ภาคที่ 4 บทที่ 131 บรรพชน (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 131 บรรพชน (2)

โครงกระดูกทั้ง 18 ชิ้นนี้ดูเรียบง่าย ทว่าแท้จริงแล้ว แต่ละตัวล้วนมีความพิเศษและมีความสามารถเฉพาะตัวอยู่

ขวานศึกของเฉิงเถียนไห่ปะทะเข้ากับโครงกระดูกเหล่านั้น หากฟันโดนหัวกะโหลกมันจะถูกเบี่ยงออก และหากฟันโดนส่วนโครงร่าง กระดูกจะสลายเป็นควันดำก่อนจะกลับมาเป็นเช่นเดิมอีกครั้ง การโจมตีของพวกมันก็ใช่ว่าง่ายที่จะรับมือ อาวุธในมืออีกฝ่ายนั้นก็สามารถเปลี่ยนเป็นควันดำได้เช่นกัน มันจะกัดกร่อนทุกสิ่งที่สัมผัสแม้ว่าสิ่งที่มันกระแทกโดนจะเป็นโล่ก็ตาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณสมบัติที่ไร้ตัวตนนั่นอีก

เฉิงเถียนไห่ถูกโจมตีด้วยการโจมตีที่ว่านี้ไปครั้งหนึ่ง ผิวเหล็กของเขาถูกกัดเซาะและเปลี่ยนสีไปประหนึ่งขึ้นสนิม ร่างกายอันทรงพลังเปราะบางราวกับตุ๊กตากระเบื้อง เมื่ออยู่ต่อหน้าโครงกระดูกเหล่านี้ มันสร้างความตกตะลึงอย่างมากให้กับเขา ชายร่างใหญ่ตะโกนลั่น “ไอ้เวรพวกนี้มันไม่ง่ายที่จะรับมือเลย ! แม่นางน้อยฉู่ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ? เหตุใดถึงยังไม่ใช้มันอีก ?”

ฉู่อิงหว่านตอบกลับด้วยท่าทางหงุดหงิด “ไม่เห็นเหรอว่าข้าไม่ว่าง ?”

นางกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการกับแมงป่องพิษตรงหน้า

แมงป่องพิษตัวนี้ไม่ได้เป็นสัตว์อสูรที่ถูกฝึกมา แต่มันคือพิษมีชีวิตที่เกิดจากการรวมสัตว์อสูรเข้าด้วยกัน

เผ่าคนเถื่อนนั้นมีประวัติศาสตร์อยู่กับสิ่งชั่วร้ายมายาวนานนับหมื่นปี เริ่มแรกพวกเขาเป็นคนเลี้ยงแกะให้แก่เผ่าสัตว์อสูร ต่อมาพวกเขาก็ได้เป็นพันธมิตรกับเผ่าอาร์คาน่าและกลายเป็นสุนัขเฝ้าบ้านให้อีกฝ่าย จนกระทั่งการล่มสลายของเผ่าอาร์คาน่าได้มาถึง พวกเขาจึงได้รับอิสระ ส่วนความสามารถในการปรับแต่งพิษ มันก็เป็นสิ่งที่พวกเขาหยิบขึ้นมาจากชาวอาร์คาน่าในขณะที่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านให้ทางนั้น ..ซึ่งมันเป็นวิธีการที่เผ่าอาร์คาน่าละทิ้งไปแล้ว

เพราะการปรุงพิษนี้จะกัดกร่อนร่างกายของผู้ใช้ และทำให้ร่างกายอ่อนแอลง

ชนเผ่าอาร์คาน่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะชื่นชอบ หรือนิยมในทักษะวิชาเช่นนี้ ในทางตรงกันข้าม ร่างกายของชนเผ่าคนเถื่อนนั้นแข็งแกร่งพอที่จะทนได้

