ตอนที่ 109-2 สะกดรอยตามข้า? ช่างอาจหาญนัก!

จำนนรักชายาตัวร้าย

ถึงแม้ว่าอูเค่อตงจะคาดหวังให้นางแต่งงานกับซย่าโหวฉิงเทียน เพราะเขาเป็นถึงจอมเทวา วรยุทธ์ล้ำเลิศเหนือใคร แต่อูลู่ลู่กลับมิได้คิดเช่นนั้น

 

 

นางจะต้องแต่งงานทั้งที แล้วเพียงพระชายาจะมีความหมายอะไร

 

 

จะเป็นทั้งทีก็ต้องเป็นฮองเฮาไปเลย!

 

 

นางรู้มาว่าฮองเฮาของฮ่องเต้แห่งต้าโจว ซย่าโหวจวินอวี่สิ้นพระชนม์ไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นจุดประสงค์ของนางก็คือเป็นฮองเฮาแห่งต้าโจว

 

 

“หากเรื่องเล็กน้อยยังไม่รู้จักอดทนจะทำให้เสียการใหญ่ ตอนนี้พวกเราอยู่บนแผ่นดินแห่งจักรต้าโจว! อีกอย่างซย่าโหวฉิงเทียนคือน้องชายที่ฮ่องเต้แห่งต้าโจวทรงโปรดปรานที่สุด แล้วองค์หญิงทรงคิดหรือว่าเขาจะลงโทษซย่าโหวฉิงเทียนเพียงเพราะเรื่องแค่นี้”

 

 

มองดูใบหน้างดงามที่แสนเย่อหยิ่งของอูลู่ลู่แล้ว ตี้อู่เฉินก็แสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา

 

 

หญิงที่ทั้งงดงาม เย็นชาและเย่อหยิ่ง สามารถดึงดูดผู้ชายได้ชะงัดนัก

 

 

ในสายตาเขา ขอเพียงหญิงผู้นั้นมีรูปโฉมที่ชวนให้หลงใหลและเรือนร่างที่สมบูรณ์พูนพร้อม เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ชายมีความสุขได้แล้ว

 

 

ดังนั้นสติปัญญาทั้งหลาย พวกนางไม่จำเป็นต้องมี

 

 

“ท่านราชครู ด้วยวรยุทธ์ของท่าน ไม่จำเป็นต้องอดทนอดกลั้นกับพวกเขาด้วยซ้ำไป!”

 

 

อูลู่ลู่คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าราชครูจะออกหน้าสั่งสอนซย่าโหวฉิงเทียนให้หนักสักครั้ง จะให้ดีควรถลกหนังเจ้าสุนัขสีดำตัวยักษ์นั่นแล้วนำมาตุ๋นเสีย จึงจะสามารถสลายความแค้นในหัวใจของนางลงได้

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนคือจอมเทวา แล้วอย่างไรเล่า!

 

 

ตอนนี้แคว้นเสวี่ยมีราชาโอสถอยู่ทั้งคน!

 

 

อีกอย่าง อูเค่อตงแอบเปิดเผยกับอูลู่ลู่อย่างลับๆ ว่า องครักษ์สองคนข้างกายของราชครู อาจจะเป็นจอมเทวาเช่นกัน!

 

 

แคว้นเสวี่ยมีทั้งราชาโอสถและจอมเทวาสองคน จึงมิต้องเกรงกลัวต้าโจวเลยแม้แต่น้อย!

 

 

ตี้อู่เฉินล่วงรู้ถึงความคิดของอูลู่ลู่ดี ทว่าเขาจะมิยอมออกหน้าแทนนางเป็นแน่!

 

 

เขาเดินทางมาในครั้งนี้มีเรื่องสำคัญต้องทำ แล้วจะให้แผนการทั้งหมดพังเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวได้อย่างไรกัน

 

 

“องค์หญิง จอมยุทธ์สิบปีแก้แค้นยังไม่สาย แล้วพระองค์จะต้องรีบร้อนไปทำไมกัน!”

