บทที่ 130 บรรพชน (1)
ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว !
เงาร่างมากมายพุ่งเข้าหาหัวหน้าเผ่าที่ลอยตัวอยู่ ทั้งยังมีตัวตนทรงพลังที่เร้นกายอยู่ในเงามืด
สิ้นเสียงฟ้าลั่น เงาร่างทั้งหลายก็พุ่งออกมา ส่องสว่างด้วยสายฟ้าและเปลวไฟ
สือไต๋มู่คำรามอย่างโกรธเคือง เพราะตอนนี้เขามีศัตรูอีกสองให้ต้องรับมือแล้ว
ฉือไคฮวงและจวินโม่เสีย
ทั้งสามโจมตีสือไต๋มู่พร้อมกัน ส่งผลให้สถานการณ์เปลี่ยนไปทันที
นั่นเป็นสิ่งที่หลี่ฉงซานคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าแล้ว
ในเรื่องของกำลัง หลี่ฉงซานไม่ด้อยไปกว่าสือไต๋มู่
หากแต่ในเรื่องวิถีการสู้ หลี่ฉงซานไม่อาจสู้ได้ดุดันดุเดือดเช่นสือไต๋มู่ เผ่าคนเถื่อนเป็นนักรบโดยกำเนิด ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยยามสู้ ราวกับมีพลังไร้จำกัด การโจมตีส่วนมากไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไรก็ดุดันเหมือนคราแรก
ด้วยเหตุนี้ การสู้กับสือไต๋มู่ตรง ๆ จึงทำให้หลี่ฉงซานเสียเปรียบ
แม้จะมีราชันอสูรพยัคฆ์ไฟสีชาดและตำหนักเซียนห้าชั้นก็ยังเสียเปรียบ
ทว่าหลี่ฉงซานก็ยังทำเช่นนั้น
นั่นก็เพราะเขาเข้าใจดี ว่าในศึกระหว่างสองกองทัพ ขวัญกำลังใจคือเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในยามคับขันเช่นนี้แล้ว ยามที่ต้องฝืนรุดหน้าใส่กำลังเต็มที่ แม่ทัพที่สู้ในเงามืดย่อมไม่อาจสร้างแรงผลักดันได้เท่าแม่ทัพที่เข้าห้ำหั่นศัตรูกันต่อหน้า แม่ทัพข้าปะทะหัวหน้าเผ่าเจ้า พวกเราชาวมนุษย์แกร่งกว่าพวกมัน !
เขาจึงใช้วิธีนี้สร้างแรงฮึกเหิมในใจเหล่าทหาร กระตุ้นความกล้าและความกระหายสงครามในตัวพวกเขาออกมา
กลับกัน ที่เขากล้าหาญมากพอจะทำเช่นนี้ เพราะคำนวณแล้วว่าการต่อสู้จะไม่รั้งอยู่นาน
เมื่อถึงจุดที่เสียเปรียบอย่างหนักแล้ว ใครจะสนกฎเกณฑ์อยู่อีกเล่า ?
จะพูดว่า ทุกคนรอให้หัวหน้าบรรพชนลงมือมานับแต่ต้นแล้วก็ว่าได้
การปรากฏตัวของหัวหน้าบรรพชนเป็นสัญญาณว่าการต่อสู้ตัวต่อตัวได้จบลงแล้ว ทั้งยังเป็นโอกาสให้พวกเขาเข้ารุมศัตรูได้อย่างเป็นธรรม ดังนั้นเมื่อหัวหน้าบรรพชนลงมือ การต่อสู้ตัวต่อตัวก็นับว่าถูกแหกกฎแล้ว
ฉือไคฮวงใช้ฝ่ามือกดดัน เปิดใช้งานสุเมรุสูญ ส่งผลให้สือไต๋มู่รู้สึกว่าครึ่งล่างถูกดึงดูด ท่วงท่าถูกจำกัด ฝ่ามือคล้ายฝ่ามือพระพุทธองค์พุ่งลงพื้น พลังกดดันส่งผลให้สายฟ้าของสือไต๋มู่มอดดับไป
แต่การโจมตีของจวินโม่เสียน่าขนลุกกว่านั้น
เขาถือโคมขนาดเล็กไว้ ถูกลมพัดจนไฟกะพริบริบหรี่แต่ก็ไม่มอดดับ ยังคงส่องแสงกะพริบไปเรื่อย
