ภาคที่ 4 บทที่ 132 พลังวิญญาณ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 132 พลังวิญญาณ (1)

เมื่อเดินผ่านสวนดอกไม้ ซูเฉินก็ได้พบกับอาคารหิน

เมื่อเข้าไปด้านใน เขาก็ได้กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดอบอวลเต็มไปทั่ว

ซูเฉินรู้ทันทีว่านี่คืออาคาร ‘ปรุงยา’ ของอารามศักดิ์สิทธิ์

การ ‘ปรุงยา’ ของอารามศักดิ์สิทธิ์ แท้ที่จริงแล้วแตกต่างจากการปรุงยาของมนุษย์อยู่พอควร วิธีการทำยาของพวกเขาคือการบดให้เป็นผงด้วยวิธีแบบดั้งเดิม และใช้ตัวยาไปตามผลตามที่ต้องการ

นี่เป็นวิธีการปรุงและใช้ยาในระดับต่ำมาก โดยทั่วไปแล้วมนุษย์อาจมองข้ามทักษะนี้

แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าอาคารปรุงยาของอารามศักดิ์สิทธิ์นี้จะไม่มีประโยชน์ พวกเขากลั่นปรุงทำยาเหล่านี้มานับหลายหมื่นปี กระบวนการเก็บรักษาคุณสมบัติทางยาของสมุนไพรเหล่านี้ได้พัฒนาไปมาก การเก็บรักษาและวิธีการผสมแบบหยาบของพวกเขามีเอกลักษณ์เฉพาะอย่างยิ่ง

วิธีการปรุงยาของอารามศักดิ์สิทธิ์ทำซูเฉินน้ำลายสอมานานแล้ว แต่เขาไม่เคยมีโอกาสได้รับมันมาเลย ถึงเขาจะจับตัวเล่อน่ามาได้มันก็ไร้ประโยชน์

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถค้นความลับของอารามศักดิ์สิทธิ์อย่างเปิดเผยได้แล้ว !!

เทคนิคการปรุงยาของอารามศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือกระดูก หนังสือเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้กระดูกชนิดพิเศษ แต่ละชิ้นบางราวกับปีกของจักจั่น ตัวอักษรที่ถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ สามารถคงอยู่เป็นเวลานานโดยไม่จางหรือเลือนหายไป

ภายในห้องยา มีหนังสือกระดูกที่เต็มไปด้วยข้อมูลการทำยาอยู่หลายร้อยเล่ม ซูเฉินกวาดพวกมันทั้งหมดลงไปในแหวนต้นกำเนิดของเขาอย่างไม่เกรงใจ และไม่เหลือเว้นไว้สักเล่ม หลังจากที่มอบเสบียงอาหารทั้งหมดให้กับกองทัพกำลังสวรรค์แล้ว แหวนต้นกำเนิดก็มีพื้นที่โล่งเพิ่มขึ้นมากโข

หลังจากเก็บกวาดอาคารปรุงยาจนสะอาดสะอ้านแล้ว ซูเฉินก็มุ่งไปยังสถานที่ต่อไป

ที่ใกล้ ๆ กันทางด้านขวาของอาคารหิน มีอาคารขนาดใหญ่ที่สร้างจากกระดูกสีขาวตั้งอยู่

เมื่อเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่เขาเห็นคือชายหนุ่มคนหนึ่งจากเผ่าคนเถื่อน จากการแต่กายด้วยชุดคลุมสีขาวแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นนักบวชฝึกหัด เมื่อเห็นซูเฉินปรากฏตัว คนหนุ่มผู้นั้นก็พลันกัดฟันและพุ่งเข้าใส่เขาในทันที

ซูเฉินไม่เสียเวลาพูดให้มากความ เขาจับหัวชายหนุ่มบิดและหักคอทิ้งในพริบตา

หลังจากที่ฆ่าชายหนุ่มคนนั้นไปแล้ว ซูเฉินก็ก้าวเข้าไปในโถงของอาคารกระดูกสีขาว เขาพบกองกระดูกอยู่ทุกหนทุกแห่ง ส่วนใหญ่แล้วเป็นของมนุษย์ แต่ก็มีบางอันที่เป็นของเผ่าคนเถื่อนเช่นกัน นอกจากกะโหลกศีรษะแล้ว ยังมีกระดูกต้นแขน กระดูกไหปลาร้า กระดูกต้นขา ฯลฯ กระดูกเหล่านี้ดูเหมือนจะถูกกอง ๆ เอาไว้อย่างไม่มีระเบียบ แต่แท้จริงแล้วพวกมันถูกจัดเรียงอย่างระมัดระวัง และคัดแยกตามประเภท

