TB:บทที่118 สมาคมแลกเปลี่ยนทางการแพททย์ (5)
“เปล่า ผมไม่ได้พูดแบบนั้น” ซาโนะ กังฟู รีบพูดขึ้นมาทันที
ถ้าเฉินหลงไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นก่อนหน้านี้ เขาก็คงไม่กล้าที่จะพูดหรอก แต่เมื่อเฉินหลงได้ปรากฏตัวขึ้นและสามารถรักษาโรคหอบหืดได้ในขณะที่ในทางการแพทย์แผนตะวันตกยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ต่อให้เฉินหลงจะให้ความมั่นใจซาโนะ กังฟู 100% แต่เขาก็คงไม่กล้าที่จะพูดขึ้นมาหรอก
“ถ้าไม่ได้พูดแบบนั้น ก็ปล่อยให้มิสเตอร์มิลเลอร์พูดสิ แค่ให้เขาพูดเพราะยังไงเขาก็ไม่เป็นตัวแทนของแพทย์แผนปัจจุบันอยู่แล้วใช่ไหมละ?” เมื่อครู่มิลเลอร์ได้พูดดูถูกแพทย์แผนจีนอย่างจองหอง ตอนนี้ฮั่วหมิงเหรินจึงอยากจะฉีกหน้าเขา
หลังจากที่ได้ยินฮั่วหมิงเหรินพูดดังนั้น ซาโนะกังฟูจึงไม่รู้จะตอบไปว่ายังไง เขาทำได้เพียงมองทอมสันที่เป็นหัวหน้าการประชุมในครั้งนี้
“มิสเตอร์ฮั่ว สิ่งที่มิสเตอร์มิลเลอร์พูดไปเมื่อกี้นั้นผิดจริง ให้ผมขอให้เขาขอโทษคุณไหม?” ทอมสันเป็นชายผมบลอนด์ร่างสูง ซึ่งในตอนที่เขายังหนุ่มถือได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ผิวของเขาได้เหี่ยวย่นคล้ายกับพุดดิ้งเพราะตอนนี้เขามีอายุมากกว่า 60 ปีแล้ว
ในตอนนี้ เฉินหลงยังไม่ได้พูดอะไร แต่ไม่ช้าก็พูดขึ้นอย่างเหยียดหยันว่า “ถ้าคำขอโทษมันเป็นประโยชน์ แล้วจะมีตำรวจไว้ทำไมกัน? ตอนนี้ไม่ว่ามิสเตอร์มิลเลอร์จะทำตามที่เขาพูดไหม ผมไม่คิดว่าจำเป็นที่จะต้องประชุมแลกเปลี่ยนต่อไป”
“ใช่ เสี่ยวเฉินพูกถูก ถ้ามิสเตอร์มิลเลอร์ไม่ทำตามที่เขาพูด การประชุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะดำเนินต่อไปไม่ได้ สุดท้ายแล้วเฉินหลงก็พิสูจน์ได้แล้วว่าการแพทย์แผนจีนแห่งราชวงศ์จีนที่ยิ่งใหญ่นั้นดีกว่าการแพทย์แผนปัจจุบัน” ฮั่วหมิงเหรินพูดขึ้นมาทันที ชาวต่างชาติพวกนี้ไม่ได้ดีพอที่จะมาที่นี่ ฮั่วหมิงเหรินจึงไม่อยากจะทำตัวสุภาพกับพวกเขาอีกแล้ว
“ใช่ ใช่ ทำในสิ่งที่พูดไว้หรือจะยุติการประชุมแลกเปลี่ยนนี้” “ใช่”
“ใช่”
เมื่อฮั่วหมิงเหรินเปิดปากพูด หมอแพทย์แผนจีนที่เหลือก็ต่างออกมาพูดตาม
เมื่อพวกเขาเห็นฮั่วหมิงเหรินทำเช่นนั้ก็ต่างเปลี่ยนท่าทีไปในทันทีและตอนนี้มันทำให้ทอมสันก็ปวดหัวไปด้วย คำพูดของเฉินหลงเป็นเหมือนกับกองทัพที่จะมาโจมตีทอมสัน ครั้งนี้เขาทำงานหนักเพื่อที่จะทำให้ประเทศจีนนั้นเสียหน้า แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าหลังจบการแข่งขันพวกเราจะพ่ายแพ้เสียเอง ถ้ายุติการประชุมลงมันจะทำให้พวกเขาต้องเสียหน้าเองและทอมสันก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นด้วย เขามาที่นี่เพื่อมาสร้างชื่อเสียง เขาคงเห็นแก่มิลเลอร์ไม่ได้ เขาได้พูดสองสามคำอย่างสุภาพและนั้นมันทำให้มิลเลอร์หน้าเสียขึ้นไปอีก
