ซุนเชี่ยนส่ายหน้า “หลังจากที่เขากลับมาแล้วเล่าเรื่องทั้งหมด ข้ารู้สึกราวกับว่าฟ้าได้ทลายลงมาอย่างนั้น ไม่มีจิตใจจะถามไถ่เขาหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นฝั่งนั้นก็ได้แห่ขบวนเอาคนมาส่ง ชาวบ้านชาวช่องต่างมาแห่มุงดู ใจข้าคิดเพียงอยากจะให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็วที่สุด จึงได้รับรั่วหลานเข้าบ้านทันที ส่วนพี่ชายของเจ้าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมรับ ฝ่ายนั้นยื่นคำขาดว่าหากไม่แสดงความรับผิดชอบก็จะไปแจ้งทางการ ข้าตัดสินใจลงไปด้วยความกลัว จึงรับนางเข้าบ้านและแบ่งห้องให้นางอาศัย”

 

 

“ฝ่ายนั้นเป็นใครที่ใดหรือ มีความสัมพันธ์ใดกับรั่วหลาน”

 

 

ซุนเชี่ยนส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ “ท่านไม่รู้อะไรเลย แล้วรับนางเข้าบ้านได้อย่างไร”

 

 

ซุนเชี่ยนอดไม่ได้จึงสะอื้นออกมาอีกครั้ง “ข้าเองก็จนปัญญา จะให้ยอมให้พี่ชายเจ้าติดคุกหรือ ไม่กลัวชื่อเสียงของตระกูลเมิ่งเสียหายหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า นั่งลงบนเก้าอี้ข้างนาง “ซ้อใหญ่ ผู้ที่อยู่ในแผนมักมองแผนไม่ออกท่านลืมไปแล้วหรือ เหตุใดท่านจึงไม่คิดว่าพี่ใหญ่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง ต่อให้ดื่มหนักเพียงใด ก็ไม่มีทางทำเรื่องนอกลู่นอกทางได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากรั่วหลานเป็นสาวบริสุทธิ์จริง ตอนนั้นนางจะไม่ขัดขืนเลยหรือ หากมองให้ชัดแล้ว นี่ก็เป็นเพียงละครที่สร้างขึ้นมาใส่ร้ายพี่ใหญ่ก็เท่านั้น ท่านทำการค้าขายมาหลายปีแล้ว เล่ห์กลของคนเราก็พบมาไม่น้อย กลับมาตกม้าตายกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

 

 

ซุนเชี่ยนอ้าปากค้าง มองนางอย่างตกใจ สักครู่จึงถามออกไปด้วยความไม่มั่นใจว่า “เจ้าหมายความว่าพี่ของเจ้าไม่เคยแตะต้องนางอย่างนั้นหรือ”

 

 

“เรื่องนั้นก็พูดยากเจ้าค่ะ ต้องดูว่าขณะนั้นพี่ใหญ่เป็นอย่างไร หากเขาถูกวางยาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก็มีโอกาสจะไปทำลายเกียรติของรั่วหลาน แต่หากเพียงแค่ดื่มจนเมาเท่านั้น อย่างนั้นโอกาสที่พี่ใหญ่จะถูกใส่ความก็มีมาก”

 

 

ซุนเชี่ยนลุกขึ้น พูดอย่างร้อนใจว่า “เซี่ยงกงอยู่ด้านนอก ข้าจะเรียกเขาเข้ามาถามไถ่ให้รู้ความ”

 

 

พูดจบ ก็เดินตรงไปยังหน้าประตู ตะโกนออกไปด้านนอกว่า “เซี่ยงกง น้องเล็กมีเรื่องอยากจะถามท่าน”

 

 

ตั้งแต่เกิดเรื่องของรั่วหลานขึ้น ซุนเชี่ยนก็ไม่ได้ขานเขาเช่นนี้อีก เมิ่งเสียนที่นั่งคุกเข่ารู้สึกผิดอยู่ ได้ยินเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ ลุกขึ้นยืนทันที สาวเท้ายาวเดินเข้าไปในห้องทันที

 

 

เมิ่งซื่อจูงมือเส้าเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะอ้าปากถามไถ่ความเป็นมาของเรื่องราว เมิ่งเจี๋ยที่ไปส่งของขวัญวันตรุษจีนที่หลี่จวงกับเมิ่งเอ้ออิ๋นตะโกนอย่างตื่นเต้นพร้อมวิ่งเข้ามาใน

 

 

บริเวณจวน “พี่ใหญ่ กลับมาแล้วหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ยิ้มตอบรับ

 

 

เมิ่งเจี๋ยวิ่งเข้ามาหานางด้วยความรวดเร็ว พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “เมื่อข้าและท่านพ่อเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็บอกว่าท่านและพี่ชายรองกลับมาแล้ว ข้าและท่านพ่อจึงได้รีบกลับมา” เมื่อสิ้นเสียง เมิ่งเอ้ออิ๋นก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

 

“ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างดีใจ

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจเสียยิ่งกว่าเมิ่งเจี๋ย “กลับมาก็ดีแล้ว พ่อและแม่คิดว่าการค้าขายในเมืองหลวงยุ่งมาก จนเจ้าและโยวเอ๋อร์จะไม่ได้กลับบ้านเสียแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “การค้าช่วงก่อนตรุษจีนนั้นยุ่งเสียจนไม่มีเวลาเขียนจดหมายมาถึงที่บ้าน จนทำให้ท่านพ่อและท่านแม่เป็นห่วง”

 

 

เมิ่งเจี๋ยเงยหน้า ถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “พี่โยวเอ๋อร์ พ้นตรุษจีนไปแล้วข้าขอติดตามท่านไปที่เมืองหลวงได้หรือไม่ ท่านอาจารย์ที่สำนักบอกว่าเมืองหลวงทั้งใหญ่ทั้งเจริญหูเจริญตานัก หมู่บ้านชิงซีของพวกเรานั้นหาที่เปรียบไม่ได้เลย ข้าอยากไปเห็นกับตาสักครั้ง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยงลูบหัวของเขา “โรงเรียนในเมืองเริ่มการสอนเมื่อไรหรือ”

 

 

เมิ่งเจี๋ยตอบอย่างรวดเร็วว่า “ต้นเดือนสองขอรับ”

 

 

“อื้ม อย่างนั้นพ้นตรุษจีนแล้ว พี่จะพาเจ้าไปเมืองหลวง” เมิ่งเชี่ยนโยวรับปาก

 

 

เมิ่งเจี๋ยตบมือด้วยความดีใจ

 

 

เมิ่งเส้าเดินก้าวสั้นๆ ออกมาจากห้อง คว้าชายเสื้อของเมิ่งเชี่ยนโยวอ้อนวอนว่า “ท่านอาขอรับ ข้าก็อยากไปเช่นกัน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก้มลงไปอุ้มเขาขึ้นมา “ได้สิ ถึงตอนนั้นอาจะพาเจ้าไปด้วยกัน พวกเราไปกันหมดทั้งครอบครัวเลย”

 

 

เมิ่งเส้าตบมืออย่างดีใจตามแบบเมิ่งเจี๋ย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางเขาลง กล่าวว่า “เส้าเอ๋อร์ ไปเล่นกับอาเจี๋ยของเจ้าก่อน อาและท่านปู่ของเจ้ามีเรื่องจะต้องพูดกัน”

 

 

เมิ่งเส้าพยักหน้าอย่างเข้าใจ

 

 

เมิ่งเจี๋ยรู้ว่าพวกเขามีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกัน จึงจูงเมิ่งเส้าไปเล่นที่ห้องของเขา

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อเห็นดวงตาที่บวมแดงก่ำของซุนเชี่ยน และสีหน้ารู้สึกผิดของเมิ่งเสียนก็เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นความรู้สึกยินดีเมื่อได้พบเมิ่งเชี่ยนโยวในตอนแรกหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถอนหายใจออกมา นั่งลงบนเก้าอี้

 

 

เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนยืนอยู่อีกด้าน

 

 

“พี่ใหญ่ ระหว่างพี่และรั่วหลานเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลองอธิบายมาทีเถิด” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

เมิ่งเสียนมองซุนเชี่ยนด้วยความรู้สึกผิด บอกเล่าความเป็นมาของเรื่องราวด้วยเสียงแผ่วเบา ที่แท้ของที่ผลิตจากโรงงานนั้นล้วนอยู่ในความดูแลของเซี่ยเจียงเฟิงและจูหลาน แต่ช่วงก่อนหน้านี้ร้านอาหารสำเร็จรูปในเมืองของจูก่างเกิดปัญหาขึ้น ถูกบังคับให้ปิดกิจการ กุนเชียง น้ำมันพริกที่ผลิตมาจึงเหลือเป็นจำนวนมาก เมื่อเข้าใกล้ตรุษจีน เมิ่งเสียนอยากจะออกไปหาลูกค้า จึงได้นำของที่กักตุนเอาไว้ออกมาขายจนหมด พอดีกับตอนนั้นมีเถ้าแก่แซ่หลิวจากเมืองชิงเหอบอกว่าตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ อยากจะกว้านซื้อกุนเชียงและน้ำมันพริกจำนวนมากกลับไปขาย แต่ว่าไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่ เมิ่งเสียนจึงไม่กล้าขายให้เขา

 

 

เถ้าแก่ที่แซ่หลิวผู้นั้นจึงได้เชื้อเชิญเขาเข้าเมืองเพื่อไปเยี่ยมชมร้านของเขา หลังจากพิจารณาดูแล้ว จึงพูดว่า “ข้าไม่แย่งกิจการของตระกูลจูหรอก หากพวกเขาเปิดร้านอาหารสำเร็จรูปขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็จะไม่ขายกุนเชียงและน้ำมันพริกเหล่านี้อีกต่อไป”

 

 

