ตอนที่ 170-1 ซุนวั่งมาหาถึงที่บ้าน

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนเดินออกจากห้อง ได้ยินบทสนทนาของชิงหลวนพอดี

 

 

จึงพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “บ้านเราไม่มีธรรมเนียมให้คนคอยยืนรับใช้หรอก พวกเจ้ามาร่วมโต๊ะด้วยกันเถิด”

 

 

ที่จริงแล้วเมื่อครั้งอยู่ที่เมืองหลวงเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีก็ได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับบ่าวอยู่หลายครั้ง แต่เนื่องด้วยมีเพียงพวกเขาเป็นเจ้านาย คนที่เหลือเป็นบ่าวไพร่ทั้งหมด ชิงหลวนและจูหลีไม่รู้สึกอะไร แต่วันนี้ทั้งโต๊ะเป็นเจ้านายทั้งสิ้น มีเพียงเขาทั้งสองเป็นบ่าว จึงรู้สึกไม่เหมาะสม บัดนี้ได้ยินคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วทั้งสองจึงมองหน้ากัน รอจนทุกคนนั่งลงแล้วจึงค่อยนั่งลงอย่างเรียบร้อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับทุกคนว่า “สองคนนี้เป็นสาวใช้ที่พระชายามอบให้ข้ามา ฝีมือการต่อสู้เก่งกาจนัก มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้า”

 

 

เมื่อนางพูดเช่นนี้ เมิ่งซื่อก็ยิ่งยินดี ตักข้าวใส่จานส่งให้สองคนด้วยตัวเอง

 

 

ชิงหลวนและจูหลีตกใจแทบแย่ รีบลุกขึ้นยืน พูดอย่างจริงจังว่า “ฮูหยิน พวกเราทำเองดีกว่าเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งซื่อหัวเราะและพูดว่า “พวกเจ้ากินเยอะๆ นะ จากนี้ไปฝากดูแลโยวเอ๋อร์ด้วย”

 

 

ทั้งสองรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา พูดว่า “เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วเจ้าค่ะ แม้ว่าฮูหยินจะไม่พูด พวกเราก็ต้องเอาความเปลอดภัยของเจ้านายเป็นที่หนึ่งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งซื่อกำลังจะพูดต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวปรามไว้ “ท่านแม่ หากท่านพูดต่อไป สองคนนั้นจะไม่กล้ากินข้าวแล้วนะเจ้าคะ ทำเหมือนว่าสองคนนั้นเป็นคนในครอบครัวเราก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ทั้งสองพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินมองเราเป็นสาวใช้ทั่วไปก็พอเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งซื่อนั่งลง เมิ่งเชี่ยนโยวบอกกับทั้งสองว่า “อยากกินอะไรก็คีบเอานะ ไม่ต้องเกรงใจ”

 

 

ทั้งสองพยักหน้า

 

 

ไม่ได้กินอาหารฝีมือเมิ่งซื่อมานานหลายเดือน เมิ่งเชี่ยนโยวกินแล้วรู้สึกอร่อยกว่าปกติมาก

 

 

เมิ่งซื่อเห็นดังนั้น จึงปลื้มใจไม่น้อย จึงเอาแต่คีบอาหารใส่ในจานของนาง ซุนเชี่ยนเช่นกัน ทำเอาคนเมิ่งเส้าตัวเล็กประท้วงขึ้นมา

 

 

ในบ้านไม่ได้มีบรรยากาศร่าเริงเช่นนี้มานานแล้ว ขนาดเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อก็กินไปไม่ใช่น้อย ส่วนซุนเชี่ยนนั้นไม่ต้องพูดถึง ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอกแล้ว รู้สึกสบายใจยิ่งนัก เจริญอาหารขึ้นมาทันใด ใบหน้าของเมิ่งเสียนเองก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

 

 