 

 

ในรถม้า อวี้เฟยเยียนรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแคว้นเสวี่ยจากซย่าโหวฉิงเทียน

 

 

แคว้นตั้งอยู่ทางเหนือสุดของแผ่นดินใหญ่ พวกเขาถือว่าหิมะเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด ดังนั้นจึงใช้ชื่อของหิมะเป็นชื่อของแคว้น

 

 

สภาพอากาศของแคว้นเสวี่ยค่อนไปทางหนาวเย็น ในหนึ่งปีจะมีระยะเวลาราวครึ่งปีที่เป็นฤดูหนาว เมื่อย่างเข้าเดือนสิบ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน สภาพอากาศที่หนาวเหน็บตัดขาดแคว้นเสวี่ยและโลกภายนอกออกจากกัน ดังนั้นชาวเสวี่ยที่ได้ออกมาเผชิญโลกจึงมีจำนวนน้อยยิ่งนัก

 

 

เนื่องด้วยแคว้นเสวี่ยห่างไกลจากใจกลางของแผ่นดินใหญ่ นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นจนถึงบัดนี้แคว้นเสวี่ยจึงแสดงท่าทีเป็นกลางมาโดยตลอด ดังนั้นความสัมพันธ์กับต้าโจวจึงถือว่าสงบราบรื่นดี

 

 

ครั้งนี้แคว้นเสวี่ยเป็นฝ่ายเสนอส่งองค์หญิงมาแต่งงาน จัดเจนว่ามีเจตนาเชื่อมสัมพันธ์อันดีกับต้าโจว

 

 

“คู่หมายขององค์หญิงจากแค้วนเสวี่ยคนนั้นคงมิใช่ท่านใช่ไหม!”

 

 

อวี้เฟยเยียนเหลือบมองใบหน้าอันหล่อเหลาของซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ข้างกายพร้อมกับร้องขึ้น

 

 

น้ำเสียงเจือเอาไว้ด้วยแรงหึงหวงเต็มเปี่ยม หากมิใช่นางพบเจอคณะทูตของแคว้นเสวี่ยระหว่างทางละก็ นางก็คงไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

 

 

โอรสของซย่าโหวจวินอวี่ในตอนนี้มีพระชายากันไปหมดแล้ว ที่ยังว่างอยู่ก็มีซย่าโหวฉิงเทียนเพียงคนเดียว

 

 

ผู้ชายของตนเองถูกคนอื่นคิดถึงคะนึงหาเข้า นางไม่ชอบใจเอาเสียเลย!

 

 

“คิดเหลวไหล!” ซย่าโหวฉิงเทียนแตะที่จมูกของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา

 

 

“พี่ก็มีเจ้าแล้วอย่างไรเล่า!”

 

 

“แล้วหากว่าไม่มีข้าละ อวี้เฟยเยียนรุกถามต่อ

 

 

ใครๆ ต่างก็บอกว่าผู้หญิงที่กำลังมีความรัก สติปัญญาจะเป็นศูนย์ อวี้เฟยเยียนเองก็ไม่มียกเว้น คำพูดที่นางกล่าวออกมาจึงเริ่มโง่เขลาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

 

 

“สายตาของพี่ไม่แย่ขนาดนั้นหรอก!”

 

 

รู้ดีว่าในใจของแมวน้อยกำลังหึงหวง ซย่าโหวฉิงเทียนจึงใช้การปฏิบัติจริงพิสูจน์ตัวเอง

 

 

หลังจากรสจูบที่เร่าร้อนลึกซึ้งผ่านไป อวี้เฟยเยียนถึงกับมึนงง

 

 

“แต่ว่าในตอนนี้เหลือเพียงท่านเท่านั้นที่ยังเป็นโสดอยู่!”

 

 

อวี้เฟยเยียนที่ซุกกายอยู่ในอ้อมกอดของซย่าโหวฉิงเทียน เอื้อมมือออกมาลูบคลำหนวดเขาที่เพิ่งจะเริ่มงอกออกมารำไรเล่นไปด้วย

 

 

เหตุใดถึงได้มีคนหน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ได้นะ

 

 

แม้กระทั่งไรหนวดเขายังน่ารักเลย!

 

 

“เจ้าลืมแล้วหรือ ฮ่องเต้ก็ยังทรงเป็นโสดอยู่นะ!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนคว้ามือของอวี้เฟยเยียนเอาไว้ แล้วกัดที่ข้อมือตรงตำแหน่งจุดชีพจรแผ่วเบาเป็นการลงโทษนาง ไม่มีเรื่องอะไรเลยคิดมากไปเอง! พี่ไม่ได้เป็นโสดมาตั้งนานแล้ว ก็มีเจ้าอยู่นี่อย่างไรเล่า!

 

 

“ฮ่าๆ!”

