บทที่****171: เรื่องที่น่าอับอาย

“เรื่องนั้น…” เมื่อภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น นางก้มลงต่ำด้วยใบหน้ารู้สึกผิดพร้อมกล่าวออกมาว่า “แท้จริงแล้ว ใบชาเหล่านั้นอยู่ตรงหน้าของพวกท่าน!”

“ตรงหน้างั้นหรือ? อยู่ไหน?!” พวกเขาทั้งหมดเริ่มมองหามันทันที แต่กลับไม่พบสิ่งใดและมองไปที่ภรรยาจ้าวสำนักอย่างสับสน

ภรรยาจ้าวสำนักเห็นเช่นนั้นนางรู้สึกอับจนหนทางพร้อมกล่าวออกมาว่า “ตรงนี้”

“ว่าอะไร?” ทุกคนจ้องมองไปที่อ่างน้ำอย่างมึนงง

“ใต้อ่างล้างเท้างั้นหรือ ใช่ไหม? เจ้าวางใบชาไว้ตรงนี้หรือ?” อาวุโสกล่าวออกมาด้วยใบหน้าโกรธจัด

“ข้าไม่ได้วางมันไว้ใต้อ่าง แต่ข้าใช้มัน!” ภรรยาจ้าวสำนักตอบอย่างอ่อนแรง เพราะนางรู้สึกไม่ดีกับใบชาเหล่านี้ ดึงนั้นจึงไม่คิดว่าอาวุโสจะเห็นว่ามันสำคัญ นางจึงตอบเช่นนั้นกลับไปอย่างอ่อนโยน

หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น ทุกคนพลันแตกตื่น หลังจากนั้นอาวุโสคนหนึ่งถามออกมาอย่างกระวนกระวาย “เจ้า เจ้าหมายความว่าเจ้าใช้มันเพื่อล้างเท้างั้นหรือ?”

“เรื่องนั้น คือว่าแท้จริงแล้วข้าใช้มันชำระกาย มันช่วยให้ผิวของข้าดีขึ้น” ภรรยาจ้าวสำนักตอบแบบตรงไปตรงมา “นี่เป็นบ้านของข้า ใบชาก็เป็นสิทธิ์ของข้าเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงสามารถใช้มันได้!”

“ให้ตาย!” เมื่อผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินได้ยินเช่นนั้น เส้นเลือดของพวกเขาทั้งหมดปูนออกมาด้วยความโกรธจัดทันที

ทางด้านหงหยิงกับสับสนอย่างหนัก แต่จ้าวสำนักยังอยู่ในท่าทีที่สงบและพยายามกอบกู้สถานการณ์ หลังจากนั้นเขาเกิดความคิดจึงรีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์ลุง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงเป็นชาและสามารถใช้งานมันได้เช่นเดิม!”

อาวุโสทั้งสามอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก น้ำล้างเท้าเป็นสิ่งที่สกปรกอย่างมาก แต่ปัญหาก็คือสภาวะตีบตันของพวกเขาจะไม่หายไปถ้าหากไม่ได้ดื่มมัน อีกไม่กี่ร้อยปีพวกเขาอาจจะหมดเวลาและตายตกไปอย่างไร้ความหมาย ถ้าหากทั้งหมดบรรลุเป้าหมายแน่นอนว่ามันสามารถต่อชีวิตพวกเขาออกไปได้อีกหลายพันปี

แต่พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง ถ้าหากต้องใช้น้ำล้างเท้าเพื่อต่ออายุของตนเอง ทั้งหมดคงกลายเป็นตัวตลกที่ถูกหัวเราะเยาะสนั่นโลกแห่งผู้ฝึกตน! ในขณะนั้นแม้แต่ชื่อเสียงอันงดงามของสำนักเสวียนเทียนก็ต้องหม่นหมองลงไปพร้อมกับพวกเขาเช่นกัน

แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ดื่ม ทั้งหมดจะตาย ถ้าหากว่าดื่มมันก็น่าอับอายเหลือทน กล่าวได้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากอย่างยิ่ง!

