บทที่ 475 ถ้าเขาแต่งงานใหม่กับเธออีกครั้ง

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

“และ ตอนนั้นฉันเป็นคนโทรไปจริงๆค่ะ ฉันแอบชอบคุณมานานหลายปีขนาดนั้น จนในที่สุดก็ได้คบกับคุณมันดีใจจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ฉันตื่นเต้นมากจนถึงขั้นดีใจจนยากจะบรรยายได้ เพราะมันยากเกินจะควบคุมความรู้สึกได้จึงโทรหาเธอ แต่เป็นเพียงการพูดคุยสองสามประโยคเท่านั้น ฉันไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นกับเธอ ถ้าฉันรู้ ฉันจะไม่โทรไปเด็ดขาด ไม่โทรไปอย่างแน่นอน”

เมื่อมองไปยังดวงตาของเขา เรนนี่ก็สะอึกสะอื้นพูดอีกครั้ง“แม้ว่าฉันจะมีความผิด แต่เธอนั้นก็มีความผิดมากกว่านะคะ เป็นเธอเองที่พูดว่าตัวเองเป็นคนฆ่าลูก เธอเป็นคนยอมรับเอง นอกจากการโทรครั้งนั้น ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยนะคะ และฉันไม่อยากให้แท้งลูก นั้นเป็นลูกคุณนะ แต่คุณกลับทำแบบนี้กับฉัน มันไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ”

หัสดินกวาดมองใบหน้าที่ยังบวมแดงด้วยรอยฝ่ามือ และแขนพันผ้าก็อต หัสดินพูดเพียง “ไปพักผ่อนเถอะ”

เรนนี่ยังคงจ้องมองเขา โดยไม่พูดอะไร แล้วเดินเข้าห้องน้ำอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง

ในใจเธอรู้อย่างชัดเจน ว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว

มันจบลงแล้วจริงๆ แถมหัสดินก็ให้อภัยเธอด้วย แต่ความจริงแล้ว มีเรื่องราวบางอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว

ก่อนหน้านี้ หัสดินเกลียดเรนนี่เข้าไส้ แต่ในตอนนี้ความเกลียดชังเหล่านั้นหายไปหมดแล้ว สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือความรู้สึกอย่างอื่น

วินาทีนี้เรนนี่กำลังรู้สึกโชคดี รู้สึกยังดีที่ตอนนั้นตัวเองไม่มีความคิดที่จะฆ่าลูกของยู่ยี่ ไม่งั้นตอนนี้คงไม่มีทางรอดได้แน่นอน

ที่ทำให้หัสดินรับรู้ความจริงเกี่ยวกับการสูญเสียเด็กนั้น ที่จริงแล้วในใจเธอรู้สึกไม่พอใจ

ไม่พอใจเลยสักนิด และไม่พอใจถึงขีดสุด

ในห้องโถง หัสดินนั่งอยู่ที่นั่น ถือโทรศัพท์ไว้ ภายในใจของเขาเกิดความรู้สึกที่รุนแรงบางอย่าง นั่นคืออยากโทรหายู่ยี่

หลังจากรับสายแล้ว แม้ว่ายู่ยี่จะดุจะด่าว่าเขาแรงแค่ไหน เขาก็ยอม

มือลูบโทรศัพท์ไปมา จากนั้น หัสดินก็โทรหายู่ยี่ แต่ในวินาทีต่อมา ก็มีเสียงแจ้งเตือนว่ากำลังปิดเครื่อง

เขาไม่รู้ว่าโทรศัพท์ของยู่ยี่นั้นหายไปแล้ว เมื่อได้ยินว่าปิดเครื่อง ก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก จึงโยนโทรศัพท์ไปที่บนโซฟา แล้วเดินออกไป ด้านนอกห้อง

เรนนี่เดินออกมา ภายในห้อง ไม่มีใครอยู่ จึงนั่งลงบนโซฟา ทันใดนั้นก็รู้สึกนั่งไม่สบายเหมือนมีอะไรอยู่ใต้บั้นท้าย

ยกตัวขึ้นเล็กน้อย เธอเอื้อมมือ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วเปิดเครื่อง ก็พบว่าสายที่โทรออกคือยู่ยี่

เมื่อกี้ ในช่วงที่เธอไปห้องน้ำ เขาโทรหายู่ยี่อีกแล้วเหรอ

เรนนี่อารมณ์เสียอีกแล้ว ชีวิตแบบนี้ เธอไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน

แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่า หลังจากรู้ความจริงเรื่องการแท้งลูกของยู่ยี่แล้ว หัสดินจะโกรธมากเพียงนี้ได้ ถ้าหากให้หัสดินรู้ว่าเรื่องนั้นที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะกลอุบายของเธออีก ผลที่ตามมา…….