เมิ่งเสียนเห็นว่าท่าทางของเขาจริงใจ พูดจาอ่อนน้อม จึงเกิดความสนใจขึ้น และได้นัดหมายวันเวลาที่จะเดินทางไปดูร้านของเขา

 

 

เมื่อถึงวันที่นัดหมาย เมิ่งเสียนเดินทางไปในเมืองผู้เดียว ไปตรวจสอบรอบๆ บริเวณร้านที่เถ้าแก่หลิวได้บอกไว้ สอบถามผู้คนรอบๆ ร้าน ต่างก็บอกว่าร้านนี้เปิดมานานหลายปีแล้ว เถ้าแก่แซ่หลิวจริงๆ

 

 

เมิ่งเสียนไม่สงสัยอะไร เข้าไปที่ร้าน เถ้าแก่หลิวกำลังสั่งให้ลูกน้องจัดวางของอยู่ เมื่อเห็นเมิ่งเสียนเดินเข้ามา จึงได้ตอนรับอย่างยิ้มแย้ม และยังพาเขาเดินชมรอบๆ ร้านอีกด้วย เมื่อเห็นว่าร้านรวงใหญ่โต คนงานก็จำนวนไม่น้อย ผู้คนที่เข้ามาซื้ออาหารสำเร็จรูปก็มีจำนวนมาก เมิ่งเสียนเห็นว่าสามารถทำการค้าด้วยได้ จึงได้บอกเถ้าแก่ไปว่า วันพรุ่งสามารถไปขนสินค้าได้เลย

 

 

เถ้าแก่หลิวดีใจเป็นอย่างมาก คะยั้นคะยอชักชวนให้เมิ่งเสียนไปดื่มเหล้า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของการค้าขาย เมิ่งเสียนปฏิเสธไม่ได้ จึงตอบตกลงไป ครั้งแรกคิดว่าจะไปที่โรงเหล้าใดสักแห่ง ไม่คิดเลยว่าลงจากรถม้ามาแล้วจะพบว่าเป็นบ้านของเถ้าแก่หลิวเอง

 

 

เมิ่งเสียนรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงรีบปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่หลิวจะอัธยาศัยดีมาก คะยั้นคะยอให้เขาเข้าไปในจวนของตน พร้อมกับสั่งคนให้ไปเอาเหล้าอย่างดีมา เมิ่งเสียนจนปัญญา จึงทำได้เพียงดื่มเหล้ากับเขา

 

 

เถ้าแก่หลิวผู้นั้นเป็นคนตรงไปตรงมา เรื่องใดเกี่ยวข้องกับการค้าขายเขาก็ได้พูดออกมาหมด ไม่มีปิดบัง ไม่นานเมิ่งเสียนก็เริ่มคลายความกังวล เริ่มพูดคุยสนุกกับเขา ทั้งสองยิ่งคุยกันก็ยิ่งถูกคอ จนทำให้ดื่มไปมากอย่างไม่รู้ตัว กว่าเมิ่งเสียนจะรู้ตัวว่าดื่มไปมาก ภาพตรงหน้าก็ได้เริ่มหมุนเป็นวงกลมแล้ว แต่เถ้าแก่หลิวกลับไม่เป็นอะไรเลย หัวเราะและพูดว่า “ท่านเมิ่งดื่มหนักไปแล้ว วันนี้ค้างที่บ้านข้าสักคืนเถิด รอวันพรุ่งค่อยกลับบ้าน”

 

 

ต่อให้เมิ่งเสียนอยากจะกลับบ้านก็ไม่มีแรงกลับอยู่ดี จึงปล่อยให้เถ้าแก่หลิวพยุงตนไปไว้ในห้องรับแขก จากนั้นก็กลับสนิทไป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เขารู้สึกว่ามีคนมาถูกตัวเขา แต่ขณะนั้นเขาเองก็ไม่มีสติแล้ว คิดว่าเป็นซุนเชี่ยน จึงได้ทำเรื่องอย่างว่าลงไป เสร็จแล้วก็รู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก จึงได้หลับสนิทในทันที เมื่อตื่นขึ้นจึงได้พบว่าตนเองนอนเปลือยกายอยู่ด้านข้างหญิงแปลกหน้าผู้หนึ่ง ตกใจจนกระโดดออกจากเตียงนอน การกระทำของเขาปลุกให้หญิงที่นอนอยู่ตื่นขึ้น หญิงผู้นั้นกรีดร้องเสียงดัง เถ้าแก่หลิวจึงพาคนบุกเข้ามา เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า จึงโกรธจนแทบลมจับ ชี้หน้าด่าทอเมิ่งเสียนว่า “ข้าคิดว่าท่านเป็นคนดี จึงได้กล้าให้มาดื่มเหล้าและค้างแรมที่นี่ คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะทำเรื่องเช่นนี้ลงไป วันนี้ท่านต้องตอบข้าว่าจะรับผิดชอบเช่นไร ไม่เช่นนั้น ข้าจะไปฟ้องทางการเดี๋ยวนี้”

 

 

ขณะนั้นเมิ่งเสียนงงไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี