ภาคที่ 4 บทที่ 134 พลังวิญญาณ (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 134 พลังวิญญาณ (3)

ช่างเป็นการพัฒนาที่น่าตกใจจริง ๆ ซูเฉินคิดกับตัวเอง

ทั้งหมดที่เขาทำมีเพียงแค่ดูดซับพลังงานจิตที่หลงเหลืออยู่จากวิญญาณที่แตกสลายของเผ่าวิญญาณ แต่พลังงานจิตของซูเฉินก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 600 หน่วย ช่างเป็นอะไรที่น่าประทับใจยิ่งนัก !

นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีความรู้ต่าง ๆ ถึงจะน่าเสียดายไปหน่อย เพราะการทำลายตัวเองส่งผลให้ความทรงจำของเขากลายเป็นกระจัดกระจาย ความรู้และข้อมูลส่วนใหญ่เองก็ไม่สมบูรณ์

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สำหรับซูเฉินความทรงจำที่กระจัดกระจายนั่นไม่ใช่ปัญหา ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าตนสามารถเชื่อมต่อเรื่องราวที่ขาดหายไปเองได้ ในทางกลับกันข้อมูลเหล่านี้เกี่ยวกับพลังจิตซะมาก มันจึงช่วยชดเชยจุดอ่อนของเขาอย่างมาก และยังไขข้อสงสัยอีกหลายอย่าง สิ่งต่าง ๆ ที่เขาเคยไม่เข้าใจหรือไม่กระจ่างก็ชัดเจนขึ้นมาในทันใด

จิตสำนึกและร่างกายของเผ่าวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อจิตสำนึกถูกทำลายร่างวิญญาณของพวกมันก็จะหายไปเช่นกัน

หลังจากที่ร่างวิญญาณของเผ่าวิญญาณสลายไป ซูเฉินก็พบหินสีเขียวแปลก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างลึกลับ ในกรงที่เผ่าวิญญาณตนนั้นถูกขังเอาไว้ก่อนหน้านี้

“หือ ?” ชายหนุ่มเดินไปหยิบหิน ‘สีเขียว’ ที่ว่าขึ้นมา เขารู้สึกทันทีว่าพลังจิตของตนกำลังถูกบางสิ่งสกัดกลั่นออกไป

หลังจากที่เขาดูดซับเผ่าวิญญาณและพลังจิตของอีกฝ่ายแล้ว ซูเฉินสัมผัสได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นของเขาอย่างชัดเจนมากขึ้น พลังจิตของเขาก็มาถึงจุดที่สามารถออกจากร่างกายและล่องลอยไปทั่วโลกได้แล้ว

ภายใต้ระบบการฝึกฝนของมนุษย์ นี่คือเรื่องที่จะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นไปถึงด่านผลาญจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตามซูเฉินนั้นคงยังอยู่ที่ด่านทะลวงลมปราณ แต่เป็นเฉพาะพลังจิตของเขาในตอนนี้ที่มีมากกว่ามนุษย์ทั่วไปมากแล้ว

ขณะที่ซูเฉินจับหินประหลาดสีเขียว เขาก็พบว่าพลังจิตเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จิตสำนึกของเขาลอยออกจากร่างกายขึ้นไปในอากาศ ชั่วพริบตาเมืองแสงเหนือทั้งหมดก็อยู่ภายใต้การมองเห็นของเขา

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังบินอยู่ในอากาศ เขาสำรวจสิ่งมีชีวิตนับหมื่นที่อยู่ด้านล่างอย่างใจเย็น เขายังเห็นตัวเองยืนอยู่บนพื้น ยืนถือหินสีเขียวและจ้องมองที่พื้นด้วยความงุนงงอยู่อีกด้วย

หากมีคนตัดคอร่าง ‘เนื้อ’ ของเขาในเวลานี้ ซูเฉินก็สามารถหาร่าง ‘เนื้อ’ ของสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อยึดร่างได้ทันที

