บทที่****169: ชาวิถีเต๋า
ท้ายที่สุดภรรยาจ้าวสำนักเห็นแล้วว่าเจ้าอ้วนนั้นต้องการจัดการปัญหาของตนเองจริง นางหยุดจ้าวสำนักและกล่าวอย่างขมขื่น “ลืมมันไปเด็กน้อย เราจะไม่บังคับเจ้าเพราะยังมีเวลาเหลืออยู่ อีกไม่กี่วันสำนักสาขาเสวียนเทียนจะส่งคนมาเพื่อทดสอบอัจฉริยภาพของหงหยิง เราจะออกเดินทางเมื่อเขาตรวจสอบนางเสร็จแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะคิดได้ภายในไม่กี่วันนี้ ถึงตอนนั้นเราจะถามเจ้าอีกครั้งตกลงหรือไม่?”
ความจริงแล้วเจ้าอ้วนต้องการจะปฏิเสธพวกเขาที่นี่และตอนนี้ แต่ภรรยาจ้าวสำนักยังคงอาวุโสกว่าและกล่าวกับเขาด้วยความใส่ใจ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหักน้ำใจของนางได้ จึงทำให้เพียงตอบรับและกลับออกมา
หลังจากที่เขากลับออกมา เขาเดินทางกลับลานม่านหมอกของตนเองทันที เขาอยู่ในสภาวะเบื่อและต้องการทำอะไรสักอย่าง จากนั้นเขาพลันนึกขึ้นมาได้ เขาจำได้ว่าในช่วงการล่าเขาพบต้นชาและนำกลับมาด้วย
แม้ว่ามันจะไม่มีปราณจิตวิญญาณมากนัก และไม่สามารถเทียบกับชาชื่อดังของโลกได้ แต่ต้นกำเนิดของมันนั้นลึกลับเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่ยาที่ล้ำค่าอะไรนัก แต่ดูเหมือนว่ามันจะเต็มไปด้วยกฎแห่งสวรรค์ บางทีเขาอาจจะค้นพบอะไรก็เป็นได้
ในขณะที่คิดดังนั้นภายในใจ เจ้าอ้วนตัดสินใจใช้โอกาสนี้เลือกใบชาบางส่วนทำเครื่องดื่มประจำวันหลังจากที่ใช้เสียงจนแหบแห้ง
แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่ใช่บุคคลที่รู้วิธีชงชา แต่ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ถ้าหากเขาคือเจ้าของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า! ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิน นางทั้งหมดมีชีวิตอยู่นับพันปี ด้วยความที่มีชีวิตอันยาวนาน พวกนางย่อมต้องรู้ศาสตร์หลายแขนง ความสามารถในการปรุงชาแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่พวกนางคือหญิงงามทั้งเก้าก็สมควรต้องเรียนรู้ศาสตร์แห่งการชงชาขั้นสูง งานเล็กน้อยเพียงแค่นี้ไม่นับเป็นความท้าทายอันใดสำหรับพวกนาง
พวกนางทั้งหมดจัดการเรื่องนี้ให้กับเจ้าอ้วนได้โดยการโบกมือเพียงครั้งเดียว ภายในไม่กี่วันถัดมา พวกนางได้สรรค์สร้างชาขึ้นมาสองชนิด หลังจากกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว หญิงงามทั้งเก้ากล่าวกับเจ้าอ้วนว่าพวกนางเคยได้ยินเรื่องราวของต้นชานี้มาก่อน แต่พวกนางต่างพูดกันไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่นัก
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น จึงเลิกใส่ใจเรื่องนี้ไป หญิงงามทั้งเก้าได้ไปยังสถานที่ต่าง ๆ มากมายในขณะที่พวกนางยังมีชีวิต พบเห็นชามากมายหลายร้อยพันชนิด ก็คงจะไม่แปลกถ้าพวกนางจะเคยเห็นมันมาก่อน แต่การที่พวกนางไม่สามารถอธิบายได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก พวกนางทั้งหมดถูกปรับแต่งให้กลายเป็นสมบัติวิญญาณมาเนิ่นนานนับพันปีแล้ว การสูญเสียความทรงจำไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
