ตอนที่ 168-1 ที่มาที่ไปของเรื่อง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เหล่าองครักษ์ที่เพิ่งลงจากรถม้าเมื่อได้ยินคำของนาง ต่างพากันหยุดชะงัก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้าลง มองไปที่นางด้วยสายตาดุร้าย ถามกลับไปว่า “เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงมาอยู่ที่บ้านของข้า”

 

 

“บ้านของเจ้า?” เมื่อหญิงสาวได้ยินสิ่งที่นางกล่าว จึงถามอย่างสงสัย

 

 

จากนั้นจึงเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อ จึงกล่าวอย่างตกใจว่า “ท่านคือเสี่ยวกู[1]หรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง น้ำเสียงของนางเริ่มไม่พอใจ “ตอบคำถามของข้า เจ้าเป็นใคร”

 

 

หญิงสาวก้มลงทำความเคารพนาง “ข้าน้อยคือรั่วหลาน เป็นเมียน้อยคนใหม่ของเซี่ยงกง[2] เจ้าค่ะ ขอประทานโทษที่ข้ามิได้ทำความเคารพท่านในตอนแรก”

 

 

ปัง! เมื่อนางพูดจบ ร่างของนางก็ลอยกระเด็นไปยังลานกว้าง

 

 

รั่วหลานกรีดร้องออกมา ตุ้บ! และร่วงลงบนพื้นในลาน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปด้วยอารมณ์โกรธ ชิงหลวนและจูหลีมองตากันเล็กน้อย และรีบเดินตามไป

 

 

เหล่าองครักษ์ด้านหลังไม่เคยพบเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเช่นนี้มาก่อน จึงต่างพากันตกใจมาก

 

 

หลังจากเมิ่งฉีอึ้งไปเล็กน้อย ก็ได้เดินเข้าไปด้วยความรีบร้อน

 

 

เมิ่งซื่อกำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงของรั่วหลานกรีดร้องอย่างทรมานจึงได้รีบเดินออกมา เดินไปพร้อมเดินไปว่า “รั่วหลาน เจ้า…” แต่เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว จึงตกใจจนผ้าขี้ริ้วร่วงออกจากมือ เดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรีบร้อน “โยวเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเก็บอารมณ์โกรธแค้น แสดงสีหน้าดีใจออกมา ผายมือออกมาต้อนรับเมิ่งซื่อ โอบคอนางราวกับเป็นเด็ก “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

 

 

กรอบตาของเมิ่งซื่อมีน้ำตารื้นขึ้นมา ตบหลังของนาง และพูดว่า “ดีแล้ว ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว แม่คิดถึงเจ้าจะแย่อยู่แล้วเชียว” เมื่อพูดจบ จึงผละออกจากเมิ่งเชี่ยนโยว และตั้งใจพิจารณาตัวนางอย่างละเอียด พยักหน้า “ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แม่ยังเกรงว่าเจ้าจะผอมลงเสียอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนไปกอดแขนของนางแทน และพูดอย่างออดอ้อนว่า “ไม่ได้กินอาหารที่ท่านแม่ทำ จึงผอมลงไปเล็กน้อยเจ้าค่ะ ครานี้ข้ากลับมาอยู่บ้านสักพักใหญ่ ท่านต้องทำของอร่อยให้ข้ากินบำรุงนะเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งซื่อพยักหน้าอย่างดีใจ “ได้สิ ต่อไปแม่จะทำของอร่อยให้เจ้ากินทุกวัน ให้เจ้ากินให้พอเสียเลย”

 

 

รั่วหลานร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือเป็นสัญลักษณ์ให้ชิงหลวน ชิงหลวนเข้าใจความหมาย จึงรีบเดินเข้าไปกดจุดประสาทที่ร่างของนาง

 

 

เมิ่งซื่อกำลังจะพูด แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนของนาง พูดอย่างออดอ้อนปนชื่นชมว่า “ท่านแม่ พวกเรารีบเข้าไปในห้องเถิดเจ้าค่ะ ข้ารีบเดินทางมา หนาวเสียจริง”

 

 

