เยี่ยโยวเหยาก้มหน้ามองซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมแขน แววตาที่เต็มไปด้วยไฟราคะถูกปกปิดไว้ในส่วนลึก สีหน้าแสดงออกอย่างยอมจำนน
“คงไม่ใช่คำโกหกอันใด อาจเป็นเพราะชนเผ่าไป๋ทำอั้นหรานเซียวหุนสูญหาย”
ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก
อย่างไรเสีย ตำนานเรื่องที่ชนเผ่าไป๋ได้รับบัญชาจากเทพเจ้าให้มาพิทักษ์อั้นหรานเซียวหุน ไม่ใช่คนในยุคนี้ที่ปั้นแต่งขึ้นมา แต่เป็นเรื่องที่เล่าขานมานานนับพันปีแล้ว
ดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยาทอประกายผิดปกติ ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ บุคคลผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังการปรุงยาพิษของชนเผ่าไป๋ คือผู้ใด? ”
ซูจิ่นซีพลันรู้สึกถึงลางร้าย ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ของเยี่ยโยวเหยา บุคคลผู้มีอำนาจนี้ต้องเป็นคนที่นางรู้จัก ทั้งยังรู้จักดีอีกด้วย
แววตาของซูจิ่นซีปรากฏความนิ่งขรึม ราวกับคิดอันใดขึ้นมาได้ และสงสัยถึงคนบางคน ทว่านางยังไม่เชื่อและต้องการฟังความจริงทั้งหมดจากปากของเยี่ยโยวเหยาเท่านั้น
“เป็นผู้ใด? ”
เยี่ยโยวเหยาวางหน้าผากลงบนศีรษะของซูจิ่นซี พลางถูไถเส้นผมของนางไปมาด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ เขาสูดลมหายใจลึก เสียงทุ้มต่ำลากยาวเป็นเวลานานภายในห้องที่เงียบสงัด
“สำนักโอสถสกุลจง ผู้รับผิดชอบหลักที่ร่วมมือปรุงยากับชนเผ่าไป๋ในปีนั้นคือ เจ้าสำนักโอสถสกุลจง จงซูอี้ ในปีนั้น ข้าเกือบสังหารเขาได้ แต่เขากลับหลบหนีไป”
แม้ภายในใจของซูจิ่นซีจะพอคาดเดาได้ถึงเบาะแสบางอย่าง ทว่าเมื่อได้ยินจากปากของเยี่ยโยวเหยา นางก็ยังตกตะลึง
หากพูดว่าสำนักโอสถสกุลจงเริ่มสนใจค้นคว้าเรื่องพิษมานานหลายปีแล้ว เช่นนั้น สารพิษภายในถ้ำของดินแดนต้องห้ามสกุลจง ก็ไม่ทำให้ประหลาดใจเท่าไรนัก
น้ำเสียงของซูจิ่นซีบ่งบอกถึงความเสียใจและสูญเสีย
“หากตรึกตรองให้ดี สกุลจงนับได้ว่าเป็นสายเลือดของสำนักแพทย์เทียนอี เวลานี้สกุลจงแบ่งออกเป็นสองสำนักคือ สำนักโอสถและสำนักแพทย์ ทว่ามองย้อนกลับไปร้อยกว่าปีที่ผ่านมา พวกเขาล้วนมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ทั้งสกุลจงยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเหอ อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าสำนักโอสถที่เป็นอันดับหนึ่งในวงการแพทย์ กลับอยู่เบื้องหลังการสมคบคิดกับแคว้นไหวเจียง และลอบทำเรื่องที่น่ารังเกียจลับหลังผู้อื่นเช่นนี้”
เหล่าสารพิษในดินแดนต้องห้ามสกุลจง ระบบถอนพิษได้ตรวจสอบและวิเคราะห์ส่วนประกอบสารพิษออกมาแล้วว่า มันมีแหล่งที่มาเดียวกันกับสารพิษของแคว้นไหวเจียง นอกจากนั้น ศพพิษยังเป็นสิ่งที่คนจากแคว้นไหวเจียงพัฒนาขึ้นมา
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ที่เมืองเจียงหลิงในตอนนั้น ยาพิษที่ชนเผ่าไป๋กับสำนักโอสถสกุลจงร่วมกันพัฒนาขึ้นมา ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับแคว้นไหวเจียงแน่นอน
ทั้งสองนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็นึกอันใดขึ้นมาได้ นางลังเลครู่หนึ่ง ทว่ายังคงพูดออกมา
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดว่าอั้นหรานเซียวหุนที่ท่านให้หม่อมฉันศึกษา ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับแคว้นไหวเจียงแน่นอนเพคะ”
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ยังต้องตรวจสอบอีกหรือ?
นางครอบครองอั้นหรานเซียวหุนมานาน ทว่าไม่มีอันใดคืบหน้าแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าตรวจสอบอันใดพบบ้าง หากต้องตรวจสอบกันจริงๆ เกรงว่าต้องไปเยือนแคว้นไหวเจียงเท่านั้น
น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยายังคงทอดยาว “พักเรื่องนี้ก่อนเถิด! อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าก็เร็วต้องสืบเรื่องนี้ให้รู้แน่ชัด ข้าเชื่อใจเจ้า”
แม้อั้นหรานเซียวหุนจะมีความเกี่ยวข้องกับสุสานจิ่นอีโหว และเกี่ยวข้องกับการยึดครองใต้หล้าเพื่อรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง
ทว่าเยี่ยโยวเหยาเคยพูดไว้แล้วว่า หากเขาต้องการยึดครองใต้หล้าเพื่อรวบรวมแผ่นดิน เขาไม่มีทางใช้สิ่งของที่ดูเลื่อนลอยไร้ตัวตน
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่เขายังยึดติดอยู่กับอั้นหรานเซียวหุน และต้องการให้ซูจิ่นซีสืบหาความจริงออกมาให้ได้ เป็นเพราะพระบิดาและพระมารดาของเขาสิ้นพระชนม์ด้วยอั้นหรานเซียวหุน
นี่คือความยึดติดของคนในยุคก่อน ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาและพระมารดาของเขา ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร จะต้องสืบให้รู้ความจริง
ทั้งสองพูดคุยกันราวกับมีเรื่องราวให้พูดไม่หมด
ไม่รู้เพราะเหตุใด ซูจิ่นซีรู้สึกว่าเยี่ยโยวเหยาต้องการพูดเรื่องบางอย่างกับนาง ทว่าไม่ยอมพูดออกมา
ในเมื่อเปิดอกคุยกันแล้ว ซูจิ่นซีก็ไม่คิดปกปิดสิ่งใดกับเยี่ยโยวเหยาอีก
“ท่านอ่อง ท่านยังมีเรื่องที่ต้องการพูดกับหม่อมอีกหรือไม่เพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาหันคางไปทางลำคอของซูจิ่นซี และสูดหายใจเข้าลึกๆ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากพูด
“ที่เมืองเจียงหลิงในตอนนั้น สารพิษที่ชนเผ่าไป๋กับสำนักโอสถสกุลจงพัฒนาขึ้นมา ไม่ใช่พิษธรรมดา แม้จะมีคนสามารถจัดการกับพิษชนิดนั้นได้ ภายในระยะเวลาอันสั้นจึงไม่ทิ้งเบาะแสอันใดไว้ ทว่าหลังจากที่ข้าทราบข่าว ข้าก็รีบจัดเตรียมขุนพลผีจากเมืองหลวงมายังเมืองเจียงหลิง อย่างไรก็ตาม เวลาเพียงไม่กี่วัน เมื่อข้ามาถึงเมืองเจียงหลิง ที่แห่งนั้นก็ถูกเก็บกวาดเสียสะอาดหมดจด ราวกับไม่เคยเกิดโรคระบาดมาก่อน หากข้าไม่ได้ส่งหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องข่าวกรองของวิหารวิญญาณมาตรวจสอบล่วงหน้า คงเข้าใจคนเหล่านั้นผิดเป็นแน่ เนื่องจากไม่มีอันใดเกิดขึ้นในสถานที่แห่งนั้น”
เยี่ยโยวเหยาหยุดพูดชั่วครู่ เขาจับมือทั้งสองของซูจิ่นซีแน่น
“วิธีการที่รวดเร็วฉับไว ทั้งยังเก็บกวาดได้สะอาดหมดจดเช่นนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่ทำได้ แม้แต่คนในแคว้นไหวเจียงก็มีน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ในตอนนั้นรีบเร่งอย่างมาก คนของแคว้นไหวเจียงที่มีความสามารถระดับนั้นล้วนเป็นชนชั้นสูงที่มีทักษะด้านพิษระดับสุดยอด พวกเขาไม่มีทางมาที่ดินแดนเล็กๆ อย่างเมืองเจียงหลิง คนที่ราชสำนักส่งไปบรรเทาภัยพิบัติที่เมืองเจียงหลิงคือ กลุ่มคนก่อนหน้าที่ข้าจะไปถึงเมืองเจียงหลิง”
ประโยคท่อนสุดท้าย เยี่ยโยวเหยาพยายามพูดเสียงเบา เพราะเกรงว่าจะทำให้ซูจิ่นซีตกใจ
อย่างไรก็ตาม แม้น้ำเสียงของเขาจะฟังดูแผ่วเบาและทอดยาว ทว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงความหนักเบาของเนื้อความได้
หัวใจของซูจิ่นซีเต้นแรง ราวกับมีบางสิ่งกระแทกเข้าอย่างจัง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่อาจสงบลงได้
