ภาคที่ 4 บทที่ 133 พลังวิญญาณ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 133 พลังวิญญาณ (2)

การเข้ายึดร่างไม่ใช่เรื่องง่าย กล่าวอีกอย่าง มันก็เปรียบได้กับการต่อสู้ระหว่างจิตวิญญาณ และความแรงของการโจมตีจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพลังจิตของพวกเขาเอง

อย่างไรก็ตาม การสู้เพื่อเข้ายึดร่างนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพลังจิตของใครแข็งแกร่งกว่า

เพราะถึงแม้ว่าพลังจิตของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมากกว่า แต่ปัจจัยที่กำหนดชัยชนะนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้

ความแตกต่างของสถานะระหว่าง เจ้าของร่างกับผู้สิงสู่ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุด สิ่งมีชีวิตเกือบทุกชีวิตย่อมมีกลไกป้องกันตนเองเพื่อต่อต้านสิ่งแปลกปลอมโดยกำเนิดอยู่แล้ว และเมื่อถูกบุกรุกกลไกดังกล่าวก็ย่อมจะทำงานขึ้นในทันที

ผู้พิทักษ์ในกำแพงเมืองมักจะได้เปรียบเหนือผู้โจมตีจากภายนอก ความได้เปรียบด้านอาณาเขตนี้จะช่วยขยายความแข็งแกร่งของตัวเจ้าของ ดังนั้นแม้แต่คนที่มีพลังจิตที่อ่อนแอกว่า ก็มีโอกาสที่จะต่อต้านผู้ที่มีพลังจิตที่แข็งแกร่งกว่าได้

ส่วนความได้เปรียบของเจ้าของร่างจะช่วยสร้างความแตกต่างได้มากน้อยเพียงใดนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเอง เพราะบางคนก็มีความสามารถในการป้องกันจิตใจของพวกเขา ซึ่งทำให้ข้อได้เปรียบนี้มีความสำคัญยิ่งขึ้น กลับกันบางคนไม่มีความสามารถนี้ ข้อได้เปรียบของพวกเขาก็อาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

โดยทั่วไปแล้ว หากสมมติว่าในแง่ความแข็งแกร่งของพลังจิตไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเป็นพิเศษ ข้อได้เปรียบของเจ้าร่างนี้ ก็จะช่วยทำให้พลังจิตของเจ้าของเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 5 เท่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็เปรียบได้ดั่งผู้ที่มีพลังงานจิต 200 จะแข็งแกร่งขึ้นราวกับเขามีพลังงานจิตอยู่ 1000 หน่วย เมื่อพวกเขาต่อสู้กับผู้ที่บุกรุกเข้ามาในร่างของตน

ที่จริงแล้ว การควบคุมวิญญาณก็อาศัยหลักการที่คล้าย ๆ กัน ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ หากความพยายามในการควบคุมล้มเหลว ผู้ลงมือจะได้รับทรมานจากการตีกลับไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากการเข้ายึดร่างล้มเหลว สิ่งที่รอผู้ลงมืออยู่มีเพียงแค่ความตายเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ แม้แต่เผ่าวิญญาณเองก็ไม่สามารถเข้ายึดร่างใครอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอัตราความสำเร็จต่ำ และถึงจะประสบความสำเร็จ ชีวิตที่ไร้ที่สิ้นสุดของพวกเขาก็จะกลับกลายเป็นช่วงชีวิตที่ถูกจำกัดอายุไข มันจึงไม่มีเหตุผลที่ดีพอจะต้องทำอะไรเช่นนั้น

เผ่าวิญญาณตนนี้ทนทรมานมายาวนานมากเกินไป จนแม้แต่ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอีกอีกต่อไป นี่คือเหตุผลที่เขาเต็มใจที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อหลบหนี

น่าเสียดายที่เขาโชคร้ายเกินไป เนื่องจากคนที่เขาพบดันเป็นผู้ที่อยู่เหนือสามัญสำนึกอย่างซูเฉิน ผู้ที่มีพลังจิตที่กล่าวได้ว่าทรงพลังและยังครอบครองทักษะต้นกำเนิดประเภทพลังจิตที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งของเขาอีกด้วย

ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ หากเผ่าวิญญาณต้องการจะเข้ายึดร่างของชายหนุ่ม เพื่อที่จะรับมือกับพลังจิตของซูเฉิน พลังจิตของเขาก็ต้องมีอย่างน้อย 10,000 หน่วยขึ้นไป ระดับความแข็งแกร่งที่ว่ามานั่นเป็นอะไรที่เพียงหัวหน้าเผ่าวิญญาณ หรือเจ้าแห่งแดนฝันลวงตาเท่านั้นจึงจะมีได้

ถึงกระนั้น แม้ซูเฉินจะเต็มใจที่จะเสนอตัวเองให้ ผู้มีระดับความแข็งแกร่งที่ว่ามาทั้งสองก็คงไม่เต็มใจที่จะขอรับ

ดังนั้นการเข้ายึดร่างซูเฉินของเผ่าวิญญาณตนนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายแบบไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย

นั่นเป็นเหตุผลที่ซูเฉินไม่เพียงแต่จะไม่รังเกียจที่จะเปิดทะเลความรู้ของเขาให้อีกฝ่ายเข้ามา แต่ยังเป็นฝ่ายเปิดรุกโจมตีก่อนเสียด้วย

ในเมื่อเข้ามาแล้ว ก็อย่าได้คิดที่จะออกไปเลย ข้าจะฆ่าแล้วก็กลืนกินความทรงจำของเจ้าซะ เท่านี้ข้าก็จะรู้ทุกอย่างที่อยากรู้แล้ว

นั่นคือสิ่งที่ซูเฉินกำลังคิด

พลังจิตของเขาไม่ได้ทรงพลังเท่ากับคู่ต่อสู้ แต่ด้วยข้อได้เปรียบของเจ้าของร่าง เขาจึงสามารถโจมตีอีกฝ่ายได้อย่างที่ใจเขาปรารถนา

เสียงปะทะกันของสายฟ้าภายในเมฆดำทะมึนที่ม้วนขดเหนือทะเลความรู้อันกว้างใหญ่ดังก้องขึ้น

ซูเฉินราวกับเป็นพระเจ้าของโลกผู้เรียกร้องลมฝนได้ดั่งใจ ทะเลความรู้ของเขาปั่นป่วนบ้าคลั่งอย่างรุนแรงภายใต้การควบคุมของเขา

เผ่าวิญญาณผู้รุกล้ำเข้ามาภายในโลกของซูเฉิน พยายามหนีตายจากการถูกทุบตีเป็นพัลวัน ภายใต้การกระหน่ำจู่โจมของอีกฝ่าย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะล่าถอยจากไปแม้ว่าจะต้องการก็ตาม ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอดทนอย่างหนักเท่านั้น ในขณะที่ตะโกนซ้ำ ๆ ว่า “เป็นไปได้อย่างไร เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร เจ้าเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ จิตวิญญาณของเจ้าจะทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร ?”

“มันยังไม่ทรงพลังพอ หลังจากที่ข้ากลืนจิตวิญญาณของเจ้าไปแล้ว พลังจิตของข้าก็จะเพิ่มขึ้นอีก” ซูเฉินกล่าวอย่าง

พลังงานจิตของเผ่าวิญญาณเป็นยาชูกำลังอย่างดีสำหรับจิตวิญญาณ เป็นเรื่องยากที่อีกฝ่ายจะเต็มใจเข้ามาเป็นเหยื่อด้วยตัวเอง หากซูเฉินกลืนจิตวิญญาณของเผ่าวิญญาณตนนี้ได้สำเร็จ มันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาอย่างมาก ชายหนุ่มกินโอสถปลุกวิญญาณเข้าไปมากเกิน ทำให้ผลของยาค่อย ๆ แย่ลง ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับอาหารเสริมแล้ว

“ไม่ ปล่อยข้าไป ! ข้าจะให้วิธีการประทับตราวิญญาณแก่เจ้า คราวนี้ข้าพูดจริง !” เผ่าวิญญาณตะโกน

“แค่ข้าฆ่าเจ้า ข้าก็ได้มันมาอยู่ดี” ซูเฉินกล่าวด้วยความรังเกียจ

“ไม่นะ เช่นนั้นข้าจะทำลายความทรงจำที่สำคัญที่สุดของข้า !” เขาตะโกนอีกครั้ง

คำพูดของมันทำให้ซูเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง

อันที่จริง แม้ว่าเผ่าวิญญาณนี้ตนนี้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะใช้กลอุบายบางอย่างกับตัวเองและทำลายความรู้อันล้ำค่าบางอย่างก่อนตาย

อย่างไรก็ตามหลังจากครุ่นคิดอีกครั้ง ซูเฉินก็โยนความคิดนี้ทิ้งไป ด้วยความเร็วพอ ๆ กับตอนที่มันผุดขึ้นมา

เขากล่าวว่า “เผ่าวิญญาณมีผู้มากความรู้อยู่มากมายดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้หายากนัก สิ่งที่ข้าหาจากเจ้าไม่ได้ ข้าไปหาจากเผ่าวิญญาณตนอื่นภายหลังก็ยังได้ ทว่าผู้ที่เต็มใจละทิ้งร่างวิญญาณเพื่อยึดครองร่างมนุษย์คงมีไม่มากนัก ตัวตนของเจ้าเปรียบได้ดั่งอาหารอันโอชะ หากข้าพลาดไป ไม่คิดว่ามันน่าเสียดายไปหน่อยหรือ ?”

