บทที่ 129 ล้อมโจมตี (3)
สือไต๋มู่เหินร่างอยู่บนอากาศ จ้องลงมาเบื้องล่างด้วยความโกรธ
เขารู้ว่าเขาแพ้ศึกนี้แล้ว และเมืองแสงเหนือต้องแย่แน่
แต่ในฐานะหัวหน้าชนเผ่าเหมันต์ แม้จะต้องตาย แต่ก็ต้องสู้ให้สมศักดิ์ศรี !!
พริบตาที่เขาปรากฏ เขาก็เผยตนเป็นเป้าให้หน้าไม้ทุกชิ้นแล้ว ทันใดนั้น หลินเฉ่าเซวียนพลันสั่งให้ทหารทั้งหมดใช้หน้าไม้ไฟฟ้าลั่นเล็งไปทางสือไต๋มู่ และหากหลี่ฉงซานไม่ตอบกลับ ก็คงยิงไปแล้ว
น้ำเสียงเขาดังตอบสือไต๋มู่ “หากหัวหน้าเผ่าเชื้อเชิญข้าเอง ข้า ฉงซาน จะไม่ตอบกลับได้อย่างไร ?”
พูดจบ เขาก็เดินหน้าขึ้นจากเหล่าทหาร เหินร่างขึ้นไปเช่นกัน
ในเรื่องพื้นฐานพลัง หลี่ฉงซานด่านผลาญจิตวิญญาณย่อมแกร่งกว่าสือไต๋มู่ เขาเหินร่างขึ้นไปโดยง่าย เผยกลิ่นอายสุขุมนุ่มลึก
หากแต่เผ่าคนเถื่อนไม่สนเรื่องความสง่า ทั้งยังไม่ใช้วิชาต้นกำเนิดต่อสู้
สือไต๋มู่คำรามยามหลี่ฉงซานเข้าใกล้ ดาบในมือเรืองแสงขึ้น กะพริบไปด้วยพลังสายฟ้าคำรามแล้วจ้วงใส่หลี่ฉงซาน
ท่าดาบธรรมดาเผยกลิ่นอายทรงพลังแห่งความตายอันน่าตกใจออกมาไร้ที่สิ้นสุด
พริบตานั้น ทุกคนคิดเหมือนกันว่า ‘คงปัดไม่ได้’
กระนั้น แม้เผชิญหน้ากับการโจมตีน่าผวา หลี่ฉงซานก็ก้าวขึ้นมาห้ำหั่น ร่างกายเริ่มส่งเสียงหึ่ง ๆ สั่นสะท้านไปด้วยพลังงาน ราวกับใต้ผิวมีระฆังดังกังวานนับไม่ถ้วน เสียงหึ่ง ๆ นั้นคล้ายกับจะเป็นเสียงจากธรรมชาติ พลันภาพจาง ๆ ของตำหนักเซียนได้ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง
ตำหนักเซียนเปล่งแสงจ้าออกมา แล้วปล่อยพลังเข้าห้ำหั่นกับดาบสายฟ้า ไม่ยอมให้มันจ้วงเข้ามา
“ตำหนักเซียนผลาญจิต !” ซูเฉินโพล่งขึ้น
ด่านสู่พิสดารมีแท่นบงกช ด่านผลาญจิตวิญญาณมีตำหนักเซียน
ตำหนักเซียนนี้ก็เหมือนแท่นบงกชที่ยกระดับพลังแล้ว เป็นตัวแทนแสดงพลังอย่างแท้จริง
ตำหนักเซียนตรงหน้าเขามีห้าชั้น แสดงว่าหลี่ฉงซานเป็นผู้เชี่ยวชาญตำหนักเซียนห้าชั้น ด่านผลาญจิตวิญญาณขั้นสุดจะมีแปดชั้น ดังนั้นหลี่ฉงซานจึงนับว่าล้ำหน้ากว่าด่านผลาญจิตวิญญาณอื่น ๆ เทียบกับกู่เหยาเยี่ยและบรรพชนสี่ตระกูลใหญ่สายเลือดชั้นสูงคนอื่น ๆ แล้วก็พอสูสีกัน หากแต่พวกเขาแก่ชรากว่าหลี่ฉงซานนัก ยิ่งสื่อให้เห็นถึงความโดดเด่นของหลี่ฉงซานมากไปอีก
ตำหนักห้าชั้นปกป้องร่างหลี่ฉงซานราวกับเป็นปราการ พลังป้องกันย่อมมากกว่าด่านสู่พิสดารหลายเท่า และเมื่อดาบสายฟ้าปะทะตำหนักเซียน ก็เกิดประกายไฟกระจายตัว ริ้วแสงโค้งตัดอากาศทันที
“กรรร !”