เมิ่งซื่อลืมการมีอยู่ของรั่วหลานไปทันที รีบจูงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง เดินไปพลางบ่นไปว่า “รีบเข้าห้องเถิด ในห้องอุ่น เจ้านี่ก็กระไร จะกลับมาล่วงหน้าวันสองวันมิได้หรือ เหตุใดจะต้องเร่งมาวันสุดท้ายเช่นนี้”

 

 

ไม่ได้ยินเสียงแม่บ่นมานานแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกหวนคิดถึงขึ้นมา จึงไม่ได้ขัดนาง ปล่อยให้นางบ่นตลอดการเดินกลับห้อง

 

 

เมิ่งซื่อให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ เทน้ำร้อนใส่แก้ววางลงบนมือนาง “เจ้าถือเอาไว้เสีย จะได้อุ่นขึ้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาถือเอาไว้ในมือ

 

 

เมิ่งฉีเดินตามเข้ามาในห้อง พูดยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านช่างลำเอียงเสียเหลือเกิน ในตาของท่านมีเพียงลูกสาว ไม่มีลูกชายเลย”

 

 

เมิ่งซื่อเองก็เพิ่งจะรู้ว่าเมิ่งฉีเองก็ตามมาด้วย สีหน้าของนางดีใจมากขึ้น “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ส่งข่าวมาบอกก่อน เมื่อวานแม่ยังพูดกับท่านพ่อของพวกเจ้าอยู่เลยว่าปีนี้พวกเจ้าคงจะยุ่งกัน มิได้กลับบ้านหรอก”

 

 

พูดจบ จึงหันหลังไปเทน้ำใส่แก้วให้เมิ่งฉี

 

 

เมิ่งอี้และโจวอิ๋งพาหงเอ๋อร์เข้ามา ตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ท่านป้ารอง”

 

 

เสียงเล็กๆ ของหงเอ๋อร์ก็ดังตามมาว่า “ท่านย่า!”

 

 

เมิ่งซื่อตอบรับอย่างดีใจ นางย่อตัวลง ลูบหัวของหงเอ๋อร์ พูดอย่างดีใจว่า “ดูสิ ไม่เจอกันไม่กี่เดือน หงเอ๋อ์ของพวกเราโตขึ้นถึงเพียงนี้แล้ว”

 

 

พูดจบ ก็ยืนขึ้น และพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้านั่งก่อนสิ อากาศเย็นเช่นนี้ คงจะหนาวกันมากเลยใช่หรือไม่ เดี๋ยวข้าเทน้ำร้อนให้พวกเจ้า”

 

 

เมิ่งอี้และโจวอิ๋งมองตากันเล็กน้อย เมิ่งอี้จึงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องหรอกขอรับท่านป้า พวกเราเองก็ไม่ได้กลับบ้านหลายเดือนแล้ว อยากจะรีบกลับไปดูเสียหน่อย”

 

 

เมิ่งซื่อไม่รั้งพวกเขาเอาไว้ พูดว่า “อย่างนั้นก็ดี วันก่อนแม่ของพวกเจ้ายังบ่นอยู่เลย ไม่รู้ว่าพวกเจ้ากลับมาฉลองตรุษจีนหรือไม่ บัดนี้นางคงจะดีใจไม่น้อย”

 

 

“อย่างนั้นพวกเราของตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ทำอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราจะมาเยี่ยมท่านป้าใหม่” โจวอิ๋งกล่าว

 

 

เมิ่งซื่อพยักหน้า

 

 

“พี่เมิ่งอี้ ท่านกลับไปบอกกับท่านปู่และท่านย่าว่าข้าอาจจะไปเยี่ยมท่านดึกเสียหน่อย”

 

 

เมิ่งอี้ตอบรับ พาโจวอิ๋งและลูกเดินออกไปด้านนอก

 

 

เมิ่งซื่อกำลังจะเตรียมตัวเดินไปส่งด้านนอก

 

 

เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นพร้อมกัน

 

 

เมิ่งฉีไปส่งครอบครัวของเมิ่งอี้ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปโอบแขนของเมิ่งซื่อเอาไว้ กล่าวว่า “ท่านแม่ พี่เมิ่งอี้ไมใช่ใครอื่น ให้พี่รองไปส่งก็พอแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะอยู่คุยกับท่านเสียหน่อย”