โครงกระดูกและแมงป่องพิษเหล่านี้คือผลผลิตของทักษะที่ว่ามา และผู้ใช้ก็ต้องจ่ายความแข็งแกร่งของร่างกายออกไปเป็นการแลกเปลี่ยน ด้วยเหตุนี้แม้ว่าบรรพชนอารามศักดิ์สิทธิ์จะมีความสามารถลึกลับที่ทรงพลัง แต่ก็ต้องสูญเสียร่างกายอันทรงพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าไป ตัวตนของพวกเขามีอยู่เพื่อชดเชยความสามารถในการสัมผัสถึงพลังต้นกำเนิดที่ขาดหายไปของเผ่าคนเถื่อน

เพราะพวกเขามีอยู่เพื่อชดเชยข้อบกพร่อง บรรพชนอารามศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังแต่ก็ไม่เคยอยู่ยงคงกระพัน พลังของพวกเขาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะปราบปรามคู่ต่อสู้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากทหารกลุ่มใหญ่

และเมื่อขาดการปกป้องจากทหาร ร่างกายที่อ่อนแอของพวกเขาจะกลายเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด

ดังนั้นแม้ว่าฉู่อิงหว่านจะตอบกลับเสียงตะโกนของเฉิงเถียนไห่ ว่ามือไม่ว่างแต่การเคลื่อนไหวของนางก็ไม่ได้ล่าช้าเลยแม้แต่น้อย

นางหยิบอะไรบางอย่างออกมา

ทรายหนึ่งกำมือ

หลังจากหยิบทรายออกมา ฉู่อิงหว่านก็โปรยมันทิ้งลงบนหัวของตัวเอง เม็ดทรายร่วงลงมาปกคลุมร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว เมื่อทรายทั้งหมดตกถึงพื้น ฉู่อิงหว่านก็ได้อันตรธานหายตัวไปจากตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย

ความตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหัวหน้าบรรพชน

เขาอ้าปากและตะโกนบทสวดขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร กลุ่มโครงกระดูก 18 ชิ้นก็ได้หันกลับมาและถอยกลับไปหาหัวหน้าบรรพชน

แต่มันก็ช้าไปก้าวหนึ่ง

ทันใดนั้นร่างของฉู่อิงหว่านปรากฏขึ้นด้านหลังหัวหน้าบรรพชน บรรพชนอีกสองคนพากันชี้ไปที่ด้านหลังของหัวหน้าและตะโกนร้อง ทว่าหัวหน้าบรรพชนกลับดูราวไม่ได้รู้สึกตัวเลยและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

ไม่ เขากำลังเคลื่อนไหว แต่การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าอย่างไม่น่าเชื่อ

ฉู่อิงหว่านยกหอกในมือขึ้นและถอนหายใจ “ข้าไม่ได้อยากที่จะใช้ทรายกาลเวลาที่นี่เลย แต่การต้องมามัวจัดการกับพวกเจ้าทั้งหมดมันน่ารำคาญเกินไป อืม ช่างเถอะ”

ขณะที่พูด หอกสีเงินในมือของนางก็เสียบแทงเข้าไปที่หัวใจของหัวหน้าบรรพชน

ราวกับหัวหน้าบรรพชนไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย เขาขยับไปด้านข้างเพื่อหลบหนีไปจากฉู่อิงหว่าน

อย่างไรก็ตาม การดิ้นรนของเขานั้นไร้ประโยชน์

ฉู่อิงหว่านแทงหอกของนางอีก 3 ครั้งที่กระดูกสันหลัง ตัดเส้นชีวิต ทำลายรากปราณ และสะบั้นสายพลังเวทย์ ทั้ง 3 จุดนั้นล้วนเป็นจุดสำคัญของบรรพชน หากมีจุดใดจุดหนึ่งยังคงปลอดภัยไม่บุบสลาย เขาก็มีโอกาสที่จะรอดไปได้ ทว่าการโจมตีของแม่ทัพหญิงแม่นยำอย่างยิ่ง และไม่พลาดจุดสำคัญไปแม้แต่จุดเดียว