เธอกำโทรศัพท์ไว้ และยืนอยู่ที่นั่น ผ่านไปครู่หนึ่ง หัสดินก็เดินเข้ามา เรนนี่ยังคงอยู่ในท่านั้นไม่เปลี่ยน

สำหรับการเรื่องการเปิดโทรศัพท์ดูโดยไม่ขออนุญาตเช่นนี้ หัสดินไม่ชอบเลยสักนิด แถมยังรู้สึกไม่พอใจ ดังนั้นจึงลดเสียงลง “ คุณกำลังทำอะไรอยู่”

“แล้วคุณกำลังทำอะไรคะ โทรหายู่ยี่” เรนนี่หน้าอกตัวเอง และหายใจเข้าลึกๆ

“ผมไม่เคยชอบให้ใครมาแตะของส่วนตัวของผม” หัสดินลดเสียงลงหลายระดับ

เมื่อทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เรนนี่จึงขว้างโทรศัพท์ลงบนพื้น ต่อหน้าเขา แม้ว่าโทรศัพท์จะมีคุณภาพดี แต่ก็ไม่สามารถทนต่อหินอ่อนที่แข็งแรงได้ จึงแตกเป็นเสี่ยงๆ

เรนนี่ยกมือขึ้น“ฉันที่ได้รับความเจ็บปวดเช่นนี้ มันเป็นอะไรกันแน่”

ที่แรก เธออยากเอาใจใส่ให้มากกว่านี้ เพื่อทำให้เขารู้สึกผิด เธออดทนการตบนั้นไว้ และพูดเช่นนั้น แต่เขาแค่หันตัวก็กลับไปโทรหายู่ยี่ เธอจะทนได้อย่างไร

“เรนนี่” ในที่สุดหัสดินก็รู้สึกโมโห ที่เธอกลับโยนโทรศัพท์ของเขาตามอำเภอใจ

เรนนี่หยิบกระเป๋าขึ้น แล้วเดินออกจากห้อง ตอนที่ลงไปข้างล่างได้เดินชน จนชฎารัตน์เกือบตกบันไดลงมา

ชฎารัตน์รู้สึกว่า ลูกสะใภ้คนนี้เริ่มไม่มีมารยาทมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ระหว่างเรนนี่กับหัสดิน

หัสดินก็เดินลงไปข้างล่างด้วย ตั้งใจจะซื้อโทรศัพท์ใหม่ สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก มีความมัวหมองเล็กน้อย

เมื่อก่อนเขากับยู่ยี่ไม่ใช่ไม่เคยทะเลาะกัน ก็เคยอารมณ์เสียใส่กัน แต่ไม่เคยขัดแย้งรุนแรงเช่นนี้ ส่วนหลายครั้งก่อนทำการหย่านั้นคือข้อยกเว้นที่ไม่นับ

ยู่ยี่โกรธมากสุด ก็แค่พูดอย่างเย็นชา และประชดประชัน ไม่เคยขว้างของมาก่อน และไม่เคยอารมณ์เสียมั่วซั่ว

แต่เรนนี่กลับขว้างโทรศัพท์ด้วยความโมโห เขาไม่คิดเลย ว่าเธอจะโมโหร้ายเช่นนี้

……

เฮทเคเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง แต่ยู่ยี่ไม่ชอบความหรูหราเช่นนี้ เธอก็ยังคงชอบเมืองS

ฉันทัชค่อยๆก้าวเข้ามา ด้วยท่าทีอ่อนโยน “ผมให้ของขวัญคุณ”

ยู่ยี่รู้สึกดีใจ “กระเป๋าสตางค์”