เจ้าอ้วนจัดการชงชาทันที ขณะที่เขากำลังดื่มเข้าไปก็รู้สึกถึงกลิ่นที่ติดอยู่บนริมฝีปาก ถ้าหากกล่าวถึงรสชาติของมัน แน่นอนว่ามันดียิ่งกว่าทุกอย่างที่เขาเคยดื่มมาก่อนหน้านี้
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดคือสมองของเขาปลอดโปร่งยิ่งกว่าที่เคย ไม่ว่าเขาจะมองอะไร เขารู้สึกราวกับว่าเข้าใจกฎของพวกมันราวกับรอให้เขาเข้าไปคลี่คลายปัญหาเหล่านั้น
เจ้าอ้วนไม่ทราบถึงความหมายนั้นจึงสรุปเพียงแค่ชาชนิดนี้ซึ่งมีความพิเศษมากกว่าชาอื่นเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อหงหยิงเดินทางมาหาเขาในวันรุ่งขึ้น เขาจึงชงมันให้กับนาง
แน่นอนว่าเรื่องมูลค่าของมันนั้นน้อยนิดยิ่งนัก เจ้าอ้วนไม่กล้าที่จะบอกนางว่าเขาหยิบมันออกมาจากในป่า ดังนั้นเขาจึงใช้ชื่อของตู๋เชียนเฉิง มันเป็นสมบัติของอีกฝ่าย เรื่องนี้ก็จะถูกปล่อยผ่านไปโดยง่ายดาย
ในขณะที่หงหยิงได้ยินว่ามันถูกทิ้งไว้โดยผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แน่นอนว่านางสนใจมันอย่างมาก หลังจากที่ได้ลิ้มลอง นางก็ชอบพอไม่น้อยจนต้องถามเจ้าอ้วนว่าพอจะแบ่งมันให้กับนางสักเล็กน้อยได้หรือไม่ เจ้าอ้วนไม่เคยตระหนี่กับนางอยู่แล้วและมอบมันให้กับนางไปหนึ่งกล่อง เป็นเขาเอาชาใส่ไว้ในกล่องของผลไม้วิญญาณ หงหยิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก นางเก็บมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางจึงชวนเจ้าอ้วนออกไปเล่นข้างนอกกัน
ดังเช่นคำที่กล่าวไว้ว่า ‘ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ’ เจ็ดวันผ่านไปราวกระพริบตา วันนี้หงหยิงและเจ้าอ้วนอยู่ในสถานที่ที่งดงามและเตรียมพร้อมกับการตั้งแคมป์เล็ก ๆ ของพวกเขา
เจ้าอ้วนกำลังย่างมัจฉาไร้เนตร เห็ดจิตวิญญาณและอาหารอื่น ๆ ในขณะที่หงหยิงดูแลเรื่องการชงชา
แน่นอนว่าด้วยความมั่งคั่งของเจ้าอ้วน เขาจะไม่ขี้เหนียวในเรื่องของตนเอง ชุดถ้วยชาของเขาถูกออกแบบมาอย่างดีด้วยการแกะสลักที่สวยงามและมีคุณภาพ
น้ำชาที่กระเพื่อมอยู่ในหม้อนั้นมีเสน่ห์อย่างมาก หลังจากที่เทมันลงในแก้วหยกปรากฏแสงสีเขียวเรืองรองออกมา มันเป็นปราณจิตวิญญาณที่พวยพุ่งออกมาจึงทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างมาก ราวกับว่ามันคือน้ำที่ล่วงหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์!
การได้กินมัจฉาไร้เนตร เห็ดจิตวิญญาณ และดื่มชาที่มีคุณภาพเช่นนี้นับได้ว่าเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามหงหยิงนั้นมีลักษณะนิสัยที่ซุกซน นางต้องดื่มชาเพื่อล้างปากก่อนที่จะรับประทานมัจฉาไร้เนตรหรือว่าเนื้อ ซึ่งทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกปวดหัวอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงนางได้ อีกทั้งใบชาของเขาก็มากมายยิ่งนัก แล้วจะต้องกังวลอันใด?