สำหรับภรรยาจ้าวสำนักที่ไม่รู้ว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้น นางตกใจพร้อมถามกับสามีตนเองว่า “สามีข้า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดจึงยังเรียกมันว่าชาอีก? นี่เป็นน้ำล้างเท้าไปแล้ว”

“สามีของเจ้ากำลังหมายความว่าให้ข้าซื้อน้ำล้างเท้านี้ในราคาที่สูงอย่างยิ่งและดื่มมันเข้าไป!” อาวุโสตอบกลับด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์

“เรื่องเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” สำหรับภรรยาจ้าวสำนักเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางตกใจพร้อมกล่าวอย่างรวดเร็ว “สามีข้าท่านกำลังล้อเล่นใช่หรือไม่? ท่านคิดจะทำสิ่งใดกัน?”

จ้าวสำนักกระแอมไออย่างเคอะเขินพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขื่นขม “ข้าไม่ได้โง่เขลา ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้แต่มันก็ยังคงมีคุณภาพอยู่แม้ว่าจะกลายเป็นน้ำล้างเท้าไปแล้ว! เชื่อข้า!”

“ว่าอะไร?” ภรรยาจ้าวสำนักมึนงงไปกันใหญ่พร้อมเร่งถามอย่างจริงจัง “สามีข้า ใบชาเหล่านี้คือสิ่งใดกัน เหตุใดผู้อาวุโสจึงมองเห็นความสำคัญของพวกมัน?”

“โอ้ภรรยาข้า เชื่อเถิดว่าเจ้าไม่ได้อยากรู้ ข้าคิดว่าเจ้าไม่รู้จะดีเสียกว่า!” จ้าวสำนักตอบกลับอย่างเคร่งขรึม

แต่ภรรยาจ้าวสำนักกลับไม่ยอมถอยอย่างง่ายดาย นางจะปล่อยให้ตนเองอยู่ในความสับสนได้อย่างไร? ดังนั้นนางจึงถามอย่างจริงจัง “เลิกกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว บอกข้ามาว่ามันคือสิ่งใด!”

“เอ่อ” เมื่อเห็นว่าภรรยาเริ่มมีอารมณ์ จ้าวสำนักไม่กล้าที่จะขัดใจนางพร้อมตอบกลับเบา ๆ “มันคือชาวิถีเต๋า!”

“ชาวิถีเต๋า?” ภรรยาจ้าวสำนักนิ่งงันไปชั่วขณะ “ชาวิถีเต๋างั้นหรือ? อย่าบอกข้านะว่ามันสามารถช่วยให้ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินหลุดพ้นจากสภาวะตีบตันได้?

“ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้น!” จ้าวสำนักพยักหน้าอย่างหมดหนทาง

มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินหรือเฟินเสินเลยว่าเคยพบเห็นมันหรือไม่ มันเป็นเพียงอาวุโสทั้งสามคนนี้มีความมั่งคั่งอย่างยิ่งจึงเคยพบเห็นชาวิถีเต๋า ถ้าหากเป็นผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินคนอื่น พวกเขาจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันคืออะไร ดังนั้นเป็นธรรมดาที่ภรรยาจ้าวสำนักจะไม่รู้จักมัน

แม้ว่านางจะไม่รู้จักมัน แต่ก็ควรจะรู้คุณค่าของมัน เนื่องจากสิ่งเล็กน้อยของมันทำให้เหล่าผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินผ่านพ้นช่วงสภาวะตีบตันได้ ชาวิถีเต๋านั้นมีชื่อเสียงภายในหมู่ของผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิน แน่นอนว่าเหล่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินยังไม่จำเป็นต้องใช้มัน

ในขณะที่ภรรยาจ้าวสำนักได้ยินว่ามันคือสิ่งใด นางรู้ทุกสิ่งชัดแจ้งทันที หลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากสามีตนเอง นางทิ้งตัวลงบนเตียงและเริ่มร้องไห้

เพียงเห็นว่าภรรยาตนเองร้องไห้ จ้าวสำนักตกใจและรีบเข้าปลอบนางทันที นางร้องไห้หนักขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “เลวยิ่งนัก ข้าใช้ชาวิถีเต๋าเพื่อล้างเท้าของตนเอง! อีกทั้งยังใช้มันทั้งหมดในครั้งเดียว! สามีข้า ท่านต้องการที่จะครอบครองสมบัติวิญญาณเสมอ แต่เราก็ไม่เคยทำได้ด้วยเหตุเพราะความมั่งคั่งของเรานั้นน้อยเกินไป แต่ในตอนนี้ข้าใช้สมบัติวิญญาณสองชิ้นเพื่อล้างเท้าของตนเอง! แล้วอย่างนี้ข้าจะเอาใบหน้าที่ไหนมายืนอยู่ตรงหน้าท่านได้อีก!”