มื้ออาหารจบลงด้วยบรรยากาศสุขสันต์ กินจนจุกกันแทบทุกคน เมิ่งเชี่ยนโยวอิ่มกว่าใคร นางยืนขึ้น เดินไปเดินมาในห้องครัว พูดกับเมิ่งซื่ออย่างออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ต้องโทษที่ท่านทำอาหารอร่อยเหลือเกิน ทำเอาข้ากินจนจุกเช่นนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็ปลื้มใจจนยิ้มไม่หุบ กล่าวว่า “กินเยอะๆ น่ะดีแล้ว แม่ว่าเจ้าไปอยู่เมืองหลวงมาซูบผอมไปบ้าง ตรุษจีนนี้แม่จะขุนเจ้าให้กลับมาเป็นดังเดิม”

 

 

คนเป็นแม่คิดเช่นนี้เหมือนกันทั้งโลก ไม่ว่าลูกๆ อยู่ภายนอกจะใช้ชีวิตดีเพียงใด คนเป็นแม่ก็ต่างคิดว่าลูกๆ ต้องอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยและหิวโหย เมื่อกลับมาบ้านแม่ก็จะต้องหาวิธีบอกรักลูกของตนเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกซาบซึ้ง ยิ้มและพูดว่า “เจ้าค่ะ ท่านแม่ทำเท่าไรข้าจะกินให้หมดเลย หากตรุษจีนนี้ไม่อ้วนขึ้นสักห้ากิโลข้าก็ไม่ขอกลับเมืองหลวง”

 

 

เมิ่งซื่อได้ยินดังนั้นก็ดีใจยิ่งนัก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านไปเยี่ยมท่านปู่และย่ากับข้าได้หรือไม่ ข้าไม่ได้ไปเยี่ยมท่านนานแล้ว คิดถึงเหลือเกิน”

 

 

ลูกของตนคิดถึงผู้หลักผู้ใหญ่ เมิ่งเอ้ออิ๋นย่อมรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา จึงพยักหน้าว่า “ได้สิ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อว่า “อี้เซวียนฝากของมาให้ท่านปู่และท่านย่ามากมาย กองอยู่ในห้องเก็บของหมด ฟ้ามืดแล้วจะไปหาลำบาก รอจนวันพรุ่งพวกเราค่อยนำไปให้ท่านปู่และท่านย่าเถิด”

 

 

“เพียงเจ้ามีน้ำจิตรน้ำใจคิดถึงท่าน ต่อให้ไม่นำของไปฝากปู่และย่าก็ต้องดีใจมากเช่นกัน” เมิ่งเอ้ออิ๋นกล่าว

 

 

เมิ่งซื่อพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่น่ะสิ ท่านปู่และท่านย่ามักถามถึงเจ้า บัดนี้เจ้ากลับมาแล้ว ไปเยี่ยมพวกท่าน พวกท่านจะต้องดีใจเป็นแน่”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นลุกขึ้นเดินไปด้านนอก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามไปด้านหลัง เมื่อเดินผ่านซุนเชี่ยนก็ขยิบตาให้นาง ใบหน้าของซุนเชี่ยนแดงระเรื่อขึ้น แต่ก็ยังพยักหน้าเล็กน้อย

 

 

รอจนกระทั่งเก็บกวาดครัวเรียบร้อยแล้ว ซุนเชี่ยนเดินไปตรงหน้าเมิ่งซื่อ พูดด้วยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ คืนนี้ข้ามีเรื่องจะคุยกับเซี่ยงกง ให้เส้าเอ๋อร์นอนกับท่านหนึ่งคืนได้หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

เมิ่งซื่อตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ได้สิ พวกเจ้ามีธุระก็ไปคุยกัน คืนนี้เส้าเอ๋อร์นอนกับข้า”

 

 

แต่เมิ่งเสียนมองซุนเชี่ยนอย่างสงสัย

 

 

เมื่อได้ยินเมิ่งซื่อตอบตกลง ซุนเชี่ยนหน้าแดงขึ้น พร้อมดึงมือเมิ่งเสียนไปยังห้องนอนของตน

 

 

บัดนี้เมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจินอาศัยอยู่ที่บ้านเดิมของอาจารย์โจว หลังจากที่เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากจวนของตนเองไปได้ไม่ไกล เมิ่งฉีก็ได้เดินเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสอง จึงตะโกนเรียกเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “ท่านพ่อ”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบรับ

 

 

“ข้ากำลังจะไปหาท่านที่บ้านพอเลยเชียว ท่านกับน้องจะไปที่ใดหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างยิ้มๆ ว่า “ข้าและท่านพ่อจะไปบ้านท่านปู่ท่านย่า พี่รองไปด้วยกันสิเจ้าคะ”

 

 

ทีแรกเมิ่งเสียนตั้งใจจะถามไถ่เรื่องของเมิ่งเสียนเสียก่อนจึงค่อยไปบ้านใหญ่ แต่เมื่อได้ยินคำของนาง จึงพยักหน้า หันเท้ากลับไป เดินตามทั้งสองไป

 

 

ประตูของบ้านใหญ่ไม่ได้ปิดเอาไว้ ทั้งสามจึงเดินเข้าไป

 

 

เมิ่งอี้และโจวอิ๋งพาหงเอ๋อร์กลับมาแล้ว คนทั้งครอบครัวมีความสุขมาก เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จแล้วก็นั่งรวมตัวกันอยู่ที่ห้องของเมิ่งจงจวี่ เมื่อได้ยินเสียงเท้าคนในบริเวณบ้าน ภรรยาเมิ่งต้าจินจึงเดินออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นว่าเป็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยว จึงพูดอย่างดีใจว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ น้องชายรองพาโยวเอ๋อร์และฉีเอ๋อร์มาแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เสียงดีใจของท่านย่าที่อยู่ในห้องดังขึ้น “โยวเอ๋อร์หรือลูก เข้ามาหาย่าเร็ว”

 

 

ภรรยาของเมิ่งต้าจินเปิดม่านประตูให้ทั้งสามเข้ามา

 

 

“ท่านป้าเจ้าขา/ขอรับ” เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีตะโกนพร้อมกัน

 

 

ภรรยาของเมิ่งต้าจินยิ้มรับ

 

 

ทั้งสามเดินเข้าไปในห้อง ท่านย่านั่งอยู่บนคั่ง[1]ที่อบอุ่น กวักมือให้เมิ่งเชี่ยนโยว “มา มาหาย่าเร็วลูก”

 

 

สามีภรรยาเมิ่งต้าจิน เมิ่งเสียวเถี่ย สามีภรรยาเมิ่งอี้ก็อยู่พร้อมหน้า หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวทักทายทุกคนแล้ว จึงได้เดินไปนั่งข้างกายท่านย่า

 

 

ท่านย่าจับมือนางขึ้นมาชั่งความหนักอยู่นานสองนาน จนกระทั่งพูดออกมาว่า “อื้ม ไม่ได้ผอมลงไป”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ “ท่านย่าเจ้าคะ ข้ามีบ้านในเมืองหลวง กินดีอยู่ดี เรื่องการค้าขายก็เป็นของถนัดของพี่รองและพี่เมิ่งอี้ ไม่ต้องให้ข้ากังวลใจเลยแม้แต่น้อย ข้าจะผอมได้อย่างไรเจ้าคะ”

 

 

ท่านย่าตบมือของนาง พูดว่า “อย่างนั้นก็ดีแล้ว เป็นครั้งแรกที่เจ้าจากบ้านไปนานเช่นนี้ ย่ากับแม่ของเจ้าเป็นห่วงแทบแย่”

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินอยู่ด้านข้าง จึงพูดไปว่า “โยวเอ๋อร์เก่งเพียงใดพวกเรารู้กันดี ข้าบอกกับท่านและน้องสะไภ้แต่แรกแล้วว่ามิต้องเป็นห่วงดอก”