นี่คือข้อดีของการมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง

พลังจิตที่แข็งแกร่งจะแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อถึงยามที่ต้องต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาสรรพสิ่งลวงตาที่ทรงพลังขึ้น เขาจะสามารถปลดปล่อยทักษะต้นกำเนิดได้มากมายเพียงแค่คิด ประยุกต์ใช้ทักษะต้นกำเนิดได้หลากหลายขึ้น เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ปกติแล้วมีเพียงผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณเท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่ตอนนี้ตัวเขาที่คงยังอยู่แค่ด่านทะลวงลมปราณก็ทำได้แล้ว ซูเฉินจึงมีความสุขยิ่ง

อาจกล่าวได้ว่าแม้ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารจะเข้ามาโจมตีเขาเดี๋ยวนี้เลย ซูเฉินก็มั่นใจอย่างมากว่าตนสามารถชนะอีกฝ่ายได้

ครู่ต่อมา สติของซูเฉินกลับคืนสู่ร่างกายของเขา และเขาก็เก็บหินสีเขียวในมือไป

เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ตระหนักได้แล้วว่าเผ่าคนเถื่อนกำลังพยายามที่จะทำอะไรอยู่

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้บีบบังคับและดูดซับเผ่าวิญญาณเหล่านี้ เพื่อสร้างหินสีเขียวประหลาดนี่

หินสีเขียวเหล่านี้น่าจะเป็นวัตถุที่สามารถเพิ่มพลังจิตใช้แก่ผู้ครอง เผ่าคนเถื่อนนั้นไร้ซึ่งความสามารถในด้านนี้โดยกำเนิด ดังนั้นนี่คงเป็นวิธีหนึ่งที่พวกเขาคิดขึ้นเพื่อชดเชยข้อบกพร่องที่ว่ามา

อย่างไรก็ตาม วิธีการและต้นทุนในการสร้างผลึกวิญญาณเหล่านี้นับว่าโหดร้ายยิ่ง มันจำเป็นต้องสังเวยชีวิตจำนวนมาก เพียงแค่เพื่อสร้างหินก้อนเล็ก ๆ ก้อนนี้ขึ้นมา ไม่รู้ว่าต้องสละไปมากมายกี่ชีวิตแล้ว

ตามการประเมินของซูเฉิน ผลึกวิญญาณเล็กๆ นี้เพียงอย่างเดียวก็เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พลังจิตของเขาได้เป็นพันหน่วยแล้ว

ช่างเป็นของที่น่ากลัวจริง ๆ

ที่ผ่านมาซูเฉินมักจะสนใจแต่ความรู้อยู่เสมอ และไม่ค่อยสนใจทรัพยากรสักเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าทรัพยากรเหล่านั้นจะมีค่าเพียงใด ตราบใดที่พวกมันสามารถซื้อได้ด้วยหินพลังต้นกำเนิดเขาก็ไม่สนใจมัน

แม้แต่สมุนไพรหายากอย่างดอกซากวิญญาณก็สามารถซื้อได้ หากเสนอราคาที่เหมาะสมไป

แต่ผลึกวิญญาณนี้ต่างออกไป จากความทรงจำของเผ่าวิญญาณ ซูเฉินเข้าใจได้ถึงความยากในการสร้างพวกมันดี ไม่เพียงแต่ต้องเสียสละชีวิตจำนวนมากและต้องใช้เผ่าวิญญาณมากมาย แล้วยังมีเงื่อนไขอื่น ๆ ร่วมด้วยอีก

อาทิ หินวิญญาณสวรรค์ที่ถูกใช้เป็นภาชนะเพื่อกักเก็บพลังงานจิต แค่อย่างเดียวก็จัดเป็นทรัพยากรที่หายากแล้ว ชนเผ่าเหมันต์เองก็ใช้ความพยายามพอสมควรเพื่อให้ได้มันมาชิ้นหนึ่ง นอกจากนี้เผ่าวิญญาณที่ซูเฉินจัดการไป ก็ยังจัดเป็นวิญญาณพิเศษที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เมื่อพิจารณาเงื่อนไขทั้งหมดเหล่านี้แล้ว ต่อให้ผ่านไปอีกกี่สิบล้านปี ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะได้รับอะไรที่มีความสามารถดั่งเช่นผลึกวิญญาณนี้ได้อีก