 

 

เมิ่งอี้เองก็รีบหันกลับมาบอกว่า “ท่านป้า ท่านมิต้องไปส่งพวกเราหรอกขอรับ พวกเราไปกันเองก็พอ”

 

 

เมิ่งซื่อหยุดฝีเท้าของตนเอง มองพวกเขาเดินออกจากห้องไป จึงถอนหายใจออกมา

 

 

พวกเขาเดินออกมาจากห้อง เห็นรั่วหลานที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยสภาพอิดโรย เมิ่งฉีและเมิ่งอี้มองหน้ากัน ไม่มีใครพูดอะไร และเดินตรงต่อไปยังหน้าประตู

 

 

เมื่อส่งครอบครัวเมิ่งอี้กลับไปแล้ว เมิ่งฉีหันหลังกลับห้องโดยไม่แม้แต่จะมองรั่วหลานสักนิด ราวกับว่านางไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น

 

 

เมิ่งซื่อได้เทน้ำเตรียมให้เมิ่งฉีเรียบร้อยแล้ว วางไว้บนโต๊ะ เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็นำแก้วน้ำกลับมาถือไว้บนมืออีกครั้ง เมิ่งซื่อนั่งลงบนเตียงคั่ง สีหน้ายินดีได้หายไปแล้ว สีหน้าเหนื่อยหน่ายได้เข้ามาแทนที่

 

 

ไม่รอให้ทั้งสองได้เอ่ยปากถาม นางได้บอกกับทั้งสองว่า “เมื่อเดือนที่แล้ว พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไปทำการค้าในตัวเมือง คืนนั้นไม่ได้กลับบ้าน มากลับเอาในเช้าของวันที่สองด้วยสภาพอิดโรย ร่างกายดูอ่อนเพลีย พวกเราตกใจแทบแย่ จึงได้ถามไถ่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทีแรกเขาไม่ยอมตอบ แต่ต่อมาถูกพวกเราไล่เค้นคำตอบ จึงพูดว่าตนเองกินเหล้าจนเมา และได้ทำเรื่องที่ไม่ควรทำลงไป เขาพูดเช่นนี้ พวกเราก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าโกรธแทบแย่ ต่อว่าเขาอยู่นาน ท่านพ่อของเจ้าเองโกรธยิ่งกว่า จะไล่เขาออกจากบ้านอย่างเดียว สุดท้ายก็ได้พี่สะไภ้ของพวกเจ้าขอร้องแทนเขาทั้งน้ำตา พ่อของเจ้าจึงไม่ได้ไล่เขาออกจากบ้าน”

 

 

พูดถึงตรงนี้ เมิ่งซื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า “ตระกูลเมิ่งของเราได้สะไภ้ดี พี่ใหญ่ของเจ้าทำเรื่องแบบนี้ขึ้น เชี่ยนเอ๋อร์ไม่เพียงแต่ไม่กล่าวโทษเขา แต่ยังขอร้องให้พวกเรายอมรับหญิงผู้นั้นอีก ให้เสียนเอ๋อร์รับนางเป็นเมียน้อย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพวกเราก็ทำได้เพียงเท่านี้ แต่ว่า พวกเรายังมิทันได้ส่งคนไปส่งข่าว วันรุ่งขึ้นทางนั้นก็ได้ส่งคนมาแล้ว พวกเราเห็นนางทั้งอ่อนโยนและอ่อนแอ ดูเป็นหญิงที่ดีใช้ได้ จึงไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ พี่สะไภ้ใหญ่ของเจ้าได้แบ่งห้องเล็กๆ ให้นางอยู่ กลางวันนางก็จะมาทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ที่นี่ ตกกลางคืนก็กลับไปที่หอนอนของตนเอง ก็สงบดีเหมือนกัน”

 

 

“พี่ใหญ่มีท่าทีกับนางอย่างไรหรือเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม

 

 

“พี่ใหญ่ของเจ้าเกลียดนางมาก หลังจากที่นางย่างกรายเข้ามาในบ้าน เขาก็ไม่มองนางเลยแม้แต่น้อย หอนอนของนางก็ไม่เคยไปเลยสักครั้ง”

 

 