 

 

“จะพูดอย่างนั้นก็ใช่ แต่นางอยู่ที่นั่นไม่มีคนคอยดูแล พวกเราจะวางใจได้อย่างไรกัน หากเมื่อไรนางแต่งงานกับอี้เซวียนแล้ว มีครอบครัวอยู่ที่เมืองหลวงจริงๆ พวกเราจึงจะวางใจไปได้มาก” เมื่อผู้เป็นย่ากล่าวถึงเรื่องงานแต่งของนาง เมิ่งต้าจินจึงได้ถามไปว่า “นั่นสิ โยวเอ๋อร์ เจ้าและอี้เซวียนจะแต่งงานกันเมื่อใด”

 

 

ทุกคนมองนางอย่างรอคอย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดีว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้นคำถามเช่นนี้ จึงยิ้มและตอบว่า “อี้เซวียนเพิ่งยกเลิกการหมั้นหมายกับคุณหนูแห่งจวนราชเลขา หากพวกเราจะตกลงเรื่องการหมั้นหมายในยามนี้ก็คงไม่เหมาะสมเท่าใด รอให้ผ่านไปสักระยะเถิด ส่วนเรื่องแต่งงานนั้น อี้เซวียนยังเด็ก ข้าคิดว่าอยากรอสักสองปีค่อยคิดเจ้าค่ะ”

 

 

“ไม่ได้!” ปู่ย่าและพ่อปฏิเสธพร้อมกัน “เจ้าย่างเข้าสิบเก้าปีแล้วนา อีกสองปีก็ยี่สิบกว่าแล้ว ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด! เจ้ากลับไปบอกอี้เซวียน อย่างช้าที่สุด ภายในปีนี้จะต้องจัดการเรื่องหมั้นหมายให้เรียบร้อย”

 

 

เมิ่งฉีทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขาเล็กน้อย ยิ้มตอบรับว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะท่านย่า ข้ากลับไปแล้วจะนำคำของท่านไปบอกกับเขา” พูดจบ ก็พูดต่อว่า “อี้เซวียนฝากของมาให้ครอบครัวเราไม่น้อย แต่เวลาดึกมากแล้ว ข้าจึงไม่ได้นำมาด้วย รอจนวันพรุ่งพวกเราจะเอามาให้นะเจ้าคะ”

 

 

“อี้เซวียนสบายดีใช่หรือไม่ เหตุใดจึงไม่กลับมากับเจ้าเล่า” ผู้เป็นย่าถาม

 

 

ไม่ต้องรอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ เมิ่งจงจวี่จึงตำหนิว่า “ท่านแม่หนาท่านแม่ ไม่รู้ก็อย่าพูดไปเรื่อยสิขอรับ บัดนี้อี้เซวียนเป็นถึงซื่อจื่อเชียวนะ จะออกจากเมืองหลวงตามใจตนได้อย่างไรกัน”

 

 

ผู้เป็นย่าเติบโตที่ชนบทห่างความเจริญ ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้จริงๆ เมื่อได้ยินคำของเมิ่งจงจวี่จึงไม่ได้โต้แย้ง และไม่ได้นึกโกรธ ยังคงพร่ำสั่งเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ต่อให้เป็นซื่อจื่อก็เถอะ จะไม่ให้เกียรติพวกเราไม่ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพร้อมหัวเราะ

 

 

คนทั้งครอบครัวต่างพูดคุยเล่นกันอยู่ครู่ใหญ่ เวลาล่วงเลยไปจนดึก ทั้งสามจึงขอตัวกลับบ้าน

 

 

 

 

 

 

[1] คั่ง เตียงคั่ง หมายถึงเตียงหรือแท่นที่ก่อด้วยอิฐ ด้านล่างมีปล่องเตาเพื่อจุดให้ความอบอุ่น ด้านบนจะปูด้วยฟูกหรือเบาะรองนั่ง