ครั้งนี้ยาเฉพาะทางโรคหอบหืดเดิมทีถูกเตรียมไว้อย่างพิถีพิถันจากมิลเลอร์ เมื่อเขาได้พูดจาโอ้อวดไว้เยอะ เขาต้องเจอกับผลที่ร้ายแรงของมัน และเพื่อนของเขาก็ไม่ได้มีความเห็นที่ต่างออกไป แต่ตอนนี้เขาต้องปล่อยให้ตัวเองรับผลซึ่งในใจของมิลเลอร์ก็รู้สึกเสียใจ
ถึงแม้ว่ามิลเลอร์จะไม่เต็มใจทำสิ่งที่เขาได้พูดไว้ก่อนหน้านั้น แต่ด้วยคำพูดของทอมสันเขาย่อมต้องทำให้มันจบ หลังจากนั้นเขาหมอสูงวัยชาวอเมริกาก็ยังคงต้องทำตามในสิ่งที่พูด
“การแพทย์แผนปัจจุบันที่ผมได้เรียนรู้มานั้นมันไร้ประโยชน์จนไม่สามารถเทียบได้กับการแพทย์แผนจีนของประเทศจีนได้” มิลเลอร์ต้องบังคับตัวเองฝืนพูดต่อหน้าสาธารณะ
“ครั้งนี้ ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่าทักษะการแพทย์ของจีนแผ่นดินใหญ่นั้นประวัติมายาวนานกว่าพันปีและความน่าอัศจรรย์ของการแพทย์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกอย่างคุณจะมาดูถูกได้” เฉินหลงมองมิลเลอร์และพูดกับเขาอย่างเยือกเย็น
“มิสเตอร์ฮั่ว ในเมื่อมิสเตอร์มิลเลอ์ได้ทำตามที่เขาพูดแล้ว พวกเราประชุมกันต่อเลยได้ไหมครับ?” ครั้งนี้เป็นทอมสันที่มาพูดกับฮั่วหมิงเหรินด้วยตัวเอง ในความคิดของเขา ฮั่วหมิงเหริน ยังคงที่มีวาทศิลป์มากที่สุดท่ามกลางแพทย์ในประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ฮั่วหมิงเหรินก็ไม่ได้ตอบกลับไปทันทีแต่กลับมองไปที่เฉินหลงแทน หลังจากที่ได้เห็นทักษะการฝั่งเข็มของเฉินหลง ฮั่วหมิงเหรินก็รู้ว่าเขาจะต้องทำตามเฉินหลงเท่านั้น เฉินหลงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย
“โอเค ประชุมต่อได้เลยครับ” เมื่อฮั่วหมิงเหรินเห็นเฉินหลงพยักหน้าเขาก็รีบตอบตกลงทันที ตอนนี้เขามีความมั่นใจมาก
เวลานี้ทอมสันได้บอกให้คนของเขาพาผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจสองคนมา ผู้ป่วยสองคนนี้มีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น ทั้งสองคนเป็นผู้หญิงและสวยมากด้วย แต่อาจเป็นเพราะโรคของพวกเธอทำให้หน้าทั้งสองซีดเผือดและนั้นก็ยิ้มเพิ่มความน่าสงสารเข้าไปอีก
“ทั้งสองคนนี้เป็นผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด พวกเขาได้รับการผ่าตัดตั้งแต่เด็กๆ แต่ไม่นานมานี้อาการก็กลับมากำเริบจนไม่สามารถควบคุมได้ พวกเราได้คิดค้นยาเพื่อที่จะยับยั้งโรค หลังจากที่รับประทานยาไป พวกเราก็สามารถควบคุมไม่ให้อาการกลับมากำเริบอีกครั้งได้ ผมสงสัยว่าการฝั่งเข็มและการรมยาของคุณจะสามารถทำได้รึเปล่า? ” ทอมสันพูด
การประชุมแลกเปลี่ยนเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในตาราง ดังนั้นงานจึงดำเนินไปด้วยความแปลกใจของหลายคน “ควบคุมหรอ? ผมว่ามันจะดูถูกทักษะการฝั่งเข็มและการรมยาของประเทศจีนที่ยิ่งใหญ่ ถ้าผมไม่สามารถรักษาเธอได้ แล้วจะแสดงทักษะทางการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ของจีนแผ่นดินได้อย่างเล่า?”เฉินหลงพูดแกมดูถูก
