หญิงสาวบนเตียงเอาแต่ร้องไห้ ขอร้องแทนเขาว่า “ท่านลุงเขย ข้าได้กลายของท่ายชายเมิ่งไปแล้ว หากท่านไปแจ้งท่านการ ต่อไปข้าจะทำเช่นไร หลานเอ๋อร์ขอร้องท่านล่ะ ปล่อยเขาไปเถิด”

 

 

แม้ว่าเถ้าแก่หลิวจะโกรธเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนึกถึงชื่อเสียงของรั่วหลาน เขาจึงได้กดอารมณ์โกรธลง ถามเมิ่งเสียนด้วยเสียงจริงจังว่า “ท่ายชายเมิ่ง ท่านพูดมาเถิด เรื่องนี้ท่านจะจัดการอย่างไร”

 

 

ในหัวของเมิ่งเสียนมีเพียงความว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

 

 

เมื่อเถ้าแก่หลิวเห็นดังนั้น จึงได้ตัดสินใจแทนเขา “ข้ารู้ว่าท่านมีภรรยาอยู่แล้ว ข้าเองก็ไม่บังคับให้ท่านรับรั่วหลานเป็นภรรยาเอก ท่านกลับไปเตรียมตัวเถิด วันพรุ่งข้าจะส่งรั่วหลานไปเป็นภรรยาน้อยของท่าน”

 

 

เมิ่งเสียนไม่ตอบรับ

 

 

เถ้าแก่หลิวพูดจบ ก็ได้พาคนออกไปจากห้อง โดยไม่ได้ใส่ใจว่าท่าทีของเขาจะเป็นเช่นไร

 

 

เมิ่งเสียนนั่งลงบนเตียงอย่างงุนงง รั่วหลานเปิดผ้าห่มออกเผยให้เมิ่งเสียนเห็นรอยเลือดสีแดงสด กล่าวว่า “เซี่ยงกงเมิ่ง เมื่อคืนข้านำน้ำชามาให้ท่านตามคำสั่งของลุงเขย แต่ก็ถูกท่านครอบครองร่างกายอันบริสุทธิ์ของข้าเพราะฤทธิ์ของมึนเมา รั่วหลานเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอ แม้ว่าจะไม่เต็มใจอย่างไร ก็คงจะต้องอยู่กับท่านไปชั่วชีวิตนี้”

 

 

เมิ่งเสียนลุกขึ้น สวมใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว วิ่งโซเซออกมาจากจวนหลิว กลับมาถึงบ้านอย่างมึนงง เรื่องต่อจากนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้รู้ทั้งหมดแล้ว

 

 

เมื่อฟังคำของเขาจบ ใบหน้าของซุนเชี่ยนซีดเผือดไป เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อกลับถอนหายใจออกมา เมิ่งเสียนก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด ไม่กล้ามองหน้าใครทั้งสิ้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

 

 

ทั้งสี่ตะลึงไป มองไปที่นางพร้อมกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะอยู่นาน จนกระทั่งเมิ่งซื่อทนไม่ไหวจึงได้ดุนางเข้า นางจึงหยุดหัวเราะ และพูดกับทุกคนว่า “พ่อ แม่ พี่ใหญ่ ซ้อ พวกท่านยังไม่รู้อีกหรือ ว่าพี่ใหญ่น่ะถูกคนใส่ความเข้าแล้ว”

 

 

เมื่อรู้ว่านางหัวเราะด้วยเรื่องนี้ เมิ่งซื่อจึงโมโหขึ้น แล้วดุนางไปว่า “พวกเรารู้ดีว่าพี่ของเจ้าถูกใส่ร้าย เพราะว่าหลังจากที่เถ้าแก่หลิวพารั่วหลานมาส่งที่บ้านเรา ก็ไม่เคยมาเหยียบที่นี่อีกเลย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพี่เจ้ากับรั่วหลานเอง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง แล้วเจ้ายังจะหัวเราะออกอีกหรือ”

 

 

“ข้าก็ต้องหัวเราะออกน่ะสิ เพราะข้ารู้ดีว่าพี่ใหญ่ไม่ได้แตะต้องรั่วหลานเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พวกนั้นแสดงขึ้นมาทั้งหมดเพื่อจะใส่ร้ายพี่ใหญ่ เพื่อให้พี่ใหญ่รับรั่วหลานเข้ามาเป็นเมียน้อย ส่วนเรื่องของจุดประสงค์ ก็เพื่อจะทำลายชื่อเสียงของตระกูลเรา แต่ว่า พวกนั้นหายหน้าไปนานเพียงนี้ คาดว่ายังมีแผนต่อจากนี้อีก หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด คงจะรอถึงตรุษจีน ให้เราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้วค่อยมาทำเรื่องที่เราคาดไม่ถึงเป็นแน่” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างอารมณ์ดี