ทุกครั้งที่มันกะพริบ กลิ่นอายสือไต๋มู่จะอ่อนพลังลง ส่วนตำหนักเซียนห้าชั้นของหลี่ฉงซาน ตำหนักเซียนก็จะยิ่งกระจ่างขึ้น ราชันอสูรพยัคฆ์ไฟสีชาดคำรามดุดันกว่าเก่า เพลิงบนร่างกลายเป็นสีขาว
หอกเพลิงสีขาวพุ่งใส่สือไต๋มู่จนเขาไม่อาจใช้ดาบสายฟ้าปัดป้องได้ อักขระโทเทมที่สว่างจ้าเริ่มระเบิดแสงเมื่อถูกโจมตี ราวกับร่างกายดั่งเหล็กของเขาไม่อาจต้านทานการโจมตีไว้ได้
เขาทำได้เพียงร้องลั่นและบิดร่างด้วยความโกรธ ถูกศัตรูทั้งสามโจมตีใส่ไม่หยุดยั้ง ทว่าเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
ในเวลาเดียวกันนั้น เฉิงเถียนไห่ หลินเฉ่าเซวียน และฉู่อิงหว่านพุ่งเข้าใส่ทหารเผ่าคนเถื่อนสามคนแยกกัน เทียบกับสือไต๋มู่แล้ว คู่ต่อสู้ของพวกเขาแก่ชรามากกว่านัก
เผ่าคนเถื่อนด้านหน้ามีหนวดขาวและอักขระประหลาดบนใบหน้า ที่ลำคอห้อยกะโหลกจากคนจริงที่ถูกลดขนาดลงจนเหลือเพียงชิ้นเล็ก ๆ เบ้าตาของแต่ละกะโหลกมีเปลวเพลิงสีฟ้าลึกลับลุกโชนอยู่ภายใน
อีก 2 คนถือไม้เท้า ดูแก่ชราไม่แพ้กัน
ชายชราทั้งสามคือบรรพชนทั้งสามแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์เหมันต์
ไม่เหมือนกับวีรชนเผ่าคนเถื่อนคนอื่น ๆ บรรพชนเผ่าคนเถื่อนนั้นเหมาะจะใช้วิชาลี้ลับในการต่อสู้กว่านัก หัวหน้าบรรพชนดึงสร้อยกะโหลกออกแล้วขว้างไปด้านหน้า ก่อนพึมพำคาถา สร้อยกะโหลกขบฟันกึ่ก ๆ แล้วพุ่งเข้าหาแม่ทัพทั้งสาม
หลินเฉ่าเซวียนตวัดดาบออกสามครา ริ้วแสงจากดาบปะทะกะโหลกเหล่านั้นแต่ไม่อาจทำลาย กะโหลกยังคงพุ่งเข้าใส่มาโดยเร็ว ทั้งยังอ้าปากพ่นควันดำออกมาด้วย
“ระวังด้วย นั่นหมอกกลืนวิญญาณ” ฉู่อิงหว่านตะโกน แท่นบงกชปรากฏที่กลางหน้าผาก ส่องแสงปกปักออกมา ป้องกันไม่ให้ควันพิษเข้าใกล้ร่างนาง
หากแต่กะโหลกเหล่านั้นยังกัดฟันกระทบกันไม่หยุด ทำเอาขนหัวลุก กระนั้นการโจมตียังเบาลงเล็กน้อย
บรรพชนเหล่านี้ พลังโจมตีเพียงธรรมดา แต่กลยุทธ์ลื่นดั่งปลาไหล แค่กะโหลกเหล่านี้ก็ทำให้แม่ทัพทั้งสามไม่อาจรุกเข้ามาดั่งใจหมายได้แล้ว
ในตอนนั้นเองที่บรรพชนอีกสองคนลงมือ
บรรพชนคนหนึ่งหยิบกระจกออกมา แสงที่สะท้อนออกมาปกคลุมร่างเฉิงเถียนไห่
เมื่อแสงกำลังจะปะทะร่างเฉิงเถียนไห่ หลินเฉ่าเซวียนก็พุ่งเข้ามา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังที่เชี่ยวกรำเรื่องความเร็ว มีความรวดเร็วสูงส่ง พริบตาเดียวก็มาปรากฏหน้าเฉิงเถียนไห่ ลำแสงพุ่งใส่หลินเฉ่าเซวียนแทน เขาพลันตาพร่า เกือบหมดสติไป พริบตาต่อมา เขาก็เห็นร่างที่เหมือนเขาไม่มีผิดเดินออกมาจากกระจกแล้วพุ่งเข้าใส่ตน
“นี่น่ะหรืออาคม ? น่าสนใจยิ่ง !” ซูเฉินพึมพำแล้วมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าจากที่ไกล