“ส่วนเรื่องประทับตราวิญญาณ หากเจ้าไม่มีให้ข้า เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ ยังไงเสียตอนนี้ข้าก็ยังต้องติดอยู่ในดินแดนของเผ่าคนเถื่อน ซึ่งตัวข้านั้นสามารถควบคุมคนเถื่อนได้อยู่แล้ว มันคงไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านี้อีก”

“ไม่ !!!” เผ่าวิญญาณกล่าวอย่างร้อนรน “ข้ายังมีความรู้อันล้ำค่าอยู่อีกมาก ข้าสอนวิธีควบคุมวิญญาณให้ได้ … ”

“เผ่าวิญญาณตนอื่นก็ย่อมทำได้”

“ข้าสามารถสอนวิธีการโจมตีด้วยพายุพลังจิตให้เจ้าได้ … ”

“เผ่าวิญญาณตนอื่นก็ย่อมทำได้เช่นกัน”

“ข้าสามารถสอนวิชามายาให้เจ้าได้ … ”

“ข้ารู้จักวิชาพวกนั้นอยู่แล้ว”

“ข้าสามารถสอน … ”

เผ่าวิญญาณตะโกนอย่างสิ้นหวัง ขณะที่พยายามเสนอสิ่งที่เขารู้ให้ซูเฉินทีละอย่าง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาพูดมาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่สมาชิกเผ่าวิญญาณรู้กันดีอยู่แล้ว กระทั่งบางสิ่งเองก็เป็นสิ่งที่ซูเฉินรู้อยู่แล้ว ในเผ่าวิญญาณผู้นี้ก็เสนอเรื่องที่เขาค้นพบมาด้วยตัวเอง ทว่าหลังจากซูเฉินถามคำถามไปสองสามข้อ ชายหนุ่มก็พบว่าการค้นคว้าของอีกฝ่ายไม่ได้ลึกมาก และไม่มีประโยชน์อะไรนัก ดังนั้นซูเฉินจึงโจมตีต่อไป

เผ่าวิญญาณที่ไม่อาจโน้มน้าวฝั่งตรงข้ามด้วยข้อเสนอที่หยิบยกมาได้ รู้ว่าความตายของตนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว และเขาก็ทำได้เพียงตะโกนอย่างโกรธเคือง “ด้วยพลังงานจิตที่เหลืออยู่ของข้า ข้าจะทำลายความทรงจำทั้งหมดซะ เจ้าจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการตายของข้าทั้งนั้น !”

ขณะที่พูด วิญญาณของเขาก็เริ่มส่องแสงอยู่กลางทะเลความรู้ของซูเฉิน

เขาไม่รอการโจมตีของชายหนุ่ม และเตรียมที่จะทำลายตัวเอง

ซูเฉินขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้หยุดอีกฝ่ายจากการทำลายตัวเอง ยังคงกระหน่ำโจมตีต่อไป

เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง สายฟ้าฟาดผ่าลงมาปะทะดวงจิตที่กำลังเปล่งแสงของเผ่าวิญญาณ จนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วนในพริบตา ก่อนกระจายไปทั่วทะเลความรู้ของซูเฉิน

ชิ้นส่วนที่เปล่งประกายเหล่านี้คือเศษวิญญาณที่เหลืออยู่ของเผ่าวิญญาณ

เขาพยายามที่จะทำลายตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่ซูเฉินจะไม่ได้รับอะไรไปจากตนเลย แต่ความพยายามนี้ต้องอาศัยความแข็งแกร่งของตัวเอง หากความแข็งแกร่งของเผ่าวิญญาณตนนี้อยู่ในสามารถสมบูรณ์พร้อม การทำลายตัวเองนี้ก็คงจะเป็นไปตามที่หวัง และซูเฉินก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย

ทว่ามันก็เป็นตามที่เขากล่าวสาปแช่งซูเฉินก่อนหน้านี้ ‘ด้วยพลังงานจิตที่เหลืออยู่ของข้า ข้าจะทำลายความทรงจำทั้งหมดซะ’ เมื่อพลังงานจิตที่เหลืออยู่ของเขามีไม่มากพอ ขีดจำกัดของพลังทำลายก็ไม่อาจลบทุกสิ่งของเขาไปได้ ทำให้คำกล่าวที่ว่าซูเฉิน ‘จะไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ ไปเลย’ จึงผันเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก

แม้ประโยชน์ที่ซูเฉินได้รับจะไม่มาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าไม่ได้รับอะไรเลย

ที่จริงแล้วจะกล่าวว่าเขายังคงได้รับมาอยู่หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่ผิดนัก

ซูเฉินดูดกลืนเศษเสี้ยวที่ส่องประกายระยิบระยับทั้งหมดเข้าไปในทะเลความรู้ของเขา

ประกายเหล่านั้นได้รวมทั้งความรู้ความทรงจำ และพลังงานจิตจำนวนมากของเผ่าวิญญาณเอาไว้

“ฟู่ว !”

หลังจากดูดซับและย่อยชิ้นส่วนสุดท้ายเรียบร้อยเสร็จแล้ว ซูเฉินก็ลืมตาขึ้น

การต่อสู้ระหว่างจิตวิญญาณได้สิ้นสุดลงแล้ว และพลังจิตของซูเฉินก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก

เมื่อไม่นับรวมผลเสริมจากอุปกรณ์ ซูเฉินพบว่าพลังจิตของเขาในตอนนี้มีมากกว่า 1,000 หน่วยไปแล้ว