บทที่****170: เก็บตัวฝึกฝนคู่อีกครั้ง

ทุกคนจ้องมองนางอย่างโกรธเคืองในขณะที่หงหยิงกล่าวออกมาเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุโสทั้งสามที่ต้องติดอยู่กับสภาวะตีบตันมาเนิ่นนาน พวกเขาทั้งสามคิดแต่เพียงว่าจะล้างแค้นสาวน้อยผู้นี้อย่างไร ‘ชาวิถีเต๋าไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะร้องขอกับผู้ใดก็ได้แม้แต่คนที่ข้ารู้จัก แต่เจ้ากลับใช้สิ่งนี้เพื่อล้างปากตนเองงั้นหรือ? ช่างเป็นขยะที่น่าสมเพชเสียจริง!’

สำหรับจ้าวสำนักที่ต้องการให้บุตรของตนเองโดดเด่น สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “อ้วนน้อยวันนี้ถือว่าเป็นวันดียิ่งนัก เจ้าพอจะมีชาวิถีเต๋าอีกบ้างหรือไม่? รีบนำมันออกมา แน่นอนว่าอาวุโสทั้งสามจะปฏิบัติกับเจ้าอย่างเป็นธรรม!”

เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าไม่ควรให้บุคคลเหล่านี้รู้ว่าเขาครอบครองมันไว้มากเพียงใด ถ้าหากพวกเขาล่วงรู้ก็ชัดเจนว่ามันจะสร้างปัญหาตามมาไม่มีที่สิ้นสุด ถึงอย่างไรเขาก็มีต้นชาอยู่กับตนเอง ในอนาคตเขาคิดอยากเก็บเกี่ยวมันตอนไหนก็ได้

เจ้าอ้วนแสร้งทำสีหน้าหม่นหมองพร้อมกล่าวออกมาว่า “ข้าไม่มีชาเหล่านี้เหลืออยู่แล้ว นี่เป็นส่วนสุดท้ายที่ข้ามี!”

“หืม? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?” อาวุโสทั้งสามกล่าวออกมาอย่างตกใจ ตอนนี้พวกเขาสามารถพบเจอกับสิ่งที่ทำให้ผ่านพ้นสภาวะตีบตันได้ แต่ว่ามันกลับไม่มีอีกแล้วงั้นหรือ?

แล้วเจ้าอ้วนจะกล้ากล่าวอะไรออกไปอีกล่ะ? เขารีบอธิบาย “เรื่องเป็นเช่นนี้ ชาวิถีเต๋าข้าได้รับมันมาจากกระเป๋ามิติของตู๋เชียนเฉิง เห็นว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนักและปราณจิตวิญญาณก็น้อยนิด อีกทั้งมันยังมีเพียงสองใบเท่านั้นข้าจึงไม่คิดว่ามันจะสำคัญ ข้าจึงนำมันออกมาดื่มเล่นเช่นนี้ หลังจากดื่มมันไปเพียงไม่กี่ครั้ง มันก็เหลือไม่เท่าไหร่เสียแล้ว!”

“แล้วเจ้าเหลืออยู่เท่าไหร่กัน?” อาวุโสรีบถาม

“มีเพิ่มอีกเท่าไหร่?” อาวุโสอีกคนตะโกนออกมา

“นำทั้งหมดที่เจ้ามีออกมา ข้าต้องการมัน!” อาวุโสอีกคนตะโกนออกมาด้วยใบหน้าสีเลือด

“เรื่องนั้น… ข้าไม่มีเหลืออีกแล้ว!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างแสแสร้ง อย่างไรก็ตามความจริงคือหงหยิงมีชาอยู่กับตนเอง แต่เขาไม่รู้ว่าหงหยิงมีแผนอะไรหรือไม่ เพราะแบบนั้นจึงไม่ได้กล่าวถึง และนี่เป็นวิธีป้องกันไม่ให้อาวุโสทั้งสามฉกฉวยมันไปจากนางเพราะวันหนึ่งนางจะต้องใช้มัน

แต่ว่าหงหยิงนั้นโง่งมเกินกว่าจะเข้าใจ ในขณะที่เจ้าอ้วนพยายามหลีกเลี่ยงการแลกเปลี่ยนนี้อย่างหนักหน่วง นางกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ชาของเขาหมดแล้ว แต่ว่าข้าพอมีอยู่บ้าง!”