ซูเฉินรู้มาจากเล่อน่าว่ากระดูกชนิดต่าง ๆ นั้นมีประโยชน์แตกต่างกันไป

ตัวอย่างเช่น กะโหลกใช้ในการเก็บวิญญาณและฝึกฝนคาถา กระดูกต้นแขนกับกระดูกโคนขาใช้สำหรับทำนายและสืบความ กระดูกไหปลาร้าถูกใช้เพื่อการรักษาโรค ฯลฯ มีวิธีที่จะใช้กระดูกส่วนต่าง ๆ อยู่หลากหลาย

ซูเฉินไม่ได้สนใจกองกระดูกเหล่านั้น แต่เป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านในสุดของโถงกระดูกขาว ซึ่งเต็มไปด้วยจารึกลึกลับ

จารึกอักขระคาถาเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการกลั่นหลอมกระดูกของอารามศักดิ์สิทธิ์

เผ่าคนเถื่อนแบ่งเป็นชนเผ่าย่อยมากกว่าหนึ่งพันเผ่า แต่ละเผ่าก็จะมีวิธีในการทำนายกระดูกที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่นั้นคล้ายคลึงกัน แต่มีบางส่วนที่มีลักษณะเฉพาะของชนเผ่าเอง

คาถาทั่วไปส่วนใหญ่ซูเฉินได้รับมาจากเล่อน่าแล้ว แต่คาถาพิเศษของแต่ละเผ่า สามารถรับได้โดยการไปเยือนอารามศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเท่านั้น

โชคดีที่ที่แห่งนี้ ไม่ได้มีคาถาจารึกไว้เยอะจนเกินไปนัก เพียงแค่เหลือบมองเขาก็สามารถระบุคาถาอันเป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าเหมันต์ได้อย่างรวดเร็ว และจดบักทึกเอาไว้

จากนั้นเขาก็ไปต่อ

คราวนี้เป็นหลุมขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยซากศพมากมายกองอยู่

ในหลุมมีทั้งศพมนุษย์ ศพคนเถื่อน และมีแม้กระทั่งซากสัตว์อสูร

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือด้านบนของหลุมศพ มีบางสิ่งโปร่งใสกำลังลอยอยู่

เผ่าวิญญาณ !

เป็นเผ่าวิญญาณที่ถูกกักขังเอาไว้ด้วยวิธีพิเศษ เขาไม่รู้ว่าวิหารใช้วิธีใดในการป้องกันไม่ให้เผ่าวิญญาณหลบหนี แต่ทั้งหมดที่พวกวิญญาณทำได้คือล่องลอยไปมาเหนือหลุมประหนึ่งเปลวไฟที่ไร้ซึ่งวันดับ

เมื่อเห็นฉากประหลาดนี้ ฝีเท้าของซูเฉินก็ชะลอความเร็วลง

เขาเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังทีละก้าว จนหยุดอยู่ห่างจากหลุมประมาณ 3 จั้ง

“เผ่าวิญญาณถูกกักขังอยู่ในอารามศักดิ์สิทธิ์ ? ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากเสียจริง” ซูเฉินพูดช้า ๆ

“ช่วย… ข้าที… ” เผ่าวิญญาณตนนั้นเอื้อมแขนโปร่งแสงไปหาชายหนุ่มและคร่ำครวญอย่างขมขื่นออกมา

“ขอโทษด้วย ข้าเคยสังหารเผ่าวิญญาณมาก่อน แต่ข้าไม่เคยช่วยพวกมัน”

“ข้า… มอบสิ่งที่เจ้าต้องการให้ได้… ”

“แล้วเจ้ารู้หรือว่าข้าต้องการสิ่งใด ?”

“พลัง…”

“เป็นคำตอบที่ผิด” ซูเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา

เขากวาดตามองดูรอบตัวอีกฝ่าย อักขระนับไม่ถ้วนประทับอยู่ภายในตัวของเผ่าวิญญาณ ทำให้ชายหนุ่มได้คำตอบแล้ว

“พิธีปิดผนึก ? พวกมันกำลังสกัดพลังงานจิตของเจ้า” ซูเฉินพึมพำ

เห็นได้ชัดว่าเผ่าวิญญาณตนนี้ถูกใช้เป็นเหยื่อของพิธีกรรมบางอย่างอยู่ พลังจิตที่ทรงพลังคือสิ่งที่กลุ่มคนเถื่อนต้องการ สำหรับซากศพในหลุม มีไว้เพื่อเป็นพลังสำรองให้เผ่าวิญญาณไม่ตาย

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เผ่าวิญญาณตนนี้ก็เปรียบเสมือนเครื่องแปลงพลังงานจิต ที่รวบรวมและสกัดพลังจิตของศพในหลุมอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะส่งผ่านพลังงานเหล่านี้ต่อไป

พิธีกรรมสำคัญแบบไหนกัน ที่ทำให้เผ่าคนเถื่อนถึงขนาดต้องเซ่นสังเวยชีวิตมากมายเพื่อมันเช่นนี้ ?