สือไต๋มู่คำรามลั่นแล้วตวัดดาบอีก สายฟ้าที่แล่นตามใบดาบยิ่งหนักหน่วง อักขระบนร่างเองก็กะพริบดุดัน
เขาเปิดมาด้วยท่าสังหารและใส่เต็มที่ตั้งแต่เริ่ม
ในสถานการณ์เป็นตายเช่นนี้ เขาจะยั้งมือไม่ได้ จะให้ค่อย ๆ บุกไม่ได้เด็ดขาด
ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม !
ดาบสายฟ้าสิบแปดกระบวนท่าปะทะเข้ากับตำหนักเซียนไม่หยุด ด้วยหลังล้มหลี่ฉงซานลงให้ได้ ทว่ามันก็เพียงบีบให้ถอยไป ส่วนประกายสายฟ้าก็ซัดเข้าอาคารโดยรอบบ้างจนถล่มลงไปกอง และหากทหารเผลอแตะโดนเส้นสายฟ้าเพียงนิด พวกเขาก็จะถูกเผาในพริบตา ทำให้ทหารระดับสูงต้องเข้าแทรก
การเปลี่ยนความได้เปรียบด้านจำนวนไปเป็นกำลังนั้น ใช้ได้ผลเฉพาะยามที่พลังต่างกันระดับหนึ่งเท่านั้น ด่านก่อเกิดลมปราณชั้นยอดสิบคนภายใต้การนำของด่านกลั่นโลหิตโค่นด่านทะลวงลมปราณได้ แต่ให้นับไปอีกสิบเท่าก็ไม่พอจะเอาชนะด่านสู่พิสดารคนหนึ่งได้
“หลี่ฉงซาน ตายเสีย !” สือไต๋มู่ร้องลั่น ซัดการโจมตีอีกสิบแปดคราเข้ามา
วิถีการต่อสู้ของเผ่าคนเถื่อนนั้นหยาบโลนเรียบง่าย การบ่มพลังเน้นเพียงเพิ่มความแกร่งทางร่างกายและพลังป้องกัน กระทั่งพลังต้นกำเนิดที่ได้มาจากการเจิมน้ำมนต์ในอารามณ์ยังใช้เช่นนั้น เส้นสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะไปตามตัวดาบนั้นเป็นผลจากการเจิมน้ำมนต์ ควบคู่กับพลังกายอันน่าผวาของเขาแล้ว แรงโจมตียามปลดปล่อยพลังก็ย่อมถือว่าเหนือกว่าด่านผลาญจิตวิญญาณธรรมดานัก
ประจันหน้ากับคนเช่นนี้ กลยุทธ์ที่ดีที่สุดไม่ใช่เข้าห้ำหั่นไม่รู้ทิศ แต่ใช้ความคล่องแคล่วโดยธรรมชาติของมนุษย์กินแรงศัตรู ค่อย ๆ บีบให้ตาย
ทว่าหลี่ฉงซานไม่สนตรรกะ เลือกทางที่โง่ง่มและอธิบายยากที่สุดมาใช้
เขาใช้ตำหนักเซียนฝืนรับการโจมตีของสือไต๋มู่ แสงหลากสีกระจายตัว จนสือไต๋มู่แทบลืมตาไม่ขึ้น
จากนั้นก็เห็นว่าประตูตำหนักเซียนริ่มอ้าออก พยัคฆ์ตัวใหญ่ร่างปกคลุมด้วยเพลิงโผล่ออกมา อ้าปากใช้เขี้ยวสะบั้นสือไต๋มู่.
ราชันอสูรพยัคฆ์ไฟสีชาด !