“เจ้ามีงั้นหรือ?” อาวุโสทั้งสามละสายตาจากเจ้าอ้วนพร้อมกับพุ่งเป้าไปที่หงหยิงทันที

“ใช่แล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนพี่ชายอ้วนมอบมันให้กับข้า เขามอบมันให้กับข้าเพราะข้าชื่นชอบมัน!” หงหยิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าฮ่า พี่ชายอ้วนของเจ้าช่างใจกว้างยิ่งนักที่มอบภูเขาทองคำให้แก่เจ้า!” อาวุโสกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“แล้วใครสนเรื่องนั้นกันล่ะ ข้าต้องการเพียงชาวิถีเต๋าในตอนนี้!” อาวุโสอีกคนกล่าวพร้อมกับหัวเราะร่าเริง “หงหยิงน้อย ข้ารู้ว่าเจ้านั้นเป็นเลิศ เจ้าสามารถขายชาเหล่านั้นให้กับอาจารย์ลุงผู้นี้ได้หรือไม่? ข้าสัญญาว่าจะมอบสมบัติที่ดีที่สุดให้กับเจ้า!”

“เจ้าอย่าโอ้อวดนักเลย สมบัติเพียงหนึ่งชิ้นจะสามารถแลกเปลี่ยนกับชาวิถีเต๋าได้อย่างไรกัน? เจ้านั้นมีสมองในด้านการค้าเท่าไหร่เชียวรึ? ในนามของอาวุโสด้วยกัน ข้ารู้สึกอับอายแทนเจ้ายิ่งนัก!” อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยใบหน้าแดงจัด พร้อมหันไปหาหงหยิงทันที “อย่าไปสนใจเขาเลย เจ้าควรขายชาวิถีเต๋าให้กับข้าผู้นี้ ข้ายินดีที่จะมอบสมบัติวิญญาณสองชิ้นเพื่อแลกเปลี่ยน อีกทั้งข้ามั่นใจว่าพวกมันจะยอมรับเจ้าในฐานะเจ้านายคนใหม่อีกด้วย!”

ขณะที่อาวุโสอีกสองคนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาเริ่มโต้เถียงและสู้ราคากันแบบไม่ยอมแพ้

สุดท้ายหงหยิงรู้สึกมึนงงกับการทะเลาะวิวาทของพวกเขาและไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป นางจึงตะโกนออกมาว่า “พอก่อน เลิกเถียงกันเถิด ข้าจะแบ่งมันออกให้พวกท่านสามในสิบของมัน ส่วนที่เหลือข้าจะมอบมันให้กับครอบครัวข้า ถ้าหากพวกท่านยังคงโต้เถียงกันอยู่เช่นนี้ ข้าจะไม่ยินยอมแลกเปลี่ยนใด ๆ ทั้งสิ้น!”

ในขณะที่หงหยิงกล่าวเช่นนั้น ทั้งสามคนหยุดการโต้เถียงทันที ประการแรกคือหงหยิงยุติธรรม และถัดมาเพียงแค่ใบชาสามใบก็นับว่ามากแล้ว ถ้าหากพวกเขาโชคดี แน่นอนว่าจะพัฒนาได้ไกลกว่าหลุดพ้นจากสภาวะตีบตันที่เป็นอยู่

ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ พร้อมกันพวกเขาปลดปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อครอบคลุมร่างกายของหงหยิงและจ้าวสำนักและหายตัวไปทันที แน่นอนว่าอาวุโสทั้งสามนี้ใจร้อนจึงรีบพาทั้งหมดกลับบ้านเพื่อตกลงกันเรื่องใบชา เรื่องที่อาวุโสทั้งสามลงมือพากลับบ้านก็เป็นเพราะพลังของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินของจ้าวสำนักนั้นอาจจะช้าเกินไป!

หลังจากที่ทั้งห้าคนจากไป ฉุ่ยจิ้งเดินไปหาเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งที่เราจะมีอิสระอยู่ด้วยกันวันนี้ ท่านจะไม่ชวนข้าดื่มชาสักหน่อยหรือ?”

“โอ้…” เจ้าอ้วนที่กำลังสับสนได้เรียกสติของตนเองกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้องนั่งลงก่อน ข้าจะชงชาให้”

ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เจ้าอ้วนหยิบเอาถ้วยชาออกมาพร้อมกับเทชาวิถีเต๋าให้กับฉุ่ยจิ้ง จากนั้นเขากล่าวกับนางอย่างขื่นขม “ข้าไม่คิดเลยว่าสิ่งนี้จะมีมูลค่าถึงเพียงนี้ ถ้าหากข้ารู้มาก่อน แน่นอนว่าข้าจะต้องเชิญเจ้ามาเพื่อลิ้มรสมันอย่างแน่นอน!”

“ศิษย์พี่หมายความเช่นนั้นจริงงั้นหรือ?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอน!”