คำพูดประโยคแรกของเยี่ยโยวเหยา เห็นได้ชัดว่าเบาะแสเหล่านั้น คนของแคว้นไหวเจียงไม่มีทางกระทำได้
ส่วนสกุลจง… ซูจิ่นซีรู้ดีที่สุด พวกเขาไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น
มีเพียง ‘ไส้ศึก’ ที่ราชสำนักส่งไปบรรเทาโรคระบาดในตอนนั้น
แม้คำว่า ‘ไส้ศึก’ จะฟังดูไม่ดีนัก ทว่าสถานการณ์ในตอนนั้น บุคคลดังกล่าวปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ คนที่คอยช่วยเหลือชนเผ่าไป๋และสกุลจงจัดการเบาะแสทั้งหมดก่อนที่เยี่ยโยวเหยาจะมาถึง ต้องเป็น ‘ไส้ศึก’ อย่างแน่นอน
นอกจากนั้น รายชื่อกลุ่มคนที่ไปช่วยเหลือบรรเทาโรคระบาด ราชสำนักแคว้นจงหนิงเป็นผู้ส่งไป พวกเขาล้วนเป็นคนในราชสำนัก เป็นคนในสำนักหมอหลวง และเป็นหมอฝีมือดีที่คัดเลือกมาจากกลุ่มชาวบ้าน
วิชาแพทย์ของพวกเขาอยู่ในระดับธรรมดา มีความสามารถเพียงรักษาโรคทั่วไปเท่านั้น แม้จะเป็นภัยพิบัติ ก็ทำได้เพียงควบคุมโรคระบาด หรือช่วยหมอจัดการเรื่องจิปาถะทั่วไป
ในบรรดากลุ่มคนเหล่านั้น หมอที่มีความสามารถมากที่สุดคือ มารดาของซูจิ่นซี หรือในตอนนั้นคือ อนุกู้แห่งสกุลซู
กล่าวได้ว่า ผู้ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็น ‘ไส้ศึก’ มีเพียงนางผู้เดียว
เนื่องจากนางเป็นผู้บรรเทาโรคระบาดในตอนนั้น หากต้องการกำจัดเบาะแสทั้งหมด ย่อมมีนางเพียงผู้เดียวที่สามารถทำได้
ร่างของซูจิ่นซีแข็งทื่อ สันหลังตั้งตรง นางนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พยายามคิดหาทางแก้ต่างให้มารดาตนเอง
“ยังมีคนอื่นอีกหรือไม่ หรือในกลุ่มคนเหล่านั้นยังมีหมอฝีมือดีที่ในตอนนั้นไม่ได้เปิดเผยตัวตน จึงไม่สามารถสืบพบได้ หรือเป็นคนของชนเผ่าไป๋ ชนเผ่าไป๋เป็นกลุ่มคนที่มีความลึกลับมหัศจรรย์ ทั้งยังสืบทอดวิชามาจากสมัยโบราณ ภายในชนเผ่าอาจมีความลับบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ก็เป็นได้นะเพคะ”
หลังจากพูดจบ ภายในใจของซูจิ่นซีพลันรู้สึกประหม่า นางเฝ้ารอฟังคำตอบจากเยี่ยโยวเหยาด้วยใจจดจ่อ
ทว่าไม่มีคำตอบ!
รออยู่นานก็ไม่มีคำตอบ
เยี่ยโยวเหยายังคงนิ่งเงียบ ไม่พูดอันใด
นางเริ่มหลอกตนเอง
เยี่ยโยวเหยาเป็นใคร?
เขาสามารถอธิบายกับนางอย่างตรงไปตรงมาว่า มารดาของนางที่อยู่ในเหตุการณ์บรรเทาภัยพิบัติ มีความเป็นไปได้ว่าจะช่วยเหลือศัตรู แน่นอนว่าไม่ใช่การพูดจาเลื่อนลอยไร้เหตุผล หรือพูดสนุกปาก
ภายใต้สถานการณ์ในตอนนั้น เขาย่อมเข้มงวดต่อหลักฐานและการพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่างๆ มากกว่านางหลายเท่า
ดังนั้น ก่อนที่เขาจะพูดอันใด เขาต้องตรวจสอบมาอย่างชัดเจนแล้วแน่นอน ไม่เพียงตรวจสอบเท่านั้น เขายังสืบค้นเกี่ยวกับคนที่พัวพันกับเหตุการณ์ในตอนนั้นอย่างละเอียดอีกด้วย
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ ร่างของซูจิ่นซีก็ยิ่งแข็งทื่อ ไม่รู้ว่านางควรเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างไร
เยี่ยโยวเหยาราวกับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของซูจิ่นซีในตอนนี้ เขาจงใจพูดเพื่อบรรเทาความกังวลในจิตใจของนาง
“หากตอนนั้นชนเผ่าไป๋มีความสามารถเช่นนั้นจริง พวกเขาไม่มีทางร่วมมือกับสกุลจง ยิ่งไม่มีทางร่วมมือกับแคว้นไหวเจียง”
สาเหตุที่ชนเผ่าสูงศักดิ์ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าในตำนาน ยอมลดตัวลงมาร่วมมือกับผู้คน มีอยู่เหตุผลเดียวคือ ฐานะของพวกเขาไม่สูงส่งมากนัก