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฉินหลง ใจก็ทอมสันก็กระตุกวูบทันทีและพูดว่า “โอเค ถ้าคุณสามารถรักษาโรคหัวใจของพวกเธอได้ งั้นการแข่งขันครั้งสุดท้ายนี้จะไม่เอามาเปรียบเทียบกับของผมแล้วพวกเราก็จะขอโทษคุณกับสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านั้นด้วย” ท่าทางมั่นใจของเฉินหลงมันทำให้ทอมสันรู้สึกได้ทันทีว่าการมาที่ประเทศจีนเป็นสิ่งที่ผิดและเพื่อที่จะไม่ให้เหตุการณ์แย่ลงไปกว่านี้ เขาจึงต้องหาทางออกให้ด้วยเองด้วย
หลังจากมองดูไปที่ทอมสัน เฉินหลงก็บอกให้หญิงสาวทั้งสาวนอนที่เตียงผู้ป่วยข้างกันและจากนั้นเขาก็เริ่มรักษาพวกเธอทั้งสอง
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เฉินหลงได้ถอนเข็มออกจากร่างทั้งสองสาว
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างในหัวใจบางส่วน ก๊าซยานั้นได้เขาไปรักษาซ่อมแซมตราบเท่าที่จะทำได้
“เอาละ ตอนนี้คุณสามารถมาตรวจสอบได้แล้วครับ” หลังจากที่ฝั่งเข็มเสร็จแล้วเฉินหลงก็พูดกับทอมสันที่ได้เตรียมพร้อมที่จะตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฉินหลง ทอมสันและคนของเขาก็ได้รีบหยิบเครื่องมือขึ้นมาตรวจสอบทั้งสองสาวทันที แน่นอนว่าผลการตรวจสุดท้ายของหญิงสาวทั้งสองระบุว่าโรคของพวกเธอทั้งสองนั้นได้ถูกรักษาจนหายขาดแล้ว ถึงแม้ว่าทอมสันจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อเห็นผลการตรวจสอบแล้วว่าหัวใจของพวกเธอทั้งสองกลับมาเป็นแบบเดียวกับคนปกติแล้วซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับทอมสันจริงๆ ในเวลาเดียวกัน ความน่าเชื่อถือของการฝั่งเข็มและการรมยาของประเทศจีนนั้นได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นอย่างมากในความคิดของเขา
หญิงสาวทั้งสองเมื่อได้ยินว่าโรคของพวกเขาได้ถูกรักษาโดยหนุ่มหล่อที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา นอกจากนี้ร่างกายของพวกเธอก็ไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายเท่านี้มาก่อน ดังนั้นพวกเธอจึงเดินมาหาเฉินหลง กอดเขาและจูบแก้มเขาด้วยความตื่นเต้น
เมื่อได้เจอกับเหตุการณ์แบบนี้ ผู้คนที่มองดูอยู่ก็อดที่จะปรบมือให้เฉินหลงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ตอนที่ลู่เซียงเห็นว่าเฉินหลงโดนผูหญิงกอดและโดนบังคับจูบ เธอก็รู้สึกข่มขืนอยู่ในใจขึ้นมาทันที เธอรู้สึกราวกับว่าของของเธอกำลังจะถูกคนอื่นแย่งไป
“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมฉันต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย? เกิดอะไรขึ้นกับฉัน? นี่มันไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ฉันเลย ฉันควรจะดีใจสิ. ” เมื่อพบว่าตัวเองมีอาการผิดปกติ ลู่เซียงก็เริ่มหาข้ออ้างมาโทษตัวเอง