“อืม ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ถ้าหากน้องสาวผู้นี้จะมาหาท่านในอนาคตเพื่อดื่มชา ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะไม่รังเกียจ” ฉุ่ยจิ้งกล่าว “โอ้ แน่นอน ข้าชื่นชอบการดื่มชาที่สุด! ยิ่งเป็นชาวิถีเต๋ายิ่งไม่ต้องพูดถึง”

ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็พบว่าความลับของเขาถูกนางล่วงรู้อีกครั้งแล้ว แน่นอนว่านางรู้ว่าเขามีชาเหลืออีกจำนวนมากจึงกล่าวออกมาเช่นนั้น

เจ้าอ้วนรู้ดีว่าเขาไม่สามารถโกหกผู้ที่สามารถทำนายทุกสิ่งอย่างได้ เขาที่ไม่รู้จะทำเช่นไรจึงกล่าวออกไปอย่างขื่นขม “ศิษย์น้องโปรดมั่นใจ ไม่ว่าเจ้าต้องการจะดื่มมันเมื่อใด ข้าสามารถชงมันให้กับเจ้าได้เสมอเท่าที่เจ้าต้องการ!”

“ขอบคุณศิษย์พี่!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางหยิบแก้วขึ้นมาพร้อมเผยยิ้มเล็กน้อย “ถ้าหากเป็นเช่นนี้ข้าจะขอเสนอไวน์พร้อมขนมปังให้กับท่าน!”

ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาพร้อมยกถ้วยชาเพื่อชนกับฉุ่ยจิ้งและกล่าวว่า “ดื่ม!”

ทั้งสองคนนั่งดื่มชาวิถีเต๋าด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

พวกเขานั่งอยู่ด้วยกันเนิ่นนานจนสามารถรับรู้นิสัยใจคอของกันและกัน สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นพร้อมกับทั้งสองคนเข้าสู่สภาวะเก็บตัวฝึกตนคู่อีกครั้ง

เจ้าอ้วนได้กลับมายังทะเลสาปที่กว้างใหญ่พร้อมมองเห็นพระจันทร์ดวงยักษ์อีกครั้ง เขารู้สึกว่ากาลเวลาโดยรอบกำลังหมุนเวียนกันอย่างลึกลับ ดังเช่นคำกล่าว ‘ผู้ใดคือคนแรกที่มองเห็นดวงจันทร์? ดวงจันทร์เกิดขึ้นมาครั้งแรกเมื่อใด? มนุษย์กับดวงจันทร์จะอยู่คู่กันชั่วนิรันดร์’

สำหรับฉุ่ยจิ้งนางเข้าสู่ปฐมกาลแห่งความโกลาหลอีกครั้ง ที่นี่ไม่มีสิ่งใด แต่ทุกสิ่งอย่างอยู่บนพื้นฐานของธาตุทั้งห้าราวกับว่าเป็นจุดกำเนิดของมัน ฉุ่ยจิ้งยืนอยู่ภายในสถานที่แห่งนั้น ชื่นชมความยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้พร้อมทั้งเข้าใจในกฎแห่งสวรรค์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

นี่เป็นผลของชาวิถีเต๋าจึงทำให้ฉุ่ยจิ้งและเจ้าอ้วนเข้าสู่สภาวะเก็บตัวฝึกตนคู่อีกครั้ง และทำให้พวกเขาทั้งสองเข้าใจในกฎแห่งสวรรค์มากยิ่งขึ้นกว่าในครั้งแรกอีกด้วย

ในขณะที่เจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งกำลังเข้าสู่การเก็บตัวฝึกตนคู่ อาวุโสทั้งสามพร้อมจ้าวสำนักและหงหยิงกลับมาถึงบ้าน เป็นเพราะความรีบร้อนของอาวุโสที่มีมากเกินไป พวกเขาไม่ได้ฉุกคิดและเสียมารยาทเดินเข้าไปในห้องนอนของจ้าวสำนักทันที

มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้ามายังห้องนี้ได้ ภายในนั้นพบภรรยาจ้าวสำนักกำลังนอนอยู่บนเตียงและเอาเท้าแช่น้ำอย่างผ่อนคลายอยู่

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้อาวุโสทั้งสามกระอักกระอ่วนใจอย่างยิ่ง พวกเขาทั้งสามคนเต็มไปด้วยพรสวรรค์แต่กลับบุกเข้ามาในห้องนอนของผู้อื่นและพบหญิงสาวกำลังนอนเอาเท้าแช่น้ำอยู่อย่างผ่อนคลาย นี่เป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง อาวุโสทั้งสามเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็วและแสดงท่าทีว่าพวกเขาไม่ได้เห็นสิ่งใด แต่ด้วยระดับเฟินเสินจะเป็นไปได้อย่างไรว่าพวกเขามองไม่เห็นสิ่งใดเลย?

