่ต้องกลายเป็นตัวตลกของคนตั้งตำหนัก
  ซือหยูตอบอย่างเย็นชา
  “แล้วท่านเจ้าตำหนักเคยให้โอกาสข้าได้พูดหรือไม่?”
  เส้นพลังของเขาถูกม่อเทียนฉวนกดเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มและเขามิอาจพูดได้ กว่าเขาจะพูดได้ เขาก็ถูกสืบสวน เขาเคยมีโอกาสได้บอกด้วยหรือว่าตัวเองเป็นใคร?
  “ขะ…”
  ม่อเทียนฉวนรู้สึกผิดนางยิ่งรำคาญใจยิ่งกว่าเดิม ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะต้องเป็นฝ่ายยอมถอยและขายหน้าต่อหน้าคนอื่น
  “เจ้าจะขอสิ่งชดเชยสินะ?”
  น้ำเสียงของม่อเทียนฉวนอ่อนลงเล็กน้อย
  “เจ้าถูกเข้าใจผิดตำหนักเข้าใจดี เจ้าจะขอสิ่งใดก็ได้ ตราบเท่าที่ตำหนักให้ได้ พวกเราจะเก็บไปคิด”
  “ข้าต้องการให้ท่านไม่แตะต้องข้าอีกและอยู่ห่างจากข้าหนึ่งพันลี้หากได้เจอกันอีก!”
  ซือหยูตอบอย่างไม่ลังเล
  อาจารย์พรายพูดไม่ออกเขาแอบตกใจที่ซือหยูกล้าพูดเช่นนั้นออกมา
  ผู้เฒ่าจิงขมวดคิ้ว
  “ไอ้เวร!เจ้ากล้าดียังไงมาดูหมิ่นท่านเจ้าตำหนักทั้ง ๆ ที่ทุ่มเทเพียงเล็กน้อย?”
  ซือหยูมองนางอย่างไม่แยแส
  “ข้าจะจัดการเจ้าทีหลัง!”
  เขาพูดและมองตรงไปที่ม่อเทียนฉวนที่ดวงตาร้อนเป็นไฟ
  “ถ้าท่านสัญญาได้ข้าจะออกไปจากที่นี่ ถ้าไม่ ข้าขอตายในคุกดีกว่าก้าวออกไป ถ้าหากตำหนักลำบากเรื่องอะไรอีกก็ไม่ต้องมาหาข้าแล้ว”
  ม่อเทียนฉวนกำหมัดแน่นนางกำลังฝืนไม่ให้ก้าวออกไปชกหน้าเขา เขาโชคดีที่ได้เปรียบและพูดต่อรองแบบนี้ได้ ซือหยูทำให้นางอยู่ห่างจากเขาเพื่อไม่ให้นางสัมผัสและค้นดูความทรงจำ
  แย่เกินไปที่สถานการณ์กดดันแต่มันก็ไม่ฉลาดที่จะกักขังซือหยูให้นานกว่านี้ นางจึงเก็บความโมโหเอาไว้และฝืนยิ้ม
  “ข้าปิดประตูฝึกตนตลอดปีข้าจะไม่เรียกตัวเจ้าอีกแล้ว ส่วนเรื่องแตะต้องยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่”
  “คำพูดล้วนไร้น้ำหนักใช้ปฏิญาณสัตย์ดวงใจซะ”
  ซือหยูหยิบปฏิญาณสัตย์ดวงใจออกมาจากแหวนมิติ
  เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนจากหน้าผากม่อเทียนฉวนในฐานะเจ้าตำหนัก นางมักจะรักษาสัญญา แต่ตอนนี้นางกำลังถูกเด็กคนหนึ่งบังคับให้สาบาน นางต้องเก็บความเคียดแค้นเอาไว้และรับปฏิญาณสัตย์ดวงใจมา นางหยดโลหิตลงไป ถึงตอนนั้นซือหยูจึงถอนหายใจออกมา
  ม่อเทียนฉวนจ้องมองซือหยูด้วยความแค้นแต่ก็รู้สึกลักลั่นไปพร้อมกันนางแสยะยิ้มพลางคิด
  ‘ถ้าหากปฏิญาณสัตย์ดวงใจรับมือข้าได้แล้วข้าจะเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากราชาเขตเรอะ?’