 

 

เมิ่งนางพูดจบ สีหน้าซีดเผือดของซุนเชี่ยนหายไป กลับมามีสีหน้าสดใสดังเดิม ถามอย่างตกตะลึงว่า “น้องเล็ก เจ้าพูดจริงหรือ พี่ชายของเจ้าไม่ได้แตะต้องรั่วหลานจริงหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างแน่ใจ “ไม่มีทางเป็นแน่ แต่ข้ารู้ได้อย่างไรนั้น อีกครู่ข้าจะบอกท่าน”

 

 

เมิ่งเสียนมองนางอย่างรอคอยและมีความหวัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของเขา จึงถามอย่างจงใจว่า “พี่ใหญ่ ท่านคงมิได้ผิดหวังเพราะรู้ว่าไม่ได้ครอบครองรั่วหลานจริงๆ หรอกนะเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งเสียนยกมือปฏิเสธทันที พร้อมส่ายหน้าระรัว “ไม่ ไม่ ไม่ ไม่มีน่ะดีที่สุดแล้ว” พูดจบจึงได้ถามอย่างสงสัยว่า “น้องเล็ก เจ้าพูดจริงหรือ คืนนั้นข้ารู้สึกได้จริงนะว่าข้าได้ทำ…” ประโยคหลังเข้าไม่ได้พูดออกมา แต่คนในห้องกลับเข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร ทั้งห้องจึงได้เงียบไปชั่วขณะ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหัวเราะและพูดว่า “พี่ใหญ่ ท่านไม่เชื่อใครอื่นแต่ยังไม่เชื่อน้องสาวอีกหรือ ข้าเคยหลอกลวงท่านเมื่อใดกัน หากท่านไม่เชื่อข้า รอจนค่ำท่านและซ้อไปทำการทดสอบดูก็รู้แล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ซุนเชี่ยนหน้าแดงขึ้น ใบหน้าของเมิ่งเสียนก็มีสีแดงขึ้นเล็กน้อย 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นสองสามีภรรยามองตากัน เมิ่งซื่อถามอย่างไม่วางใจว่า “โยวเอ๋อร์ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของหญิงสาวเชียวนา เจ้าจะมาพูดมั่วมิได้เด็ดขาด หากเป็นความผิดพลาดของพี่ใหญ่ของเจ้าจริง ตระกูลเมิ่งของเราก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น”

 

 

“ท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวโอบไหล่นาง พูดลากเสียงอย่างออดอ้อนว่า “ข้ารับรองว่า เรื่องนี้เป็นการวางแผนของคนพวกนั้นเป็นแน่ เรื่องเช่นนี้ข้าพบมามากแล้ว ท่านวางใจเถิด ไม่นานข้าจะสืบสาวราวเรื่องจนรู้ความจริงให้ได้ นำความบริสุทธิ์กลับคืนมาให้พี่ใหญ่”

 

 

ในที่สุดเมิ่งเอ้ออิ๋นก็เปิดปากพูด “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ พ่อก็เชื่อเจ้า ตระกูลเมิ่งต้องพึ่งพาเจ้ากู้คืนกลับมา”

 

 

“พวกท่านจงฉลองตรุษจีนอย่างสบายใจได้เลย รอพ้นตรุษจีนแล้ว ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนจนได้”

 

 

คนในครอบครัวรู้จักนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวดี ไม่มีเรื่องใดที่นางเอ่ยปากแล้วทำไม่ได้ เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ เมิ่งเอ้ออิ๋นสองสามีภรรยาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมกัน ใบหน้าเผยรอยยิ้มจริงใจที่ไม่ได้มีมาเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งเดือน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างออดอ้อนเมิ่งซื่อว่า “ท่านแม่ ไม่มีเรื่องแล้ว ท่านและซ้อควรไปทำอาหารให้ข้ากินแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งซื่อถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตนกำลังจะไปเตรียมอาหารให้เมิ่งเชี่ยนโยว แต่กลับเสียเวลาจนถึงบัดนี้ จึงได้รีบสาวเท้าเดินออกไปด้านนอก “จริงด้วยสิ เจ้าคงหิวแย่แล้ว ข้าจะไปเตรียมอาหารให้เจ้าเดี๋ยวนี้ล่ะ”