กระเป๋าสตางค์สีส้ม เรียบ หรู กว้าง สวยงามมาก

เมื่อเธอเปิดกระเป๋าสตางค์ออก ข้างในกลับเต็มไปด้วยเงิน เธอรู้สึกประหลาดใจ จึงเลิกคิ้วมองเขา

ฉันทัชกัดริมฝีปากเบาๆ น้ำเสียงเซ็กซี่“ให้กระเป๋าสตางค์ ก็ให้กระเป๋าสตางค์เปล่าๆไม่ได้ ดูสิ น่าจะยังมีเซอร์ไพรส์อีกนะ……”

ยู่ยี่กำลังยิ้ม มีเงินมากมาย เธอพยักหน้าเล็กน้อย มีหลายพัน มีใครให้กระเป๋าสตางค์แบบเขาเช่นนี้บ้าง

ข้างในยังมีโทรศัพท์อีกด้วย

“สิ่งที่ฉันขาด คุณก็นึกถึงแล้ว ฉันยังสามารถทำอะไรได้อีก” ยู่ยี่ถอนหายใจเบาๆ

“เพลิดเพลิน แล้วก็เพลิดเพลินอย่างเงียบๆ เพลิดเพลินไปกับความรักที่ผมมีต่อเธอ และความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณ ขอเพียงเช่นนี้ ผมก็มีความสุขทั้งกายและใจแล้ว……”

ยู่ยี่หรี่ตา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูด “งั้นก็ดีค่ะ ฉันจะเพลิดเพลินกับมันอย่างดีเลยค่ะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คุณฉันทัชจะเป็นพี่เลี้ยงเต็มตัวของฉันแล้วนะคะ เพราะอะไรก็ทำให้ฉันหมดแล้ว”

ยิ้มเบาๆ เขาบีบติ่งหูของเธอเบาๆ เธออดที่จะคันกับเช่นนี้ไม่ได้ จึงหัวเราะคิกคักออกมา

ทั้งสองผ่านช่วงเช้าไปอย่างแสนสุข และทานบุฟเฟ่ต์ในห้องอาหาร หลังจากนั้นฉันทัชก็ไปที่บริษัท เขาต้องจัดการกับการประชุมวันนี้ จึงบอกกับเธอ ว่าอีกสองชั่วโมงถึงจะเสร็จ ให้เธอไปรอที่โรงแรม

ยู่ยี่รู้สึกว่าเบื่อมาก แถม เธอก็เป็นผู้ใหญ่ที่โตขนาดนี้ด้วย อยู่ที่เฮทเค ยังสามารถหายได้ด้วยเหรอ

เธอนั่งรถเมล์ ไปที่ต่างๆในเฮทเควนไปวนมา เธอจะลงจากรถเมื่อพบสถานที่ดึงดูดเธอ จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์อีกครั้ง ใช้วิธีเช่นนี้ จนสามารถไปเที่ยวต่างๆในเฮทเคได้เยอะพอสมควร

เมื่อระหว่างทางที่ผ่านไป เธอก็ได้ยินคนข้างหลังสองสามคนเมาท์กัน ว่า “การที่คฤหาสน์ตระกูลหฤทัยไพรุณสร้างขึ้นในสถานที่แบบนี้ มันสวยงามจริงๆ”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เป็นถึงตระกูลชั้นนำที่ติดท็อปสามในเฮทเค สถานที่พักจะแย่ได้อย่างไง มันสวยมากจริงๆ ไม่รู้ว่าข้างในจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“……”

เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ เธอจึงหันไปมอง ที่นอกหน้าต่าง ใหญ่มาก สวยมาก และมีความลึกลับที่อธิบายไม่ได้

มองผ่านรั้วเหล็ก จะเห็นอย่างชัดเจนเสาสีแดงเรียงกันเป็นแถว ที่ค้ำยันวิลล่าอันโอ่อ่า และทรงมีอำนาจนี้ไว้ ภายในยังมีน้ำพุ เผยให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่อลังการ

ยู่ยี่เลิกมอง แล้วนึกถึงพ่อแม่ของเขา สีหน้าและแววตาของเธอก็สลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับหัสดินแล้ว เขาถึงจะเป็นลูกหลานวงศ์ตระกูลที่มีชื่อเสียงใหญ่โตอย่างแท้จริง

