“แล้วก็” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงดังขึ้น “อย่าคิดว่าตัวเองมีความบกพร่องทางกายแล้วจะรู้สึกต่ำต้อยกว่าผู้อื่น พวกเจ้าเก็บหอมรอมริบเสียหน่อย รอให้ผ่านไปปีครึ่ง ก็สามารถหาหญิงแต่งงานและมีครอบครัวได้แล้ว มิใช่เป็นคนที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีการงานอีกต่อไป”
พวกนายทหารผ่านศึกได้ยินคำพูดของนางจบ นัยน์ตาก็เผยประกายแห่งความหวัง นายทหารร่างสูงใหญ่ที่ขาหักพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “นายหญิง ไม่เช่นนั้น เงินยี่สิบตำลึงนี้ไม่ต้องมอบให้แก่พวกเรา แต่เก็บเอาไว้ที่ท่าน แล้วเมื่อไรที่พวกเราต้องการ ค่อยเบิกจากท่าน”
พอเขาพูด ทุกคนก็คล้อยตามกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีมองกันและกัน เมิ่งฉีพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรับปาก “ก็ได้ พวกเจ้าคนไหนที่ต้องการตอนนี้ก็มารับได้ ส่วนใครที่ยังไม่ต้องการก็เก็บไว้ที่ข้าก่อน”
นายทหารผ่านศึกเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ไม่มีครอบครัว ค่าแรงทุกเดือนก็ใช้ไม่ได้หมด จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงินตำลึงเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการรับไป
เมื่อหลายร้อยคนนี้รับค่าแรงไปแล้ว แต่ละคนก็แยกย้ายกลับกันไป เหลือแต่เพียงพวกทหารรักษาการณ์ เสี่ยวซือ และหวงฝู่อวี้
ค่าแรงของทหารรักษาการณ์คือทุกคนได้รับห้าตำลึง กินและอาศัยอยู่ในจวน อีกทั้งแต่ละฤดูจะมีทำเสื้อผ้าให้สองชุด ดังนั้นจึงไม่มีรางวัลให้แก่พวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวให้แค่เงินค่าแรงแก่พวกเขา คนต่อไปคือเสี่ยวซือ เมิ่งเชี่ยวโยวหยิบออกมาสิบตำลึง ส่งให้เขา และพูดว่า “เงินห้าตำลึงคือค่าแรงของเจ้า อีกห้าตำลึงคือรางวัลของเจ้า นอกจากนี้เนื้อและผ้า เจ้าก็รับไปชุดหนึ่ง”
เสี่ยวซือไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นอีกห้าตำลึง จึงตื่นเต้นอย่างมาก และกล่าวขอบคุณไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือปราม “ไม่ต้องขอบคุณหรอก เจ้าทุ่มเททั้งกายและใจให้แก่โรงงาน นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ”
เมื่อมอบเงินให้กับคนทุกคนเสร็จ ก็เหลือแต่เพียงหวงฝู่อวี้ที่เดินมายังโต๊ะด้านหน้า มองเมิ่งเชี่ยนโยวตาปริบๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินสิบตำลึงวางไว้บนโต๊ะ พูดว่า “ตามกฎของพวกข้า ค่าแรงของท่านที่กำหนดไว้คือสิบตำลึง ตอนนี้ แม้จะยังไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่เห็นแก่ที่ท่านทุ่มเทกายใจ จึงให้ท่านสิบตำลึงก็แล้วกัน”
เงินสิบตำลึงไม่เพียงพอสำหรับของที่ตัวเองจะซื้อ หวงฝู่อวี้จึงลองต่อรองดู “แม่นางเมิ่ง เงินสิบตำลึงนั้นออกจะน้อยเกินไป เจ้าลองดูว่าสามารถให้ข้ามากขึ้นได้ไหม ตรุษจีนแล้ว ข้าก็อยากซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้ท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ใหญ่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าบึ้งตึง “ที่นี่คือโรงงาน ค่าแรงของทุกคนล้วนกำหนดไว้อย่างชัดเจน ถ้าหากว่าให้ค่าแรงท่านมากกว่าคนอื่นอย่างส่งๆ แล้วคนอื่นจะทำอย่างไร และถ้าหากว่าจะให้ค่าแรงเพิ่มขึ้น ทุกคนก็ต้องได้เท่ากับท่านเหมือนกันหมด โรงงานนี้ของข้าก็ไม่ต้องเป็นทำอะไรแล้ว”
หวงฝู่อวี้กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างมาก เห็นนางมีสีหน้าบึ้งตึง ก็รีบโบกมือปฏิเสธ “ข้าไม่ขอเพิ่มแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ”
เมิ่งฉีเกือบจะหัวเราะพรืดออกมา แต่กลัวว่าตัวเองจะต้องแสดงสีหน้าที่แทบจะทนหัวเราะออกมาไม่ไหวให้หวงฝู่อวี้เห็น จึงรีบก้มหัวลง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ใช้แรงอดกลั้นอย่างมากถึงได้ไม่มีหลุดเสียงหัวเราะออกมา
หวงฝู่อวี้หันตัวกลับ อยากจะไปหยิบเนื้อและวัสดุผ้า เมิ่งเชี่ยนโยวร้องหยุดเขาเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน!”