หลี่ฉงซานไม่เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญพลังต่ำคนอื่น ๆ เขามีสายเลือดบริสุทธิ์เข้มข้นถึงสี่สิบในร้อยส่วน ทำให้ราชันอสูรพยัคฆ์ไฟสีชาดของเขานั้นยิ่งเหมือนจริง มันดูจะมีร่างจริงขึ้นมา สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงบางส่วนของราชันอสูรได้แล้ว
แม้จะแค่เสี้ยวหนึ่ง แต่ก็น่ากลัวนัก
ราชันอสูรพยัคฆ์ไฟสีชาดพุ่งเข้าใส่ เพลิงบนร่างพุ่งขึ้นฟ้า กรงเล็บยักษ์กวาดไปบนพื้น ดูราวกับดวงตะวันปะทะปฐพีก็มิปาน
สือไต๋มู่ตวัดดาบดุร้าย ริ้วสายฟ้าสะท้านไปในอากาศ ปะทะเข้าร่างพยัคฆ์และหลี่ฉงซาน พลังสายฟ้าไร้การยับนั้งลั่นเปรี๊ยะทั่วบรรยากาศ ส่องแสงจ้าบนท้องฟ้า
การต่อสู้ดุดันครั้งนี้มีเพียงสองคน ทว่าซูเฉินรู้สึกราวกับได้กลับไปเมืองกลืนธารา ราวกับได้เห็นด่านผลาญจิตวิญญาณทั้งสี่ต่อกรกับราชันอสูรอีกครั้ง ทว่ามันต่างกัน ที่เมืองกลืนธารากินพื้นที่กว้างกว่า ส่งผลระยะกว้างกว่า แต่ป่าก็ปิดบังบางส่วนไว้ ทำให้ไม่อาจเห็นการต่อสู้ทั้งหมดชัดเจน แต่ตอนนี้ซูเฉินเห็นทั้งสองแลกกระบวนท่ากันเต็มสองตา ทำให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
เขาจ้องการต่อสู้เขม็ง เนตรมองโลกจุลภาคเปิดใช้ถึงขีดสุด มองดูทั้งสองเข้าปะทะกัน
อาจเพราะเขาใช้เนตรมองโลกจุลภาคมานานแล้ว ดวงตาซูเฉินจึงเห็นทุกอย่างชัดเจนไม่น้อย จับได้กระทั่งการไหลของพลัง ด้วยเหตุนี้จึงสังเกตการปรับตัวและคุณสมบัติพื้นฐานในวิถีการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายได้
ที่เมืองกลืนธารา ชายหนุ่มมัวแต่วุ่นวายช่วยชีวิตคน ไม่มีเวลามาสังเกตการณ์ แต่ตอนนี้เขามีโอกาสได้เฝ้าดูใกล้ชิดแล้ว
นี่นับเป็นการต่อสู้ระดับสูงสุดที่ซูเฉินมีโอกาสได้เป็นสักขีพยานด้วยตาตน ส่งผลถึงเขาอย่างล้ำลึกไม่น้อย
“เช่นนี้เอง…… เป็นเช่นนี้นี่เอง…… เข้าใจแล้ว ! ข้าเข้าใจแล้ว !” ซูเฉินพึมพำไปหยุด นัยน์ตาเป็นประกายระยับ
หลายคำถามที่ไม่อาจเข้าใจพลันดูง่ายดายในพริบตา ยิ่งได้เห็นการต่อสู้ เส้นทางข้างหน้าของซูเฉินเพื่อใฝ่หาวิธีทะลวงด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดก็ยิ่งรุดหน้าไปรวดเร็ว
หากในอดีต เส้นทางนี้มีแต่ความมืดมิด ตอนนี้ก็ถือว่าเห็นแสงเส้นหนึ่งปรากฏ ส่องสว่างให้เห็นเส้นทางด้านหน้าของซูเฉินแล้ว !!
เมื่อเห็นทางจะไปแล้ว เขาก็สามารถเริ่มกรุยทางได้เสียที !
ในตอนนี้ ซูเฉินมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเขาสามารถเสาะหาวิธีทะลวงด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดได้เป็นแน่
หลี่ฉงซานกับสือไต๋มู่ยังสู้กันอยู่ที่กลางอากาศ วุ่นวายแต่กับการต่อสู้
หากไม่มีใครเข้าไปขัด ทั้งสองก็คงสู้กันจนตะวันขึ้นกระมัง
หากแต่ในตอนนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงประหลาดขึ้นให้ได้ยิน
ราวกับมีใครมาพึมพำกระซิบที่ข้างหู ไม่อาจได้ยินชัดเจนว่าพูดสิ่งใด แต่ก็มีความลึกลับบางอย่างที่สัมผัสได้ ทำให้คนได้ยินรู้สึกจิตใจสั่นสะท้านไปเล็กน้อย การเคลื่อนไหวพลันช้าลงจังหวะหนึ่ง
หากแต่หลี่ฉงซานกลับหัวเราะลั่นเมื่อสัมผัสสถานการณ์ประหลาดนั่นได้ “ท่านลงมือเสียแล้วหรือ ? ท่านบรรพชน พวกเรากำลังรอท่านอยู่เลยเชียว !”
พูดจบ สถานการณ์ก็พลันพลิกผันในทันที