“พี่ใหญ่ได้บอกพวกท่านหรือไม่ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

เมิ่งซื่อสายหน้า “หลังจากที่เขากลับมาเล่าให้ฟัง พวกเราก็เอาแต่โมโห ไม่มีใจจะไปถามไถ่เรื่องรายละเอียดพวกนั้นหรอก จากนั้นรั่วหลานก็ถูกส่งตัวมาแล้ว จะถามไถ่ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเราจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามว่า “พี่ใหญ่กับซ้อล่ะเจ้าคะ ไปที่โรงงานแล้วหรือ”

 

 

“โรงงานหยุดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้พี่ใหญ่และพี่สะไภ้เจ้าพาเส้าเอ๋อร์กลับบ้านแม่ยายไปมอบของขวัญวันตรุษจีน เวลานี้ก็น่าจะใกล้กลับมาแล้ว” เมิ่งซื่อกล่าว

 

 

เมิ่งเสียนไม่อยู่บ้าน ความเป็นมาของเรื่องราวก็ยังไม่ชัดเจน เมิ่งเชี่ยนโยวยังตัดสินอะไรไม่ได้ จึงพูดกับเมิ่งฉีว่า “พี่รอง ท่านเองก็จากบ้านไปเป็นเวลานานแล้ว รีบกลับไปดูซ้อรองกับลูกเถิด กินข้าวเย็นเสร็จแล้วค่อยกลับมา”

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า วางแก้วชาลง ยืนขึ้นและพูดว่า “ท่านแม่ ข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”

 

 

“ไปเถิด เยียนเอ๋อร์ก็รอให้เจ้ากลับมาอยู่หนา”

 

 

เมิ่งฉีเดินออกไปจากห้อง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางแก้วชาในมือ ยืนขึ้นและถามว่า “ท่านแม่ ห้องซีเซียงยังว่างอยู่หรือไม่เจ้าคะ อี้เซวียนฝากของมาให้ที่บ้านไม่น้อย เก็บเอาไว้ในห้องนั้นก่อนเถิด”

 

 

เมิ่งซื่อเองก็ลุกยืนขึ้น เดินออกไปด้านนอกพร้อมนาง “ยังว่างอยู่ ข้าเข้าไปทำความสะอาดอยู่เสมอ เอาไปวางไว้ด้านในก็พอ”

 

 

รั่วหลานเห็นทั้งสองเดินออกมา จึงกลอกลูกตาขยับไปมาตลอด ราวกับว่าจะขอร้อง เมิ่งเชี่ยนโยวมองนางเล็กน้อย และสั่งชิงหลวนว่า “เอานางออกไปไกลๆ อย่าให้เกะกะสายตาผู้อื่น”

 

 

ชิงหลวนตอบรับ และโยนร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของรั่วหลานไปไว้ที่ช่องลมระหว่างห้องตงเซียงและห้องหลัก ปกติอากาศก็หนาวอยู่แล้ว ช่องลมระหว่างห้องก็ยิ่งหนาวมากขึ้น รั่วหลานรู้สึกหนาวจนสั่นสะท้าน

 

 

เมิ่งซื่อรู้จักนิสัยใจคอของเมิ่งเชี่ยนโยวดี จึงไม่ได้พูดอะไร

 

 

ทั้งสองเดินออกมาถึงหน้าประตู องครักษ์ยังรออยู่ด้านหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกัวเฟยและเหวินเปียวว่า “จัดการให้เพื่อนๆ ของเจ้าพักในจวนของเจ้านะ พักผ่อนเสียก่อน มีธุระอะไรวันพรุ่งค่อยว่ากัน”

 

 

กัวเฟยและเหวินเปียวตอบรับ

 

 

องครักษ์ขนย้ายข้าวของบนรถไปยังห้องซีเซียงจากนั้นก็ลากรถม้าไปยังหลังจวน และแยกย้ายกันไปพักผ่อน

 

 

 

 

 

 

 

[1] เสี่ยวกู น้องสาวของสามี

 

 

[2] เซี่ยงกง ใช้เรียกสามีในแบบที่เคารพและยกย่องสามีมากๆ หรือสามีเป็นชนชั้นสูงบ้านมีฐานร่ำรวยในสมัยโบราณ