  ต่อให้ไม่ต้องแตะต้องตัวนางก็มีวิธีอื่นในการค้นดูความทรงจำของซือหยู
  “เอาล่ะไปพักเสียสามวัน เจ้ามีเรื่องต้องทำ”
  ม่อเทียนฉวนสั่ง
  ซือหยูยืนอยู่กับที่และยังไม่ออกไปไหน
  “ขอสิทธิ์เข้าสู่แดนมณีมหัศจรรย์กับข้าสิบที่”
  ม่อเทียนฉวนเกือบจะระเบิดความโกรธออกมาอยู่แล้วตำหนักโลหิตมีที่ว่างให้เข้าสู่แดนมณีมหัศจรรย์สี่สิบตำแหน่ง ซือหยูขอสี่สิบที่ในคราวเดียว! แต่ละคนใช้สิทธิ์ได้ครั้งเดียว เขาคิดจะเอาสิทธิ์ไปต้มกินหรืออย่างไร? ม่อเทียนฉวนสาปแช่งในใจ
  นางขมวดคิ้วถาม
  “ทำไมเจ้าขอมากนัก?”
  “สิ่งแรกที่ขอเพื่อให้ข้าแน่ใจว่าท่านจะไม่ทำเรื่องเดิมกับข้าอีกส่วนคำขอนี้คือการชดเชยของจริง! สิบตำแหน่งในแดนมณี!”
  ซือหยูพูดอย่างแน่วแน่
  มม่อเทียนฉวนส่ายหน้า
  “แค่สิทธิ์เดียวก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแดนมณีเกิดขึ้นในทุกร้อยปี มีไว้ให้ศิษย์ในได้สร้างโอกาสสำคัญ มันคือเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในทุกร้อยปีของดินแดนพรสวรรค์”
  “ตำหนักจะเสียหายอย่างหนักหากพลาดไปสักสิทธิ์ข้าเป็นเจ้าตำหนัก ข้าไม่มีสิทธิ์ให้รางวัลนี้กับใครตามใจชอบ ศิษย์ทุกคนต้องได้มาด้วยความพยายามของตัวเอง”
  นางพูดอย่างไม่เว้นวรรคให้ต่อรองนางจะไม่เปลี่ยนใจต่อให้ซือหยูจะไม่ออกจากคุก
  ซือหยูขนลุกดูเหมือนว่าตำหนักโลหิตจะให้ความสำคัญกับแดนมณีอย่างมาก ซือหยูคิดและพูด
  “ย่อมได้ข้าจะเปลี่ยนเงื่อนไข ข้าอยากจะเข้าหอตำราไปแลกวิชาบ่มเพาะ”
  ม่อเทียนฉวนคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า
  “ย่อมได้เจ้าช่วยตระกูลซือถู เป็นเรื่องดีมาก เจ้าสมควรได้ห้าแสนคะแนน และแทนการชดเชย เจ้าจะได้อีกห้าแสนคะแนนรวมเป็นหนึ่งล้านคะแนน”
  นางพูดต่อ
  “ส่วนหอตำราเจ้าจะไปแลกตำราระดับตำนานชั้นสูงได้”
  นี่คือการชดเชยจาการปฏิเสธที่จะให้สิทธิ์ในแดนมณีกับซือหยู
  ซือหยูอยากจะเข้าตำหนักในเพื่อหาตำราเก่าเขาไม่แน่ใจว่ามันจะมีอยู่ในตำหนักในหรือไม่
  “ก็ได้” novel-lucky
  เขาพอใจกับการจัดแจงนี้แดนมณียังมาไม่ถึง เขายังมีเวลาสองเดือนที่จะสะสมคะแนนให้มากพอ
  ม่อเทียนฉวนถาม
  “ยังมีสิ่งใดอีกหรือไม่?”
  “มี!”