หวงฝู่อวี้หยุดฝีเท้าลง หันศีรษะกลับไปมองนางอย่างฉงนงงงวย
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “จวนอ๋องไม่ขาดแคลนเนื้อสองจินกับผ้าเช่นนี้ ท่านไม่ต้องหยิบไปหรอก”
หวงฝู่อวี้เบิกตาโพล่งทันที ขณะที่จะทักท้วง เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยิบตั๋วแลกเงินหลายใบออกจากแขนเสื้อส่งให้เขา “นี่คือตั๋วแลกเงินจำนวนห้าร้อยตำลึง ให้ท่านเอาไปซื้อของขวัญ แต่บอกไว้ก่อนว่า นี่คือเงินที่ข้าให้ท่านยืม ต่อไปจะค่อยๆ หักจากค่าแรงของท่าน”
นัยน์ตาของหวงฝู่อวี้เปล่งประกายด้วยความทึ่งและยินดีโดยพลัน เขารีบรับมาและกล่าวขอบคุณอย่างไม่ขาดสาย “ขอบคุณแม่นางเมิ่ง ขอบคุณแม่นางเมิ่ง เจ้าวางใจเถอะ ต่อไปข้าจะยิ่งลงแรงทำงาน จะไม่ทำให้เจ้ากับพี่ใหญ่ผิดหวังอย่างแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและโบกมือปัด
หวงฝู่อวี้เดินถือเงินออกไปข้างนอกด้วยความสุขใจ เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หยุดลง และหันหลังกลับไปตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว ลองถามของระมัดระวัง “ข้ายังอยากจะรับเนื้อสองจินกับผ้าไปด้วย”
เมิ่งฉีทนไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะเสียงดังออกมา
มุมปากของเมิ่งเชี่ยนโยวปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้า
หวงฝู่อวี้หันหลังกลับอย่างดีใจ ไปหยิบเนื้อและวัสดุผ้าที่อยู่ด้านข้าง แล้วก้าวเดินออกไปจากประตูโรงงานอย่างรวดเร็ว
เมิ่งฉีหัวเราะจนยืนตัวตรงไม่ได้
เหล่าทหารรักษาการณ์และเสี่ยวซือก็หัวเราะอย่างอดไม่ไหวเหมือนกัน
หัวเราะเสร็จ ก็เก็บข้าวของให้เรียบร้อย เมิ่งฉีและเสี่ยวซือไปเดินสำรวจภายในโรงงานรอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าของทั้งหมดได้เก็บอย่างเรียบร้อย ก็ลงกลอนประตูโรงงาน แล้วเอากุญแจไว้กับเสี่ยวซื่อ พร้อมกลับบ้านที่หนานเฉิง
ตระเตรียมเก็บข้าวของเสร็จแล้ว วันต่อมาก็กลับบ้านเกิด
หวงฝู่อี้เซวียนรออยู่ในจวนแล้ว พอได้ยินพวกเขากลับมา ก็เดินออกมาจากห้อง พูดว่า “ข้าซื้อของขวัญให้ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ และยังมีพี่ใหญ่กับซ้อ วางอยู่บนรถม้าหลังเรือนนั่น วันพรุ่งนี้ที่พวกเจ้ากลับถึงบ้าน ก็นำติดมือกลับไปด้วยล่ะ”
เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถามเขาว่าคืออะไร และพยักหน้า
พรุ่งนี้ต้องกลับบ้านแล้ว นึกขึ้นว่าพวกเขาสองคนต้องมีเรื่องพูดมากมายเป็นแน่ เมิ่งฉีก็พูดหาข้ออ้างว่า “ของๆ ข้ายังไม่ได้เก็บให้เรียบร้อยเลย ข้าขอกลับไปเก็บสักหน่อย”
ทั้งสองคนพยักหน้า
เมิ่งฉีหันตัวจากไป เพิ่งจะเดินออกไปไม่กี่ก้าว ก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงหยุดก้าวเดินไว้ แล้วหันมากำชับพวกเขา “ไม่อนุญาตให้ทำอะไรเกินเลยนะ”
ใบหน้าเมิ่งเชี่ยวโยวแดงเรื่อ
หวงฝู่อี้เซวียนรับคำ “เข้าใจแล้วขอรับ พี่รอง”
เมิ่งฉีถึงกลับเข้าไปภายในเรือนของตัวเองอย่างสบายใจ
หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปในห้องเช่นกัน
ชิงหลวนกับจูหลีทั้งคู่ก็ยืนห่างๆ อยู่ที่ประตูนอกเรือน
วันรุ่งขึ้นก็ต้องแยกจากกันแล้ว คิดแล้วก็มีตั้งยี่สิบกว่าวันที่จะไม่ได้เจอหน้า ยังไม่ทันได้จาก หวงฝู่อี้เซวียนก็เริ่มคิดถึงเสียแล้ว พอเข้าไปในห้องก็อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ วางศีรษะลงที่คอนาง พูดเสียงเบา “ทำอย่างไรดี ตอนนี้ข้าเริ่มคิดถึงเจ้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา พูดว่า “ตอนนี้ข้าก็อยู่ในอ้อมอกของท่านอยู่มิใช่หรือ”
ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนเป็นประกาย ถาม “เจ้ากำลังโน้มนำให้ข้าทำตามใจปรารถนาอยู่หรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปเคาะหน้าผากเขา “หลังจากฉลองตรุษจีนแล้วถ้ายังคิดอยากจะเจอข้า ก็อย่าได้คิดฟุ้งซ่าน นิสัยของพี่รองเจ้าก็รู้นิ เขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น”
หวงฝู่อี้เซวียนยอมแพ้ แนบศีรษะชิดที่หน้าผากของนาง ถอดถอนหายใจอย่างโศกเศร้า “แต่ว่าข้าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีกตั้งยี่สิบกว่าวัน”
“ยี่สิบกว่าวันแค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว หากที่บ้านไม่มีอะไร ข้าก็กลับมาโดยเร็ว”
น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนซึมลง “เพราะข้าคือซื่อจื่อ งานเลี้ยงกลางคืนในพระราชวังทุกปีไม่อาจขาดข้าได้ มิเช่นนั้นข้าก็อยากกลับไปบ้านของท่านพ่อท่านแม่ด้วยกันกับเจ้าจริงๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนถอนหายใจเบาๆ “หลายปีก่อนไม่กล้าติดต่อกับที่บ้าน เพราะกลัวว่าจะสร้างความเดือดร้อนที่ไม่จำเป็นให้แก่ที่นั่น ตอนนี้สามารถติดต่อได้แล้ว กลับมีสถานะซื่อจื่อเป็นเหตุให้ไม่อาจกลับบ้านไปฉลองตรุษจีนเป็นเพื่อนพวกเจ้า จึงทำได้แต่เพียงซื้อของเล็กๆ น้อยๆ แสดงน้ำใจของข้าให้คนในบ้าน” พูดจบ ก็หยุดชั่วครู่ แล้วพูดต่อว่า “หลังจากเจ้ากลับไป ท่านพ่อท่านแม่ต้องถามถึงเรื่องงานแต่งงานของพวกเรา เจ้าก็บอกพวกเขาว่า ไม่เกินสิ้นปีหน้าเป็นอย่างช้า พวกเราต้องจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน”
“ไม่ต้อง ข้าไม่รีบ รอสักหนึ่งหรือสองปีก็ไม่เดือดร้อนอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบเขา
นัยน์ตาของหวงฝู่อี้เซวียนส่องประกายขึ้น และถือโอกาสจูบลงที่ริมฝีปากนางเบาๆ “เจ้าไม่รีบ แต่ข้ารีบก็แล้วกัน ปีหน้าข้าก็อายุสิบหกปีแล้ว เห็นเจ้าทุกวัน แต่กลืนกินเจ้าไม่ได้ ในใจของข้าเป็นทุกข์เสียเหลือเกิน”
คำพูดเป็นนัยที่กล่าวออกมาอย่างเปิดเผยนี้ ทำให้สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงก่ำ หวงฝู่อี้เซวียนเห็นแล้ว ใจก็เต้นแรง มือออกแรงดึงให้เมิ่งเชี่ยนโยวขยับเข้ามาใกล้ตัวเองยิ่งขึ้น และริมฝีปากก็จูบตามด้วย
ทั้งสองคนอยู่ในห้องด้วยกันตลอดจนถึงเวลาอาหารเย็น เมิ่งฉีส่งคนไปเรียกพวกเขามารับประทานอาหาร ทั้งสองคนถึงจะเดินออกมาจากห้อง ไปที่ห้องอาหาร เมิ่งฉีรออยู่ภายในห้องอาหารแล้ว เห็นริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยวบวมแดงเพียงเล็กน้อย จึงไม่ได้พูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนหยิบป้ายห้อยเอววางไว้ตรงหน้าเมิ่งฉี พูดว่า “พี่รอง นี่คือป้ายห้อยเอวของข้า พอใกล้ถึงสิ้นปีแล้ว หนทางจะวุ่นวาย พวกเจ้าอย่าได้ไปพักแรมที่ไหนสุ่มสี่สุ่มห้า ไปพักอาศัยในที่พักสำหรับข้าราชการจะปลอดภัยยิ่งกว่า”
เมิ่งฉีมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “รับไว้เถิด พี่รอง กันไว้ดีกว่าแก้”
เมิ่งฉีเก็บป้ายห้อยเอวเอาไว้
รับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจำต้องแยกจากด้วยความอาลัยอาวรณ์