ภาคที่ 4 บทที่ 128 ล้อมโจมตี (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 128 ล้อมโจมตี (2)

เมืองแสงเหนือนั้น นับว่าเป็นเมืองที่มีการป้องกันเข้มแข็งในระดับสูงเมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ ของเผ่าคนเถื่อน

และแม้จะไม่ได้ใช้เหล็กล้อมเมืองไว้อย่างปราการลุ่มน้ำทอง แต่เมืองแสงเหนือก็มีระบบการป้องกันของตนเอง มีค่ายกลป้องกันกระจายอยู่รอบเมือง ทั้งยังมีหน้าไม้ไฟฟ้าลั่นที่ใช้โจมตีเป้าหมายระยะไกลอยู่มากมาย

กระนั้น กลยุทธ์ป้องกันก็มักใช้กับศัตรูนอกกำแพงเมือง แต่หากศัตรูบุกเข้ามาได้แล้ว การป้องกันเพียงอย่างเดียวก็เหลือเพียงใช้ทหารแล้ว

ทหารเผ่าคนเถื่อนที่เสียอาการไปเล็กน้อยไม่ลนลาน พวกเขาพุ่งเข้าใส่อย่างบ้าดีเดือด ตวัดดาบไปมา บางคนไม่สนเกราะ ตัดสินใจใช้เพียงอาวุธเข้าโรมรันทันที

กระนั้น ความกล้าก็ไม่อาจเอาชนะเหล็กเย็นเฉียบได้ เช่นเดียวกับความหาญที่ไม่อาจเอาชนะวินัยแม้มีมากเท่าใดก็ตาม !

ความกล้าองอาจแต่ไม่เตรียมพร้อมของทหารเผ่าคนเถื่อนไม่อาจต้านทหารมนุษย์ที่ตระเตรียมรบมาเป็นอย่างดีได้

ทันทีที่บุกเข้าเมืองแสงเหนือ ทหารทั้งหมดก็เทเข้าใจกลางเมืองตามคำสั่ง พวกเขาไม่รีบร้อนเข้ายึดเมือง แต่มุ่งหน้าเข้าเมืองลึกไปเรื่อย โดยระหว่างที่เข้าไปถึงตามถนนและตรอกซอยทั้งเมือง พวกเขาก็ได้เข้าสังหารเผ่าคนเถื่อนที่พบไปด้วย

เผ่าคนเถื่อนทั้งหมดล้วนเกิดมาเป็นนักสู้ ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือทหาร ทุกคนไม่ว่าสตรีหรือเด็ก เมื่อจับอาวุธแล้วก็จะกลายเป็นนักรบฝีมือโดดเด่นได้

เพราะเหตุนี้ กองทัพกำลังสวรรค์จึงสังหารไม่งดเว้น ไม่ปล่อยให้คนธรรมดาหนีไปเช่นกัน

คำสั่งที่หลี่ฉงซานว่ามาคือหญ้าสักต้นไม่ให้เหลือ

เป็นเรื่องปกติในสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ เป็นการแสดงความเกลียดชังขั้นสุด ไร้ความเมตตาเห็นใจ ในหัวของเหล่าทหารมีแต่ต้องฆ่าไปเรื่อยเท่านั้น

มีแต่สังหารศัตรูก่อน หรือจะถูกศัตรูสังหารเท่านั้น

เฉิงเถียนไห่กับกองทหารเขาใต้สมุทรรับหน้าที่บุกฝ่าไปทั่วถนนตรอกซอย ไม่ใช่เพื่อสังหาร แต่เพื่อขัดจขวางการป้องกันของเผ่าคนเถื่อนในช่วงตื่นตระหนกเสียมากกว่า ทำให้ศัตรูไม่อาจรวมพลได้

จวินโม่เสียกับกองทหารเขาทำหน้าที่กวาดล้าง พวกเขาติดตามใกล้ชิดกองทหารเขาใต้สมุทร สังหารเผ่าคนเถื่อนที่เหลือรอดจากการบุกคราแรก เป้าหมายคือสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด

หลินเฉ่าเซวียนกับกองทหารขุนเขาซ่อนเร้นรับหน้าที่จับตาดูสถานการณ์จากกำแพงเมือง แม้จะชิงกำแพงเมืองมาได้แล้ว แต่ก็ยังมีทหารเผ่าคนเถื่อนหลายคนไม่ยอม และเพราะกำลังลาดตระเวนจึงอยู่ในชุดเกราะเต็มพร้อมอาวุธ และมีระเบียบไม่น้อย อีกทั้งยังมีหน้าไม้ไฟฟ้าลั่นติดตั้งอยู่บนกำแพงเมือง ไม่เพียงกองทหารขุนเขาซ่อนเร้นต้องสังหารทหารบนกำแพงเมือง ยังต้องหมุนหน้าไม้ไฟฟ้าลั่นกลับเพื่อจะได้ใช้สังหารทหารเผ่าคนเถื่อนที่ยังอยู่ในเมืองด้วย

เมืองแสงเหนือจึงถูกไฟสังหารโอบล้อมในพลัน เลือดและเปลวเพลิงโหมแรงขึ้นฟ้า ปาดสีแดงฉานไปทั่วเมือง

ทหารมนุษย์บุกฝ่าเข้าทัพเผ่าคนเถื่อน สังหารบุกเข้าไปราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงไม้ผุ

“กรรร !”

เสียงคำรามสะท้านโลกาพลันดังสนั่นค่ำคืน

สิ้นเสียงคำราม ขวานรบขนาดใหญ่ก็พุ่งมาจากฟ้า ซัดเข้าใส่กองทหาร

ทหารกว่าสิบยกโล่ขึ้นพร้อมกัน ปัดป้องการโจมตีสองครา กระแทกโล่ออกไป สร้างเป็นเกราะแสงหนึ่งเดียว กระนั้นขวานรบก็ยังฝ่าผ่านมาได้ราวกับตวัดผ่านอากาศ

เมื่อเกราะแตก ขวานบินก็ยังลอยคว้างเข้ามา ปะทะร่างหัวหน้ากลุ่มคนสิบคนนั่นจนร่างแยก กระทั่งมันยังหมุนคว้างต่อสิ่งกีดขวาง สุดท้ายก็ปะทะเข้ากับกำแพงเมืองจุดหนึ่งจนกำแพงถล่ม

ร่างใหญ่เดินออกมาจากเงามืด

ร่างกายที่แข็งแรงทำให้เงาร่างตั้งตระหง่านเหนือคนอื่นดั่งภูผา ขวานรบในมือหนึ่งราวกับแยกขุนเขาได้ ที่หลังยังมีขวานบินสะพายไว้หลายชิ้น

“ตาย !” นักรบเผ่าคนเถื่อนคำรามแล้วดึงขวานบินลงจากหลัง เขวี้ยงไปทางกองทหาร แม้ทหารทั้งสิบจะพยายามป้องกันเต็มที่ แต่หัวหน้ากองนั่นก็ยังมีชะตาเหมือนกลุ่มแรก นั่นคือร่างแยกเป็นสองส่วน

สังหารทหารไปสองกลุ่มแล้ว นักรบเผ่าคนเถื่อนร่างยักษ์ก็กระโจนไปด้านหน้า เข้าฝ่าระหว่างทหารสองกลุ่ม ก่อนร่างจะเรืองแสงสว่างแล้วตวัดขวานไปตามพื้น

ตู้ม !!!

คลื่นพลังมหาศาลแผ่ออกจากร่างกาย ระลอกคลื่นเคลื่อนผ่านพื้นดิน ผ่านทหารสองกองอีกสิบแปดนายที่เหลือ พวกเขาร้องลั่นพลางถูกคลื่นพลังส่งร่างกระเด็นไป เมื่อไร้หัวหน้าแล้ว ค่ายกลป้องกันก็ไม่อาจใช้ได้ พลังกายธรรมดาไม่อาจต้านคลื่นพลังรุนแรง สุดท้ายซัดทีเดียวก็ถูกปลิดชีพ

“กรรร !” ทหารเผ่าคนเถื่อนแหงนหน้าร้องคำรามลั่นอีก

กระนั้นความบ้าระห่ำของเขาก็ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด

ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว !

ริ้วแสงโค้งถูกซัดเข้ามา กองทหารเสื้อฟ้าพลันเหินลงบนพื้น

พวกเขาเป็นกองทหารสิบคน แต่ร่างกายกลับเรืองแสงจางไปด้วยพลังต้นกำเนิด

พวกเขาล้วนอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณ หัวหน้าอยู่ด่านกลั่นโลหิต

“เป็นนักรบอาราม มีอักขระโทเทมระดับสูง ทุกคนระวังด้วย”

“กรรร !” นักรบเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นตวัดขวานรบ

หากแต่ครั้งนี้คงฝ่าด่านป้องกันของคู่ต่อสู้ได้ไม่ง่ายดายแล้ว

เกราะแสงอันทรงพลังเปล่งประกายเจิดจ้า ต้านพลังโจมตีจากขวานรบเอาไว้ พร้อมกันนั้น ริ้วแสงก็โปรยลงจากฟ้าด้านหลัง ซัดเข้าใส่นักรบร่างยักษ์ ทหารธรรมดาอีกสองกลุ่มพุ่งเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ถือหน้าไม้หนักเอาไว้แล้วยิงเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า

แสงเรืองบนร่างนักรบกะพริบแล้วกะพริบอีก แต่เมื่อถูกโจมตีไม่ยั้งเช่นนี้ก็ไม่อาจพอ เขาร้องลั่นด้วยความโกรธ อยากจะบุกฝ่าวงล้อมผู้เชี่ยวชาญพลังออกไปแต่ทำไม่ได้ สุดท้ายก็หมดแรงไป

ไม่นาน หลังจากยิงหน้าไม้ออกไปหลายคราเข้า เกราะของนักรบผู้นั้นก็ถูกทำลาย แต่หน้าไม้ก็ยังไม่หยุด ยังยิงเข้าใส่จนเป้าหมายร่างกลายเป็นหมอนปักเข็ม

จัดการนักรบร่างยักษ์ได้แล้ว กองทหารผู้เชี่ยวชาญพลังจึงถอยไปจัดการเป้าหมายอื่น

กองทหารผู้เชี่ยวชาญพลังนั้นมาจากกองทหารภูผาครามแห่งกองทัพกำลังสวรรค์

ในกองทหารภูผาครามมีคนเพียงพัน แต่ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังที่ถูกเลือกจากเหล่าทหารมาอย่างดี เป็นทหารชั้นยอดจากกองทัพกำลังสวรรค์

ทหารเผ่าคนเถื่อนที่พวกเขารับมือคือพวกที่ได้รับการเจิมน้ำมนต์มาจากอารามพลังต้นกำเนิด อักขระโทเทมอยู่ในระดับสูง พลังเทียบเท่าด่านทะลวงลมปราณขั้นสุด ทว่ากองทหารภูผาครามหยุดการโจมตีเขาไว้ได้ ใช้เพียงด่านก่อเกิดลมปราณ 9 คน และด่านกลั่นโลหิตคนหนึ่ง ทั้งยังได้ทหารธรรมดาอีกสองกลุ่ม แสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าด้านกำลัง …หัวหน้าทหารกองนี้คือฉู่อิงหว่าน

ซูเฉินมองนักรบเผ่าคนเถื่อนที่ถูกจัดการแล้วก็ถอนใจด้วยความฉงนสนเท่ห์

นี่คือความแกร่งของกองทัพ เปลี่ยนตัวเลขให้กลายเป็นพลังแท้จริง หากเขาต้องรับมือกับทัพเช่นนี้ตอนอยู่เมืองธารน้ำใส เขาก็คงตายไปแล้ว

หากแต่กองทหารชั้นยอดเช่นนี้หาได้ยากนัก กระทั่งในทัพมนุษย์เองก็ตามที

แน่นอน ว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ขึ้นอยู่กับการลงมือของผู้มีพลังด้วย !

ตู้ม !

พลังงานพุ่งออกมาเป็นลำแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างยักษ์พลันปรากฏ ตามมาด้วยเสียงคำรามลั่น “หลี่ฉงซาน เจ้ากล้าต่อกรกับข้าหรือ !?”