  ซือหยูตอบ
  ม่อเทียนฉวนใบหน้าดำมืดนางมิอาจเก็บความโกรธได้อีกต่อไปแล้ว แต่นางก็ยินซือหยูพูดว่า
  “ข้าหวังว่าตำหนักจะเรียกคนที่กำลังทำภารกิจอยู่ให้กลับมาโดยเร็วที่สุดได้”
  ความโกรธแค้นบนใบหน้าม่อเทียนฉวนหายไปนางแปลกใจเล็กน้อย
  “ใครกัน?เขาทำภารกิจอะไรอยู่?”
  “เสวี่ยเหลียนนางทำภารกิจเป็นสายลับที่ดินแดนมีดสวรรค์”
  ซือหยูตอบ
  “นางน่ะรึ?”
  ม่อเทียนฉวนดูสงสัย
  “เจ้ารู้จักเสวี่ยเหลียนด้วยรึ?”
  “จะกล่าวเช่นนั้นก็ได้…”
  ซือหยูตอบเขาแปลกใจเช่นกัน จากที่ม่อเทียนฉวนพูด มันฟังดูเหมือนว่าเสวี่ยเหลียนจะเป็นคนสำคัญ?
  “ถ้าเป็นนางก็ไม่ต้องหรอก…”
  ม่อเทียนฉวนตอบ
  “เสวี่ยเหลียนทำภารกิจนี้ได้เก่งกาจที่สุดนางย่อมปลอดภัย และถ้าเรียกตัวนางกลับมาตอนนี้ ร่องรอยของนางจะถูกเปิดเผยได้ง่ายกว่า นางจะกลับมาหลังแดนมณีจบลง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง…”
  อย่างนั้นรึ?แม้ซือหยูจะรู้สึกระแวง คำพูดของม่อเทียนฉวนก็มีเหตุผล เขาได้แค่หวังว่าเสวี่ยเหลียนจะปลอดภัยดี ซือหยูอยากจะตอบแทนสิ่งที่นางมอบให้เขา
  “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม?”
  ม่อเทียนฉวนร้อนใจนางมีแต่ความคิดที่จะค้นความทรงจำของเขา นางอยากจะรู้ความจริงของทุกเรื่องเกี่ยวกับเขา
  ก่อนที่ซือหยูจะตอบผู้เฒ่าจิงถอนหายใจแรงขัดขึ้นมา
  “มันจะกล้าขออะไรอีก?มันแค่ทุ่มเทเพื่อตำหนัก ถ้าหากขู่เข็ญตำหนักมากเกินไป มันก็นับว่าเป็นคนทรยศ!”
  ซือหยูคิดว่าจะปล่อยไปถ้านางไม่พูดแต่นางก็ไม่รู้จักเลิกรา
  “เจ้าตำหนักมีหนึ่งสิ่งที่ข้าอยากให้ท่านรู้”
  ซือหยูหยิบกล่องหยกที่ปิดเอาไว้ออกมาของด้านในมิอาจมีใครได้เห็น
  ม่อเทียนฉวนรับกล่องหยกไปด้วยความสงสัยนางเปิดและเหลือบมองดูด้านใน เพียงแค่เหลือบมองทีเดียวก็ทำให้นางหรี่ตาลงเล็กน้อย นางแอบมองผู้เฒ่าจิง
  “เจ้าเอามันมาจากไหน?”
  “มือศัตรูระหว่างต่อสู้ที่ตระกูลซือถู!”
  ซือหยูพูด
  “นี่เป็นความอับอายของตำหนักข้าเชื่อว่าคนในคงไม่คิดจะรายงานต่อตำหนัก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ส่วนจะจัดการอย่างไร ท่านก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”
  ม่อเทียนฉวนถือกล่องหยกในมือและพยักหน้าช้าๆ แววตานางเยือกเย็นลง
  “ถ้าหากมีคนตำหนักในสมคบคิดกับคนนอกจนพวกเราเองต้องเสียหาย พวกเจ้าคิดว่าคนผู้นั้นควรถูกลงโทษอย่างไร?”
  อาจารย์พรายเจ้าสำนักซ้ายขวา และผู้เฒ่าจิงเหลือบมองกล่องลหยกด้วยหางตาด้วยความไม่สบายใจ
  หรือว่ากล่องหยกนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่ทรยศตำหนัก?