เผ่าคนเถื่อนรอดพ้นมาได้นับหมื่นปี ไม่ใช่แค่เพราะอารามพลังต้นกำเนิด พวกเขายังมีวัฒนธรรมของตนเอง มีประวัติศาสตร์ และมีระบบการบ่มเพาะพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองด้วย
ทว่าซูเฉินกลับไม่ห่วงฉู่อิงหว่านและคนอื่น ๆ หลังจากสู้กับเผ่าคนเถื่อนมาหลายครั้งเข้า ทุกคนจึงรู้กำลังและกลยุทธ์ของศัตรูดี ไม่มีใครตกหลุมพรางโดยง่ายแน่
แน่นอนว่าพริบตาเดียว เฉิงเถียนไห่ก็พุ่งไป ฟันขวานยักษ์ใส่ร่างแปลงหลินเฉ่าเซวียน
วิถีการต่อสู้ของเขาค่อนข้างคล้ายสือไต๋มู่ ทั้งคู่พุ่งเข้าใส่ดุดันเฉียบขาด แต่เขาไม่ได้สู้เคียงบ่ากับหลี่ฉงซาน นั่นเพราะเขาต้องรับมือกับบรรพชนเหล่านั้นด้วย
ร่างแปลงหลินเฉ่าเซวียนมีกำลังเพียงครึ่งของหลินเฉ่าเซวียนตัวจริง แต่ก็เป็นครึ่งหนึ่งที่ดึงจากร่างจริงหลินเฉ่าเซวียน หรือก็คือหากไม่สังหารร่างแปลงทิ้ง หลินเฉ่าเซวียนก็ไม่อาจได้พลังคืนมาเต็มที่ และหากคิดอยากสังหารทิ้งโดยเร็ว ก็ต้องใช้นักรบบ้าคลั่งอย่างเฉิงเถียนไห่
ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว !
ขวานรบพุ่งเข้าปะทะร่างปลอมหลินเฉ่าเซวียนโดยแรง ทำให้มีแสงเรืองรองส่องประกายระยิบระยับ ร่างแปลงของหลินเฉ่าเซวียนแตกกระจายราวเศษกระจกแล้วร่วงกราวลงพื้น เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยสะท้อนแสงระยับ แต่ละชิ้นมีภาพหลินเฉ่าเซวียนขนาดเล็กอยู่ด้วย
“ย่าห์ !” เฉิงเถียนไห่คำราม ขวานยักษ์เปล่งสีแดงกระหายเลือด มันพุ่งเข้าหาคลื่นแสงที่ส่องออกมา ส่งชิ้นส่วนเล็กน้อยกระจายไปทั่ว
บรรพชนผู้นั้นส่งเสียงร้องไม่พอใจ กระจกในมือปริและแตกออกเป็นชิ้น ๆ
หากภาพลวงตานี้ถูกทำลายเร็วเกินไป ความเสียหายจากภาพลวงตาจะถูกส่งไปยังกระจก
หลินเฉ่าเซวียนนั้นรวดเร็วมาก แต่พลังป้องกันต่ำนัก แต่เฉิงเถียนไห่นั้นแกร่งทั้งพลังป้องกันและโจมตี หมายความว่ากลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือให้หลินเฉ่าเซวียนถูกกระจกแทนเฉิงเถียนไห่ และเฉิงเถียนไห่จึงสามารถใช้กำลังดุดันทำลายร่างแปลงได้โดยเร็ว เป็นการร่วมมือกันที่ไร้ที่ติจริง
ท่าสังหารของบรรพชนอารามศักดิ์สิทธิ์จึงถูกสกัดไว้ได้เช่นนั้น
บรรพชนคนสุดท้ายกรีดเสียงร้องแล้วดึงของอีกชิ้นออกมา มันคือแมงป่องพิษตัวยักษ์ ที่พอออกมาแล้วก็ขยายร่างใหญ่ทันที ลงพื้นเมื่อไหร่ก็พุ่งเข้าไปหาทั้งสามอย่างน่ากลัว
ในตอนนั้นเองที่หัวหน้าบรรพชนร่ายคาถาอีกครั้งหนึ่ง กะโหลกที่หมุนคว้างกลางอากาศเริ่มเปลี่ยนรูป ควันพิษมารวมกันอยู่ที่พื้นผิวกะโหลก ก่อนที่มันจะก่อร่างใหม่ขึ้น ก่อนหน้ามีโครงกระดูก 18 ชิ้น ในตอนนี้โครงกระดูกทั้ง 18 ชิ้นก็ได้ก่อร่างรวมกันแล้วจับอาวุธ พุ่งเข้าใส่แม่ทัพทั้งสามแล้ว