เพียงแค่เจ้าอ้วนย่างมัจฉาไร้เนตรเสร็จ หงหยิงรีบคว้ามันทันที ก่อนอื่นนางใช้ชาเพื่อล้างปากของตนเองและค่อยกินปลาหลังจากนั้น
ในขณะนั้นเองเจ้าอ้วนและหงหยิงมองเห็นดวงไฟปรากฏขึ้นสี่ดวงพร้อมกับมีบุคคลห้าคนปรากฏขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา
บุคคลเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับว่าพวกเขาหลุดออกมาจากอากาศ เพียงการมองครั้งด้วยรับรู้ได้ทันทีว่าทั้งหมดคือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง
ทั้งคู่ตกใจและคิดว่ากำลังถูกบุกรุกจากศัตรู ทั้งสองเข้าสู่สภาวะป้องกันตัวทันที เจ้าอ้วนเรียกดาบแห่งธาตุทั้งห้าออกมาพร้อมกับหงหยิงเรียกกระบี่เฟิงหมิงด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองอย่างระมัดระวัง พวกเขาลดอาวุธลงทันที ภายในห้าคนนี้มีสองคนที่ทั้งสองรู้จัก หนึ่งคือจ้าวสำนัก สองคือฉุ่ยจิ้ง อีกสามคนเป็นอาวุโสที่ดูอ่อนโยนอยู่ในชุดคลุมสีเขียว พวกเขาไม่ได้แต่งตัวฟุ่มเฟือยมากนักและไม่ได้ปลดปล่อยจิตสังหารออกมา แต่ทว่าเจ้าอ้วนและหงหยิงกลับรู้สึกว่าทั้งสามคนนี้มีบางอย่างไม่ธรรมดา
เหตุผลก็เพราะจ้าวสำนักยืนอยู่เบื้องหลังอาวุโสทั้งสาม จ้าวสำนักจะไม่ยืนหลังผู้ใด เขาคล้ายกลายเป็นบุตรภายใต้การดูแลของบิดามารดาผู้เข้มงวด บุคคลที่ทำให้จ้าวสำนักยอมถอยให้จะเป็นบุคคลธรรมดาได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าอาวุโสทั้งสามที่แข็งแกร่งปรากฏตัวพร้อมกับจ้าวสำนักและภรรยา เจ้าอ้วนและหงหยิงทำได้เพียงตกใจอย่างไม่อาจอดกลั้น
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จ้าวสำนักรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “เหตุใดพวกเจ้าจึงไปยืนอยู่ตรงนั้น? เข้ามาและทำความเคารพอาวุโสทั้งสามเร็ว!”
เจ้าอ้วนและหงหยิงรีบออกจากความงุนงงทันที พร้อมกับเก็บอาวุธและทำความเคารพตามคำสั่งของจ้าวสำนัก
ในขณะนั้น อาวุโสทั้งสามไม่สนใจเจ้าอ้วนและหงหยิง พวกเขาเดินตรงมาที่ถ้วยชา จากนั้นดวงตาของพวกเขาก็จ้องมองที่ถ้วยชาอย่างเป็นประกาย
ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้ทุกคนไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดออกมา แม้ว่าจะเป็นอาวุโสแต่ควรจะมีมารยาทบ้างเมื่อเด็กทำความเคารพ อย่างน้อยก็ต้องสนใจพวกเขาสักนิดก่อนที่จะไปมองสิ่งอื่น นี่เป็นมารยาทอันใดของพวกเขากัน? หากผู้อื่นพบเห็นก็คงไม่ดีแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสำนักเสวียนเทียนที่มีประวัติยาวนานหลายพันปี กฎเกณฑ์นั้นเข้มงวดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องของมารยาท ผู้ฝึกตนทุกคนจะต้องมีมารยาทและบุคลิกที่ดีตลอดเวลา โดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานะใด วันนี้การกระทำของอาวุโสทั้งสามนั้นผิดแปลกอย่างรุนแรง และแน่นอนว่าหากเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไป พวกเขาจะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง
จ้าวสำนักไม่อาจทำสิ่งใดได้แม้ว่าจะรู้สึกอึดอัดใจมากเพียงใดก็ตาม สำหรับเจ้าอ้วนและหงหยิงทั้งสองรู้สึกผิดหวังกับการกระทำเช่นนี้พอสมควร
แต่ในขณะนั้น ชายชราเครายาวได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวว่า “ฮ่าฮ่า ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทเมื่อสักครู่ ข้าลืมเรื่องของศิษย์ไปสนิท สวรรค์ ข้าช่างหยาบคายยิ่งนักได้โปรดให้อภัย!”
“ฮ่าฮ่า ใช่ใช่ ข้าเสียมารยาทจริง ๆ!” อาวุโสอีกสองคนกล่าวออกมาเช่นกัน
อาวุโสทั้งสามรีบคืนสู่ท่าทีที่สงบทันทีในขณะที่กล่าวเช่นนั้น จ้าวสำนักจึงไม่คิดติดใจสิ่งใดต่อไปอีก เจ้าอ้วนและหงหยิงมีใบหน้าที่ดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อมตอบกลับว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย!”
“ฮ่าฮ่า เป็นการดีที่สุดถ้าหากว่าข้าไม่ได้กระทำสิ่งใดผิด!” จากนั้นอาวุโสอีกคนรีบกล่าวออกมา “เด็กน้อยรีบบอกข้ามาเถิดว่าเจ้าได้รับชานี้มาจากที่ใด? เจ้ามีมันอีกหรือไม่? ข้าต้องการจะซื้อมันไม่ว่าราคาจะสูงเท่าไหร่ก็ตาม!”