แม้แต่ซูเฉินก็ยังสงสัย

“ความรู้ ความรู้ที่ไร้ขีดจำกัด !” เผ่าวิญญาณก่อนหน้านี้ตะโกนขึ้นอีกครั้ง

“เจ้าไม่ได้มีความรู้ที่ไร้ขีดจำกัด แต่เจ้ากลับบอกว่าจะมอบความรู้ไร้ขีดจำกัดให้ข้า ?” ซูเฉินส่ายหัว

“แต่ข้าก็ยังมีมันอยู่มาก !” เผ่าวิญญาณผู้นั้นยังคงตะโกนต่อไป พยายามคว้าความหวังสุดท้ายตรงหน้าของตน

นั่นเป็นความจริง เผ่าวิญญาณทั้งหมดเป็นนักวิชาการและเรียนรู้ได้ดี เพราะช่วงชีวิตของพวกเขาไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาจึงมีความเชี่ยวชาญในด้านการทดลองสูง กล่าวได้ว่าเผ่าวิญญาณแต่ละคนเปรียบเสมือนห้องสมุดที่อุดมไปด้วยหนังสือและบันทึกมากมาย

“ฟังดูดี คำถามคือข้าจะควบคุมเจ้าได้อย่างไร ?”

“ข้าสามารถปลดการป้องกันทางจิตของข้า ให้เจ้าประทับตราวิญญาณได้”

ซูเฉินพยักหน้าตอบ “เป็นวิธีที่ดี แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร”

เผ่าวิญญาณตนนั้นรีบพูด “ข้าสอนเจ้าได้ เปิดทะเลความรู้ของเจ้า แล้วข้าจะส่งผ่านความรู้เหล่านั้นให้ การส่งผ่านเช่นนี้ไม่สามารถปลอมแปลงได้ เจ้าจะรู้ได้ทันทีเมื่อเจ้าได้รับมัน”

“อย่างนั้นเองหรือ ?” ซูเฉินเล่นตามน้ำไปกับอีกฝ่าย

“เชื่อข้า ข้าแค่ต้องการหนีออกจากที่นี่ การยอมเป็นทาสของเจ้าเสียยังดีกว่าต้องเผชิญกับความทรมานนี้ !”

เผ่าวิญญาณตะโกนต่อ “การมีข้าเป็นทาสเองก็ไม่ทำให้เจ้าเสียหายอะไร”

“ก็ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ลอง แต่อย่าได้คิดอะไรเล่นแง่อะไรจะดีกว่านะ” ซูเฉินตอบ

“จับมือของข้าไว้ !”

ซูเฉินก้าวไปข้างหน้าและคว้ามือของเผ่าวิญญาณ เมื่อมือของทั้งสองประสานกัน ร่างของเผ่าวิญญาณตนนั้นก็พลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้น

“ปลดปล่อยจิตของเจ้า ข้าจะส่งต่อความรู้เกี่ยวกับการประทับตราวิญญาณให้” เผ่าวิญญาณกล่าวอย่างช้า ๆ

ซูเฉินหลับตาลง ปลดปล่อยจิตใจและเปิดทะเลความรู้ของเขา

ทันทีที่ทะเลความรู้ของเขาเปิดออก จิตสำนึกที่แข็งแกร่งก็พุ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าโง่ ! ส่งร่างของเจ้ามาซะ !” เสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งของเผ่าวิญญาณดังก้องอยู่ในใจของซูเฉิน

“งั้นเจ้าก็แค่ต้องการโอกาสนี้เพื่อยึดร่างของข้า ?” ซูเฉินหัวเราะเยาะ

“ถูกต้อง !” วิญญาณในทะเลความรู้หัวเราะเสียงดัง “แม้ว่าข้าจะต้องละทิ้งร่างวิญญาณอมตะเพื่อสิ่งนี้ แต่ย่อมดีกว่าการตกเป็นข้าทาสของเจ้า ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะของเจ้าและจะช่วยให้เจ้าประสบความสำเร็จยิ่งกว่านี้ให้เอง !”

“ขอบคุณ แต่ข้าไม่ต้องการ” ซูเฉินกล่าวอย่างเย็นชา “แค่วิญญาณเร่ร่อนที่มีพลังจิตอยู่เพียง 2500 หน่วย ทั้งยังโดนขังทรมานมานาน ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่าเจ้าจะมีปัญญายึดร่างของข้าไปได้อย่างไร !”

ขณะที่พูด ดวงตาของซูเฉินก็ได้เปล่งประกายแสงประหลาดออกมา