“หยุดคิดเสีย เรื่องราวได้ผ่านพ้นไปแล้ว!” แม้จ้าวสำนักจะอยากร้องไห้สักเพียงใด แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะตำหนิภรรยาของตนพร้อมกับรีบปลอบโยนนางก่อน

หงหยิงไม่ต้องการเห็นน้ำตาของมารดาตนเอง นางรีบเดินเข้าไปปลอบทันที “ท่านแม่ ท่านเพียงแค่ล้างเท้าด้วยชาวิถีเต๋างั้นหรือ? นี่ยังไม่มากเท่าใดนัก บุตรของท่านใช้มันเพื่อล้างปากของตนเองทุกคืนและวัน!”

ในขณะที่หงหยิงกล่าวเช่นนั้น ทุกคนในห้องแทบจะเป็นลมตายตกไปพร้อมกัน

เหล่าอาวุโสไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เด็กน้อยเอ๋ย ภรรยาของเจ้าใช้มันเพื่อล้างเท้าอีกทั้งบุตรสาวของเจ้าใช้มันเพื่อล้างปาก น่าภูมิใจยิ่งนัก!”

ใบหน้าของจ้าวสำนักกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้พร้อมกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “ท่านอาจารย์ลุง เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเราไม่รู้ไม่ใช่หรือ? อย่างไรก็ตามมันไร้ประโยชน์ถ้าหากยังคงกล่าวเรื่องเช่นนี้ต่อ แม้ว่าชาหม้อนี้จะสกปรกสักเล็กน้อย แต่คุณภาพยังมันก็ยังคงอยู่ และดีกว่าต้องอดทนอยู่กับสภาวะตีบตันถูกต้องหรือไม่? อย่ากังวลไปเลย ไม่ว่าท่านใดจะซื้อมัน ข้าจะปิดปากให้สนิทเพื่อใครรู้ว่าพวกท่านดื่มน้ำล้างเท้า!”

“ถูกต้อง ถูกต้องแล้ว!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าว “ชาวิถีเต๋าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก แม้ว่าผู้ใดจะกล่าวว่าเราใช้มันล้างเท้าไปแล้วแต่ก็ไม่สมควรมีผู้ใดเชื่อ จริงไหม?”

ในขณะที่ได้ยินภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเช่นนั้น อาวุโสทั้งสามถูกล่อลวงอย่างรวดเร็ว หงหยิงได้อาศัยจังหวะนี้กล่าวเสริมทันที “ถูกต้องแล้ว ถ้าหากท่านคิดว่ารสชาติของมันแย่เกินไป เราสามารถนำมันออกไปตากแดดให้แห้งอีกครั้งก่อนที่จะต้มมันใหม่!”

ในขณะที่หงหยิงกล่าวเช่นนั้น ทุกคนมึนงงและร่ำไห้อยู่ภายในใจ อาวุโสคนหนึ่งอธิบายออกมา “เจ้าคิดว่าชาวิถีเต๋าสามารถกลับคืนสภาพเดิมได้งั้นหรือ? มันเป็นสิ่งที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แม้แต่การเติมน้ำเพิ่มลงไปยังทำให้ใบชาสูญเสียพลังซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรกับขยะ!”

“โอ้ แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้ได้ ถูกต้องหรือไม่?” หงหยิงกล่าวพร้อมกับมองไปที่ขาของตนเอง “พวกท่านต้องการมันหรือไม่ ถ้าหากว่าไม่ต้องการ ข้าจะเก็บมันเพื่อไปขายให้กับผู้อื่น!”

ขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสามได้ยินเช่นนั้น พวกเขามองหน้ากันพร้อมกับขมวดคิ้วและพยักหน้า อาวุโสกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา “ถ้าหากพวกเขาไม่รู้ว่ามันเคยถูกใช้ล้างเท้ามาก่อน แน่นอนว่าพวกเขาจะดื่มมัน แต่ถ้าหากรู้แล้วและยังคงดื่มมันคงจะกลายเป็นตราบาปที่ติดอยู่ภายในหัวใจตลอดไป ถ้าในอนาคตพวกเขาต้องการความคืบหน้า แน่นอนว่าต้องใช้มัน!”