คำพูดของอาวุโสผู้นี้ทำให้เจ้าอ้วนและหงหยิงรู้สึกไม่พอใจพร้อมกับคิดภายในใจ ‘สติของเขายังดีอยู่หรือไม่? เขาขอซื้อชาในการพบปะกันครั้งแรกงั้นหรือ?’
ก่อนที่เจ้าอ้วนและหงหยิงจะทันได้ตอบโต้อะไร อาวุโสอีกสองคนรีบตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “เด็กน้อย อย่าไปสนใจเขา ข้าเป็นคนมองเห็นชานี้ก่อน เจ้าควรจะขายมันให้กับข้า และข้าสัญญาว่าจะให้ราคาที่สูงกว่าแน่นอน!”
หลังจากที่กล่าวออกมาเช่นนั้น เจ้าอ้วนและหงหยิงตกอยู่ในสภาวะโง่งมทันที อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ได้ราบลื่นเสียยิ่งกว่าในตอนแรกมากแล้ว
อาวุโสอีกคนที่ได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจทันทีพร้อมกล่าวแทรกอย่างรวดเร็ว “เด็กน้อย เด็กน้อยเอ๋ย อย่าไปฟังทั้งสองคนนั้น! ชาที่ดีเช่นนี้เจ้าต้องการกี่หินจิตวิญญาณกัน? หรือว่าจะเป็นสมบัติวิเศษ ไม่สิ สมบัติวิญญาณ! ข้าสามารถมอบสมบัติวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนกับมันได้!”
ในขณะที่เขากล่าวคำว่าสมบัติวิญญาณออกมา ทำให้เจ้าอ้วน หงหยิง จ้าวสำนัก และฉุ่ยจิ้งตกใจทันที พวกเขาจะใช้สมบัติวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนกับชานี้? นี่มันเรื่องอะไรกัน?
แต่ดวงตาของหงหยิงกลับส่องประกายออกมาจนดวงตาของนางแทบจะหลุดออกจากเบ้า พร้อมถามออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านอาวุโส ชานี้ไม่ได้มีสิ่งอื่นใดนอกจากใช้ล้างปากเท่านั้น เหตุใดพวกท่านจึงต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงมันด้วย?”
หงหยิงไม่เคยคิดว่าหลังจากประโยคนี้ของนางจะทำให้ชีวิตของนางเปลี่ยนไป อาวุโสทั้งสามเปลี่ยนแปลงสีหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธจัด พวกเขาตะโกนออกมาว่า “สำหรับล้างปากงั้นหรือ? สวรรค์! เจ้าบอกว่าเอาชาวิถีเต๋าล้างปากงั้นหรือ?!”
เมื่อได้ยินคำว่าชาวิถีเต๋า หงหยิงและเจ้าอ้วนนิ่งงันทันทีเพราะเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แต่ว่าจ้าวสำนักและฉุ่ยจิ้งมีท่าทีแตกต่างออกไป ทั้งสองคนไม่อาจอยู่ในท่าทีสงบได้ พวกเขากรีดร้องออกมาทันทีต่อหน้าอาวุโสทั้งสาม
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าอ้วนรู้ได้ทันทีว่าชาของเขานั้นไม่ใช่ของเล่นที่คนธรรมดาจะนำมาดื่มเล่นแบบนี้ได้ เขาใช้โอกาสนี้เพื่อถามทันที “ชาวิถีเต๋าคือสิ่งใดหรือขอรับ?”
“ก็คือชาที่เจ้ากำลังดื่มอยู่ในตอนนี้ยังไงล่ะ!” อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวออกมา
“ชานี้ทำให้ผู้ที่ดื่มมันเข้าใจในกฎแห่งสวรรค์มากยิ่งขึ้น ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะเข้าใจรสชาติของมัน มันเหมาะสำหรับผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินเพื่อใช้สำหรับการฝึกฝน ข้าผู้นี้ติดอยู่ในสภาวะตีบตันมานานนับร้อยปีและข้าต้องการมัน!” อาวุโสกล่าวออกมาด้วยใบหน้าสีแดง
“น่าเสียดายที่สิ่งนี้หาได้ยากยิ่ง ภายในตลาดมีเพียงคนต้องการมันแต่กลับไม่มีผู้ใดขายมัน ดังนั้นราคาของมันจึงสูงมาก ซึ่งจะต้องแลกเปลี่ยนกันด้วยของมีค่าเท่านั้น บางครั้งถ้าต้องแลกเปลี่ยนกับหินจิตวิญญาณราคาของมันจะสูงเกินกว่าจะจ่ายได้ไหว!” อาวุโสอีกคนกล่าว “แต่บางทีก็ต้องเพิ่มเติมหินจิตวิญญาณเข้าไปอีกสักเล็กน้อยเพื่อให้สมกับมูลค่าของมัน!” ในขณะที่เขากล่าวเขายกนิ้วขึ้นมาสิบนิ้ว
ในขณะที่เจ้าอ้วนเห็นเช่นนั้น เขาเข้าใจทันทีพร้อมกล่าวว่า “หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งหมื่น?”