ภรรยาจ้าวสำนักตกใจอย่างมากและคิดว่ามีศัตรูบุกรุกจนนางเกือบจะปลดปล่อยดาบบินในมือออกมา แต่ว่าหลังจากนางเห็นเช่นนั้น นางจึงรับรู้ว่าเป็นอาวุโสทั้งสาม นางจึงรีบเก็บดาบบินพร้อมหยุดการโจมตีทันที

จากนั้นภรรยาจ้าวสำนักหัวเราะออกมาอย่างอึดอัดใจพร้อมกล่าวว่า “ทำความเคารพอาวุโสทั้งสาม!”

“เจ้าสุภาพมากเกินไปแล้ว!”

“ไม่ต้องมากพิธีการนัก!”

“เจ้านั่งต่อเถิด พวกเราจะออกไปเอง!” อาวุโสทั้งสามรีบกล่าวพร้อมโบกมือทันที

ความสุภาพเช่นนี้ทำให้ภรรยาจ้าวสำนักรู้สึกตกใจพร้อมคิดกับตนเอง ‘อาวุโสทั้งสามเหตุใดจึงดูเคร่งเครียดเช่นนั้น พวกเขามาเพื่อนำศิษย์อัจฉริยะกลับไปยังสำนักใหญ่แต่ทว่าเหตุใดจึงกระทำการทุกอย่างรวดเร็วเช่นนี้?’

ในขณะที่ภรรยาจ้าวสำนักกำลังมึนงงอยู่นั้น จ้าวสำนักรีบก้าวออกมาพร้อมกล่าวว่า “ภรรยาข้า ชาที่หงหยิงนำมาเมื่อหลายวันก่อนยังอยู่หรือไม่? อาวุโสทั้งสามต้องการมัน!”

“ว่าอะไร!” เมื่อภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น นางรู้สึกไม่พอใจและตำหนิทันที “กับชาที่พิกลพิการเช่นนั้น เจ้าคิดได้เช่นไรว่าจะมอบให้อาวุโสทั้งสาม ข้าได้เตรียมชาพิเศษเอาไว้แล้ว!”

ชัดเจน ว่าภรรยาจ้าวสำนักเข้าใจเจตนาผิด และคิดว่าจ้าวำนักจะมอบชาพิการเช่นนั้นกับอาวุโสทั้งสามจริง เพื่อไม่ให้สามีต้องเสียหน้า นางจึงรีบร้อนกล่าวแก้ไขแทนสามี

แต่นางไม่ได้คาดหวังว่าเหล่าอาวุโสทั้งสามจะตอบกลับก่อนที่นางจะทันได้คิดสิ่งใดต่อ

อาวุโสที่เต็มไปด้วยหนวดเครานั้นกระวนกระวายใจมากที่สุด เขาตะโกนออกมาว่า “ไม่ ไม่ ไม่ พวกเราต้องการชาของหงหยิง!”

เมื่อภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น นางพลันสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นจึงถามออกไปว่า “ชานั่นพิการและมีปราณจิตวิญญาณเพียงน้อยนิด ถึงแม้ว่ามันจะมีรสชาติเป็นเลิศ แต่นี่สามารถใช้สำหรับต้อนรับท่านอาวุโสได้งั้นหรือ?”

“เลิกกล่าววาจาให้มากความ!” อาวุโสคนหนึ่งตะโกนออกมา “รีบนำมันออกมาเร็วเข้า ข้าต้องการมันมากจนข้าจะอึดอัดใจตายอยู่แล้ว!”

เมื่อภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น นางยังคงไม่เข้าใจและกล่าวว่า “แต่ว่า….”

“ภรรยาข้า ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น!” ในขณะนั้นจ้าวสำนักไม่มีทางเลือกและกล่าวแทรกอย่างรวดเร็ว “อาวุโสต้องการชานี้ เจ้าเพียงแค่นำมันออกมา เจ้าจะมาเซ้าซี้สิ่งใดให้มากความอีก?”

เมื่อภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางบูดบึ้งทันที จากนั้นนางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่พอใจนัก “สามี นี่ไม่ใช่ว่าข้าจู้จี้ แต่ว่าข้าไม่สามารถนำมันออกมาได้!”

“ว่าอะไร?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนร้องออกมาพร้อมกัน

“เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถนำมันออกมาได้?” อาวุโสอีกคนกล่าวอย่างกังวลใจ “ใบชาอยู่ที่ใดกัน? เจ้าทำอะไรกับมัน?!”