“เป็นเช่นนั้น! ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่มีชะตากรรมร่วมกันกับอ่างล้างเท้านี้ พวกเจ้าควรหาขวดดี ๆ เพื่อบรรจุมันและนำออกไปประมูล! แม้ว่าราคาของมันจะลดลง แต่มากพอที่จะได้รับสมบัติวิญญาณ!” อาวุโสอีกคนกล่าวเสริม

“เป็นเช่นนั้น!” ขณะที่ผู้อาวุโสอีกคนได้ยิน เขาพยักหน้ารับพร้อมกล่าวว่า “พวกเจ้าควรทำเช่นนั้นทันที ในตอนนี้ข้ามีบางสิ่งที่ต้องทำและขอตัวก่อน!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ร่างกายของเขาโปร่งแสงและหายไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าเขาออกไปอย่างกระวนกระวายใจ ทุกคนตกใจพร้อมกับคิดในใจ ‘นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่แห่งนี้ แล้วเขาจะมีธุระกงการอะไรกัน?’

“ช้าก่อน!” ใบหน้าของอาวุโสอีกคนเปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับตะโกนออกมาว่า “จุดที่อ้วนน้อยตั้งแคมป์! เร็วเข้า อย่าให้เขาขโมยมันไป!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็หายตัวไปทันที อาวุโสที่ยืนอยู่คนสุดท้ายไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากตามพวกเขาไป

ความจริงแล้วพวกเขาต้องการเพียงชาหม้อที่เจ้าอ้วนเพิ่งต้มเท่านั้น แต่ในตอนนั้นพวกเขาเพียงสนใจใบชาที่เจ้าอ้วนยังไม่ได้ใช้มากกว่าจึงละเลยหม้อนั้นไป แต่ในตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป ใบชาที่มีถูกเปลี่ยนให้เป็นน้ำล้างเท้า ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง

แม้ว่าเขาจะดื่มมันไปแล้วสองถ้วย แต่มันก็ควรจะเทได้อีกสี่ถึงห้าถ้วย แม้ว่าอาจจะมีการปนเปื้อนสักเล็กน้อยแต่ว่ามันยังคงถือได้ว่าสะอาดอยู่มาก เพื่อที่จะบรรลุความก้าวหน้า การดื่มชาที่สกปรกเพียงเล็กน้อยนั้นไม่ได้สำคัญเลย อย่างน้อยก็ดีกว่าที่จะดื่มชาที่ถูกใช้เป็นน้ำล้างเท้า ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงรีบออกไปอย่างรวดเร็วเพราะเกรงว่าเจ้าอ้วนจะจัดการชาหม้อนั้นหมดเสียก่อน

หลังจากที่เจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งดื่มชา พวกเขาเข้าสู่สภาวะเก็บตัวฝึกฝนคู่ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาตื่นขึ้นมา แม้ว่ายังไม่อาจก้าวหน้าได้ในตอนนี้แต่ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี

หลังจากที่ทั้งสองตื่นขึ้นมา พวกเขาจ้องมองกันด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะกล่าวสิ่งใดสักอย่างแต่กลับถูกขัดขวางโดยอาวุโสทั้งสามคนที่กำลังรีบเข้ามา

เจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งเดิมทีไม่ได้เป็นคนที่ไร้มารยาทและหยาบคายกับอาวุโส พวกเขายืนขึ้นพร้อมทำความเคารพทันที อาวุโสโบกมืออย่างไม่ใส่ใจพิธีการพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เพื่อเก็บตัวฝึกฝนคู่!”

ใบหน้าของเจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วด้วยความอับอาย ผิวหนังของเจ้าอ้วนหนามากจึงทำให้เกิดเพียงสีแดงจาง ๆ เท่านั้น แต่ทว่าฉุ่ยจิ้งจะต้านทานคำพูดเหล่านี้ได้เช่นไร? นางบิดร่างกายไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีและรีบบินจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม

••••••••••••••••••••