 

 

ได้ยินซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยกล่าวเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนก็หัวเราะออกมายกใหญ่

 

 

นี่เขากำลังช่วยฮ่องเต้ให้ย้อนวัยกลับไปเป็นหนุ่มรอบสองหรืออย่างไรกัน

 

 

อายุของซย่าโหวจวินอวี่เป็นพ่อขององค์หญิงแคว้นเสวี่ยได้เลยนะ!

 

 

ยิ่งเมื่อนึกถึงฝ่าบาทที่แสนตลกขบขันกับขันทีคู่ใจจอมโปกฮาช่วยกันแสดงละครอย่างสุดชีวิตเมื่อตอนที่อยู่ในห้องทรงอักษรแล้ว อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกตลกขบขันยิ่งนัก

 

 

ราวกับว่าทุกครั้งที่ซย่าโหวจวินอวี่ได้พบกับซย่าโหวฉิงเทียน เขาแทบไม่มีเค้าลางแห่งความเป็นนักปกครองอยู่เลย เขามักจะกลายร่างเป็นคุณพ่อจอมตลกสร้างเสียงหัวเราะเสียอย่างนั้น

 

 

เพียงแต่ หากว่าฮ่องเต้ทรงทราบว่าตนเองถูกบุตรชายแท้ๆ ขายพระองค์เช่นนี้ จะทรงกันแสงไหมนะ

 

 

กันแสงไหมนะ

 

 

ไม่นาน อวี้เฟยเยียนก็กลับไปมีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสอีกครั้ง

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนยังไม่ถือสาหากว่าจะมีแม่เลี้ยงเพิ่มขึ้นมา แล้วนางจะร้อนใจไปทำไมกัน!

 

 

ขอเพียงแต่ชายผู้นี้เป็นของนางก็พอ!

 

 

หากว่าองค์หญิงผู้นั้นไม่ดูตาม้าตาเรือละก็ จะปล่อยหานจื่อไปกัดนางเสียเลย!

 

 

ริจะมาแย่งผู้ชายกับข้า คงจะเบื่อชีวิตแล้วกระมัง!

 

 

นั่งรถม้าเป็นเวลาชั่วยามกว่า ในที่สุดคณะของซย่าโหวฉิงเทียนก็เดินทางมาถึงสวนชาแดงบนเขานอกเมืองเสียที

 

 

มองจากระยะไกล สวนชาแดงนี้เป็นทุ่งสีแดงฉาน ดูแลคล้ายกับกลุ่มเมฆาสีแดงเพลิงยามอาทิตย์อัสดง กระทั่งรถม้าวิ่งเข้ามาถึงในสวน หนานกงจื่อหลิงจึงเลิกผ้าม่านของรถม้าขึ้นอย่างรอคอยไม่ไหว แล้วเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากรถม้า

 

 

“สวยจังเลย!”

 

 

หนานกงจื่อหลิงจ้องมองทุ่งสวนชาสีแดงเพลิงตรงหน้า แล้วก็รู้สึกชื่นชอบยิ่งนัก

 

 

“พี่เสวี่ย ท่านดูสิ ลวดลายบนใบต้นเฟิงนั้นสวยงามยิ่งนัก!”

 

 

“จริงด้วย!”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยมองดูหอศาลาและป่าต้นเฟิงตรงหน้าที่แทบจะกลืนเป็นผืนเดียวกันตรงหน้าด้วยอาการเหม่อลอย

 

 

เมื่อเห็นอาการของเชียนเยี่ยเสวี่ย หนานกงจื่อหลิงก็รีบเดินเข้าไปหา

 

 

“พี่เสวี่ย พี่เฮ่ออีไม่ได้มาด้วย ท่านกำลังรู้สึกเสียใจใช่ไหม”

 

 

หนานกงจื่อหลิงจับสังเกตอาการผิดปกติของเชียนเยี่ยเสวี่ยได้ตั้งแต่อยู่บนรถม้า

 

 

ในระยะนี้คนสองคนนี้มักเอาแต่หลบเลี่ยงซึ่งกันและกัน เห็นพวกเขาเอาแต่งอนกันไปมาเช่นนี้ หนานกงจื่อหลิงก็ร้อนใจยิ่งนัก

 

 

ซึ่งนางกำลังสงสัยว่า ว่าตี้อู่เฮ่ออีถกเรื่องวิชาแพทย์กับหมอเทวดาฮั่วคือข้ออ้าง แท้ที่จริงแล้วเขากังวลว่าตนเองจะทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยอึดอัด จริงเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงไป

 

 

“สาวน้อย เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน!”