“ใช่แล้ว หนึ่งหมื่น!” อาวุโสกล่าวตอบ
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารีบถามต่ออย่างอยากรู้อยากเห็น “หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งหมื่นดูเหมือนว่าจะไม่แพงมากนัก ถูกต้องหรือไม่?”
ในความจริงแล้วหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งหมื่นก้อนนั้นอาจจะมีค่ามากกับเหล่าศิษย์ทั่วไป แต่สำหรับเจ้าอ้วนนั้นเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินนั้นอาจจะไม่ได้มีหินจิตวิญญาณมากขนาดนั้นอยู่ในครอบครอง!
เมื่ออาวุโสทั้งสามได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการดูถูก อาวุโสคนหนึ่งลูบเคราของตนพร้อมกล่าวว่า “เราไม่ได้ใช้หินจิตวิญญาณระดับต่ำเพื่อแลกเปลี่ยน แต่ว่าใช้หินจิตวิญญาณระดับสูง!”
“อะไรกัน? หินจิตวิญญาณระดับสูงจำนวนหนึ่งหมื่นก้อน?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนมึนงงไปชั่วขณะ แน่นอนว่าระดับพลังของหินจิตวิญญาณทำให้มูลค่าของมันแตกต่างกันอย่างมาก หินจิตวิญญาณระดับสูงจะมีค่ามากกว่าหินจิตวิญญาณระดับต่ำมากกว่าหนึ่งแสนก้อน ถ้าหากใช้หินจิตวิญญาณระดับสูงจำนวนหนึ่งหมื่นก้อนเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นหินจิตวิญญาณระดับต่ำ มูลค่าของมันจะอยู่ที่หนึ่งร้อยล้านก้อน! จำนวนที่น่ากลัวเช่นนี้อาจสร้างภูเขาขนาดย่อมได้ หรือไม่อาจจะสร้างสำนักย่อยเสวียนเทียนขึ้นมาอีกหนึ่งแห่งเลยก็ยังได้ ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงเข้าใจได้ว่ามูลค่าของชาชนิดนี้สูงมาก
อาวุโสอีกคนกล่าวเสริม “นี่เป็นเพียงราคาคร่าว ๆ ของมันเท่านั้น แต่ไม่มีผู้ใดที่จะรวบรวมเงินจำนวนนี้ได้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะแลกเปลี่ยนกันโดยสมบัติวิญญาณ!”
ในจุดนี้จิตวิญญาณของเจ้าอ้วนและหงหยิงได้หลุดลอยออกจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้ทั้งสองรู้แล้วว่าชานี้มีมูลค่ามากเพียงใด นี่ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติเพราะว่าสภาวะตีบตันนับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกตน ทุกคนรังเกียจมันแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่ง มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมากที่พวกเขาจะติดอยู่ในสภาวะนี้ยาวนานนับร้อยหรือพันปี หลายครั้งที่ผู้ฝึกตนมักจะเสียชีวิตไปจากการนั่งสมาธิที่ยาวนานเพราะไม่อาจผ่านพ้นสภาวะตีบตันนี้ไปได้ จึงทำให้สิ่งของเหล่านี้มีมูลค่าสูงมาก
เมื่อได้ยินว่าชาเหล่านี้มีค่ามากเพียงใด ภายในหัวใจของเจ้าอ้วนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ทว่าท่าทีตอนนี้ของเขากลับสงบเพราะมีต้นของมันอยู่! แม้ว่ามันจะเติบโตช้ามาก แต่เขาก็จะมีชาดื่มไปอีกสองปี เรียกได้ว่ามันคือเหมืองทองที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย!
สำหรับหงหยิงนางกล่าวออกมาทันทีด้วยความประหลาดใจ “สวรรค์ นี่ข้าเพิ่งใช้ชาที่มีมูลค่าสูงเช่นนี้เพื่อล้างปากของตนเองไป ถ้าหากคิดเป็นมูลค่าแล้วข้าขาดทุนไปเท่าไหร่กัน?”