ในที่สุดผลของทรายกาลเวลาก็หมดลง และการเคลื่อนไหวของหัวหน้าบรรพชนก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ขณะที่เขาหนีออกจากการโจมตีของฉู่อิงหว่าน

นางไม่ได้ไล่ตามเขาไป แต่กลับจ้องอีกฝ่ายอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “เจ้าตายไปแล้ว”

ร่างของหัวหน้าบรรพชนต้องการที่จะหันกลับมามองดูนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกลัวและตกใจของเขา แต่ก่อนที่จะทันได้เห็นอีกฝ่าย หัวของเขาพลันหลุดออกจากบ่า เด้งกระดอนกลิ้งไปตามพื้น

จังหวะนั้นโครงกระดูกทั้ง 18 ชิ้นได้มาถึงด้านข้างหัวหน้าบรรพชนผู้สิ้นชีพแล้ว พวกมันกันกรีดร้องขึ้นก่อนจะกลับกลายเป็นกลุ่มควันดำและสลายหายไป

บรรพชนอีก 2 คนที่เหลือกู่ร้องด้วยความโกรธและเริ่มปลดปล่อยพลังทั้งหมด

กลุ่มคนเถื่อนกลุ่มใหญ่พุ่งออกมาจากอารามศักดิ์สิทธิ์ ตามเสียงร้องของสองบรรพชน

พวกเขาคือผู้พิทักษ์อารามศักดิ์สิทธิ์ ในหมู่คนเหล่านี้มีผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนด้วยวิธีพิเศษอยู่จำนวนมาก

“ยกพวกตีกัน ? ของชอบข้าเลย” ฉู่อิงหว่านกล่าวอย่างไม่แยแส

เมื่อนางส่งสัญญาณ เหล่านักรบของกลุ่มภูผาครามต่างก็พุ่งออกไปด้านหน้า เพื่อทักทายและสังหารองครักษ์ของอารามศักดิ์สิทธิ์

ประกายแสงโลหะสีเลือดทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือเมืองนี้สว่างไสวขึ้นอีกครั้ง

“ทรายกาลเวลา … ” ซูเฉินพึมพำขึ้นหลังได้เห็นฉากสังหารหัวหน้าบรรพชนของแม่ทัพหญิง

ทรายกาลเวลาเป็นสมบัติที่หาได้ยากอย่างยิ่ง คุณสมบัติกับความสามารถของมันเหมือนกับชื่อที่ตั้งเอาไว้ สร้างผลกระทบต่อการรับรู้เวลาของผู้ใช้และคู่ต่อสู้

หัวหน้าบรรพชนของอารามศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวคนที่น่ากลัวอย่างมาก ในแง่ของความแข็งแกร่ง แม้แต่หัวหน้าเผ่าคนเถื่อนก็ยังไม่สามารถเทียบกับเขาได้ ฉู่อิงหว่านและคนอื่น ๆ กล้าที่จะท้าทายศัตรูผู้นี้ซึ่ง ๆ หน้าก็เพราะทรายกาลเวลา

ขั้นแรก พวกเขารอให้โครงกระดูกทั้ง 18 นั่นถูกส่งออกมาก่อน จากนั้นใช้ทรายกาลเวลาเพื่อลอบสังหารคู่ต่อสู้ในทันที แม้ว่าจะไม่มีเหล่าโครงกระดูกคอยอารักขา หัวหน้าบรรพชนก็ยังคงมีวิธีอื่นในการป้องกันตัวเอง ทว่าการลอบจู่โจมอย่างกะทันหันส่งผลให้เขาเตรียมรับมือไม่ทันกาล ร่างกายที่อ่อนแอทำให้ความสามารถให้การต้านทานการโจมตีอ่อนด้อย ผลคือฉู่อิงหว่านสามารถฆ่าอีกฝ่ายลงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