 

 

ซุนเชี่ยนเองก็ได้เดินตามออกไปด้านนอก พูดว่า “ท่านแม่ ข้าไปช่วยเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนห้ามนาง และพูดกับเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ ท่านไปช่วยท่านแม่ทำอาหารนะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับซ้อเสียหน่อยเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า เดินออกไปด้านนอก

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นยืนขึ้น พูดว่า “ข้าเองก็จะไปช่วยด้วย” และได้เดินตามออกไป

 

 

ซุนเชี่ยนมองอย่างไม่เข้าใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจูงนางเข้าไปในห้องของตนเอง กระซิบข้างหูนาง ซุนเชี่ยนเงยหน้าขึ้น แววตาสว่างขึ้น ถามด้วยเสียงกังวลว่า “น้องเล็ก เจ้าพูดจริงหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า และกระซิบข้างหูนางอีกครั้งว่า “หากซ้อไม่เชื่อข้า ตกดึกท่านก็ไปลองดูได้เจ้าค่ะ”

 

 

ใบหน้าของซุนเชี่ยนแดงขึ้น พยักหน้าเล็กน้อย “ได้ ข้าเชื่อเจ้า ตกดึกข้าจะลองดู หากเป็นดังเจ้าพูดจริง ข้าก็จะไม่เกรงใจหญิงที่ชื่อรั่วหลานนั่นอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเอาไว้ “ยามนี้นางก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยของพี่ใหญ่ หากท่านยื่นมือไปทำร้ายนาง จะทำให้ผู้คนไปพูดลับหลังว่าเป็นความผิดท่านได้ ท่านไม่ต้องใส่ใจหรอก เรื่องนางให้ข้าจัดการดีกว่า ท่านก็ทำเพียงไม่รู้ไม่เห็นใดๆ ทั้งสิ้น”

 

 

ซุนเชี่ยนตอบรับ “ได้สิ ซ้อฟังเชื่อเจ้า”

 

 

“ท่านน่ะ ทำใจให้สบายเถิด ดูแลสุขภาพให้ดี ขุนเอาเนื้อหนังที่ผอมไปในช่วงนี้กลับคืนมา ข้าพูดจริงนะ เมื่อครู่ข้าเห็นท่านทำเอาตกใจแทบแย่ หากไม่ใช่ท่านแม่เล่าเรื่องพี่ใหญ่ให้ข้าฟังก่อนหน้า ข้าคงคิดว่าท่านเป็นโรคร้ายอะไรเสียแล้ว”

 

 

“ตั้งแต่รั่วหลานเข้ามาในบ้าน ครั้งใดที่ข้าเห็นนางก็รู้สึกเจ็บปวด นอนก็นอนไม่หลับ กินก็กินไม่ลง จึงทำให้ผอมลงเช่นนี้ แต่นี่ดีแล้ว พี่ใหญ่ของท่านไม่ได้แตะต้องตัวนาง ใจข้าก็ไม่ทรมานอีก เนื้อหนังที่ผอมไปนั้นไม่นานคงขุนกลับมาได้ดังเดิม”

 

 

เมื่อรู้ว่าเมิ่งเสียนไม่ได้แตะต้องรั่วหลาน อารมณ์ของซุนเชี่ยนก็ดีขึ้นมาไม่น้อย รอยยิ้มก็กลับมาปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง กลับมาพูดเก่งดังเดิม ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันครู่หนึ่ง รอจนเมิ่งซื่อทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อยเรียกพวกนางไปรับประทาน ทั้งสองจึงเดินไปที่ครัว

 

 

อาหารถูกจัดวางเรียบร้อยแล้ว เมิ่งซื่อขานเรียกชิงหลวนและจูหลีที่ยืนอยู่หน้าประตูมาโดยตลอด

 

 

ทั้งสองยกมือปฏิเสธอย่างตกใจ “ฮูหยิน พวกเราเป็นเพียงบ่าวไพร่ ไม่ควรร่วมโต๊ะกับเจ้านายเจ้าค่ะ พวกท่านเชิญรับประทานเถิด รอพวกทานทานเสร็จแล้ว พวกเราค่อยไปกินสองสามคำก็พอเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนเดินออกจากห้อง ได้ยินบทสนทนาของชิงหลวนพอดี จึงพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “บ้านเราไม่มีธรรมเนียมให้คนคอยยืนรับใช้หรอก พวกเจ้ามาร่วมโต๊ะด้วยกันเถิด”