“นับเป็นสมบัติอย่างแท้จริง” ซูเฉินพึมพำ

เหตุผลหลักที่เผ่าคนเถื่อนสร้างผลึกนี้ขึ้นก็เพื่อจัดการกับเผ่าวิญญาณ เนื่องจากที่อยู่อาศัยของชนเผ่านี้ ตั้งอยู่ที่เขตด้านในที่ไม่ได้อยู่ติดกับดินแดนของเผ่ามนุษย์ พวกเขาจึงไม่ได้สู้กันมากนัก ในทางกลับกัน ชนเผ่าเหมันต์มักมีปัญหากับเผ่าวิญญาณอยู่เสมอ

เผ่าวิญญาณมองว่าเผ่าคนเถื่อนเป็นทรัพยากรในการค้นคว้าทดลอง พวกเขามักจับคนเถื่อนจำนวนมากไปเพื่อทำวิจัยทุกปี เพื่อหลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้ พวกชนเผ่าจึงได้พยายามใช้สมองหาทางแก้ไขมัน

ผลึกวิญญาณเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเมื่อใช้สู้กับเผ่าวิญญาณ ผลึกนี้จะให้พลังเผ่าคนเถื่อนมากพอที่จะต่อต้านการโจมตีทางจิตและการถูกควบคุมจากอีกฝ่าย

แต่น่าเสียดาย ก่อนที่มันจะสร้างเสร็จทันใช้งาน ชนเผ่าเหมันต์ก็ถูกกองทัพมนุษย์ซุ่มโจมตีเสียก่อน

ถูกกองทัพมนุษย์ซุ่มโจมตี การใช้สมบัติเช่นนี้เพียงเพื่อหลบหนีจากการควบคุมทางจิต นับว่า ‘สิ้นเปลือง’ มากเกินไป

มันสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้มากกว่านั้นอีกเยอะ

“ซูเฉิน ! ทางเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดอยู่ในภวังค์ เสียงตะโกนเรียกก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเขา

เป็นฉู่อิงหว่าน

ในที่สุดกองทัพกำลังสวรรค์ก็บุกเข้ามาถึงอารามศักดิ์สิทธิ์และเริ่มปล้นสะดมกันอยู่

เสียงเรียกของนางเป็นสิ่งยืนยันให้ซูเฉินได้มั่นใจว่าศัตรูได้พ่ายแพ้แล้ว

หัวหน้าเผ่าสือไต๋มู่เสียชีวิตลงแล้ว หัวหน้านักบวชถูกสังหาร กองทัพกำลังสวรรค์ได้รับชัยชนะ ที่เหลือก็แค่เก็บเกี่ยวรางวัลสงคราม

“ข้าเก็บเกี่ยวมาได้อยู่นิดหน่อย แต่มันก็เหมาะกับข้าดี ส่วนผสมสำหรับทำโทเทมโลหิตสลายน่าจะอยู่ทางนั้น” ซูเฉินกล่าวขณะที่ชี้ไปในทิศทางใกล้เคียง

อาคารที่ถูกชี้เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่คลุมไปด้วยเลือดและมีอักขระแปลก ๆ สลักไว้ทั่ว หากเขาจำไม่ผิด นั่นควรเป็นสถานที่ที่อารามศักดิ์สิทธิ์ใช้สร้างโทเทมขึ้น วัสดุทั้งหมดที่ซูเฉินต้องการควรจะพบได้ที่นั่น

“ไปซะ ! ไปเอาของมีค่ามาให้หมด !” ฉู่อิงหว่านหันกลับไปและตะโกน

ไม่มีความเมตตาหรือความเห็นอกเห็นใจ ผู้คนจำเป็นต้องตาย ของมีค่าจำเป็นต้องถูกยึด ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้แค้นแต่เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้วย

ทหารกลุ่มใหญ่บุกเข้าไปในอาคาร ภายใต้การชี้นำของผู้รู้ทาง พวกเขาพากันรื้อค้นปล้นทรัพยากรอันมีค่าทั้งหมดไปอย่างเกรี้ยวกราด

สมุนไพรนานชนิด แก่นคริสตัลทั้งหลาย เม็ดยา โลหะพิเศษ หนังสือและของอื่น ๆ ของมีค่าที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ทั้งหมดตกยู่ในเป้าหมายการจู่โจมของกองทัพ หลังจากคว้าทุกอย่างไปจนหมดสิ้นแล้ว พวกเขาก็จุดไฟและเผาทุกอย่างเพื่อไม่ให้ศัตรูได้รับอะไรกลับไปเลย