หากผู้ที่ถูกลอบโจมตีภายใต้ผลของทรายกาลเวลาเป็นหัวหน้าเผ่า ในเวลาอันสั้นไม่ต้องพูดถึงการสังหารในโจมตีเดียว แค่เพียงทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ยังเป็นการยาก

น่าเสียดายที่ทรายกาลเวลานี้เป็นสมบัติสิ้นเปลืองที่ใช้แล้วไม่อาจนำกลับคืนได้

ซูเฉินเหลือบมองฉากเบื้องหน้าอย่างเวทนา จากนั้นหันความสนใจไปที่อารามศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้เหล่าผู้พิทักษ์อารามศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ออกมากันแล้ว จึงนับเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปสำรวจภายในวิหาร

ที่แห่งนี้เป็นวิหารที่เรียบง่ายและไม่มีเครื่องตกแต่งมากนัก เผ่าคนเถื่อนค่อนข้างจะล้าหลัง แม้ว่าพวกเขาจะมีประวัติศาสตร์และการพัฒนามานับหมื่นปี แต่ชีวิตของพวกเขาก็ยังเรียบง่ายเช่นที่ผ่าน ๆ มา

สำหรับพวกเขานี่คือประเพณี และประเพณีทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง

อารามศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าเป็นสถานที่ ที่ได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวดที่สุดในอาณาเขตของเผ่าคนเถื่อน แต่ตอนนี้ภายใต้การโจมตีของกองทัพมนุษย์ การป้องกันที่เข้มงวดทั้งหลายกลับไร้ความหมายไปสิ้น

ผู้พิทักษ์อารามศักดิ์สิทธิ์จบชีวิตในการต่อสู้ที่ดุเดือด ทางเข้าวิหารเปิดโล่งไร้ซึ่งคนขวางซูเฉินไม่ให้เข้าไปด้านใน

เขาเดินเข้าไปภายในอารามศักดิ์สิทธิ์ผ่านทางประตูหน้า และพบมนุษย์สองสามคนยังคงต่อสู้กับคนเถื่อนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เนื่องจากกองทัพมนุษย์ตอนนี้ได้เปรียบอย่างขาดลอย ซูเฉินจึงไม่ได้สนใจพวกเขามากนักและเดินอ้อมไปเส้นทางอื่นแทน

หลังจากออกจากห้องโถงใหญ่ ซูเฉินพบว่าตัวเองได้มาโผล่อยู่ใน ‘สวนดอกไม้’

แม้ว่าเผ่าคนเถื่อนจะหยาบคายและดุร้าย แต่สวนดอกไม้ของวิหารนี้ก็ยังมีสิ่งดี ๆ อยู่บ้าง รวมถึงทรัพยากรที่หายากบางอย่าง อาทิ ผลไม้สามชีวิต โสมวังเหลือง ดอกบัวแดงพันกลีบ หญ้ามังกรหลอมเหลวและอีกมากมาย

ทว่าซูเฉินก็ไม่ได้อยู่เสียเวลากับทรัพยากรเหล่านี้แม้แต่วินาทีเดียว และเดินไปข้างหน้าต่อไป

ถึงสิ่งเหล่านี้จะคุ้มค่าเงิน แต่มันก็ยังเป็นสิ่งที่มีราคาชัดเจน ความรู้เท่านั้นที่ประเมินค่าไม่ได้ และนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาไม่เก็บเกี่ยวสิ่งล้ำค่าพวกนี้ไป กองทัพที่อยู่ข้างหลังเขาก็จะเก็บเกี่ยวมัน และในกองทัพกำลังสวรรค์เอง ก็ไม่มี ‘นักปรุงยา’ คนไหนมีความสามารถไปกว่าเขาอีกแล้ว ดังนั้นอย่างไรเสียท้ายที่สุดพวกมันก็จะตกมาถึงมือของเขาอยู่ดี