เปลวไฟลุกโชนไปทั่วทั้งเมือง ซูเฉินเดินผ่านเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง พลางคอยชี้บอกทิศทางทหารอย่างต่อเนื่องว่าพวกเขาควรจะปล้นที่ไหนต่อ และที่ไหนที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปสนใจมัน

สายตาของเขาเฉียบคมอย่างเหลือเชื่อ ทุกที่ที่เขาชี้ไปล้วนแล้วแต่มีสิ่งล้ำค่าอยู่

สวนถูกรื้อค้น โถงยาถูกกวาดปล้น และพื้นที่เก็บอักขระโทเทมถูกทำลาย แม้แต่สนามฝึกของอารามศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รอดจากพวกเขา

ในทุกปี อารามศักดิ์สิทธิ์จะได้รับมอบหมายให้ฝึกฝนผู้เชี่ยวชาญพิเศษให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ว่าจะเป็น นักพยากรณ์กระดูก ไร้วิญญาณ ผู้สาปแช่ง บัพติศมาโลหิต ผู้ฝึกสัตว์อสูร ฯลฯ

ความเชี่ยวชาญพิเศษเหล่านี้ทั้งหมดล้วนได้รับการฝึกฝนจากสนามฝึกของอารามศักดิ์สิทธิ์ แต่ซูเฉินกับคนอื่น ๆ กลับไม่ได้สนใจและปล้นทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด

ปล้นศัตรูเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง… เป็นกฎข้อเดียวในสนามรบที่ไม่มีวันถูกมองข้าม !!!

การปล้นครั้งนี้กินเวลาไป 2 ชั่วยามครึ่ง ไม่ได้มีแค่อารามศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ถูกกวาดล้างจนสิ้น บรรดาบ้าน คฤหาสน์ของเหล่าตระกูลที่ร่ำรวยทั้งหลายเองก็โดนเช่นกัน

อาหาร ทรัพยากร ความมั่งคั่งทุกชนิด ทุกสิ่งทุกอย่างถูกคว้าเอาไปหมด โดยไม่มีอะไรมาขวางพวกเขาได้เลยแม้กระทั่งเรื่องของที่จัดเก็บ เพราะซูเฉินนำแหวนต้นกำเนิดที่สามารถขนย้ายทรัพยากรได้ครึ่งค่อนแคว้นมากับเขาด้วย

หลังจากกวาดบ้านของเหล่าชนชั้นสูงเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาปล้นบ้านของชนชั้นกลาง ทหารบางคนก็เริ่มระบายออก ด้วยการทำลายอาคารต่าง ๆ

แต่แม่ทัพของกองทัพกำลังสวรรค์ก็ไม่ได้พยายามที่จะหยุดพวกเขา

ทหารเหล่านี้ถูกคนเถื่อนกดขี่มานานเกินไป พวกเขาจำเป็นต้องระบายความกดดันที่เกิดขึ้นออกบ้าง ตราบเท่าที่พวกเขายังคงรักษาเวลามันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร

“หมดเวลาแล้ว ถอยทัพ !”

ในที่สุดสัญญาณการถอยทัพก็ดังขึ้น

ไม่มีศัตรูคนใดจะนั่งดูคู่ต่อสู้บุกเข้ามาในอาณาเขตของตนโดยไม่ตอบโต้ ดังนั้นความได้เปรียบจากการจู่โจมอย่างกะทันหันจึงมีเวลาจำกัด รู้ว่าเมื่อไรควรจะบุกและรู้ว่าเมื่อไรควรจะถอยนับเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน

เหล่าทหารต่างก็พากันคร่ำครวญอย่างไม่พอใจ

ช่วงเวลาดี ๆ มักสั้นเสมอ เวลาที่น้อยเกินไปทำให้พวกเขาไม่สามารถปล้นได้มากเท่าที่พวกเขาต้องการ

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจ แต่เหล่าทหารก็ทำการเก็บกวาดและล่าถอยกลับกันอย่างรวดเร็ว

หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า กลบฝังเปลวเพลิงและบาปที่ชั่วร้ายทั้งหมดที่นั่นเอาไว้เบื้องล่าง