เมื่อมองดูแล้วระหว่างเธอกับเขา มันช่างดูแตกต่าง และดูห่างกันมาก เหมือนกับสองโลกที่แบ่งขอบเขตอย่างชัดเจน และเมฆกับโคลนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ฉันทัชกำลังเตรียมตัวรีบกลับไปที่โรงแรม ทันใดนั้นเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณแม่ธันยวีร์ ว่าเอวาเป็นลมกะทันหัน และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

เขาเปลี่ยนทิศทางทันที รีบไปโรงพยาบาล ตลอดทาง ได้ขับรถด้วยความเร็วสูง โดยไม่หยุดพัก

ยังคงอยู่ในห้องฉุกเฉิน คุณพ่อธนพงษ์ คุณแม่ธันยวีร์ และอาคิระ ล้วนอยู่ที่นั่น

ขณะที่ทานอาหารเช้า จู่ๆเอวาก็หมดสติไป จากนั้นก็เร่งรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

เมื่อเดินไปที่มุมห้อง ฉันทัชก็โทรหายู่ยี่ แล้วบอกความจริงว่าเอวาเป็นลม เขาอยู่ในโรงพยาบาล อาจจะกลับดึกหน่อย

ยู่ยี่กล่าวว่าไม่เป็นไร เธอกำลังไปเดินเล่น เธอชอบที่เขาพูดตรงๆแบบนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็พูดไปตามความเป็นจริง

สิ่งนี้แหละที่จะทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกไว้วางใจ ไม่คาดเดา และสงสัยไปเอง

การช่วยเหลือใช้เวลานาน เมื่อประตูห้องผ่าตัดเปิดออก ทุกคนก็รีบเข้าไปถาม เกี่ยวกับอาการป่วย

แพทย์กล่าวว่าแม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว แต่อาการของผู้ป่วยนั้นรุนแรงมาก ต้องทำการตัดสินใจให้เร็วที่สุด หากยังชักช้าเเบบนี้ อาการก็จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ และยากที่จะแก้ไขได้

สายตาทุกคนมองไปที่ฉันทัชพร้อมกัน และแสดงจุดประสงค์ออกมาอย่างชัดเจน

ฉันทัชมองออกอยู่แล้ว ดวงตาลึกของเขาหรี่ลงเล็กน้อย “ทำไมทุกคนมองผมแบบนี้”

“เอวาเชื่อฟังแกมากที่สุด ฉันทัช ” ประโยคนี้เป็นคุณแม่ธันยวีร์ที่พูด

“แต่ก็มีบางครั้งที่เธอไม่ฟังความคิดเห็นของผม อย่างครั้งนี้……”

“เพราะฉะนั้น พวกเราต้องการให้แกเกลี้ยกล่อมให้เธอรับเคมีบำบัด และรับการผ่าตัด”

ฉันทัชถอนหายใจเบา ๆ และพูด “ผมกำลังพยายามทำอยู่ แต่พวกคุณกลับมากดดันผม……”

คุณพ่อธนพงษ์ เริ่มพูด “ เพียงแค่แกยอมตกลง ทำตามเงื่อนไขบางอย่างของเอวาได้ ฉันคิดว่า เรื่องนี้ก็คงไม่ยาก ”

“ใช่ ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูด……” เขาพูด “เงื่อนไขของเอวา อะไรที่รับปากได้ผมก็จะรับปาก แต่ถ้าไม่สามารถรับปากได้ ผมก็จะไม่รับปาก”

คำพูดนี้บอกความหมายอย่างชัดเจน ว่าการรับปากของเขามีขีดจำกัด และมีความอดทน

ทุกคนยืนกรานต่อไม่ไหว และในตอนนี้เอวาก็เคลื่อนย้ายออกมา ไปยังห้องผู้ป่วย

“วันนี้ในเมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว งั้นเรามาคุยหารือกันต่อเถอะ พูดอีกครั้ง ว่ามีบางเรื่องผมจะไม่รับปากเด็ดขาด”

สีหน้าคุณพ่อธนพงษ์มีความโกรธปรากฏขึ้น “ถ้างั้น ที่แกคบกับผู้หญิงคนนั้น พวกเราจะไม่เห็นด้วยเด็ดขาด”

“ไม่เห็นด้วยเด็ดขาดเหรอครับ”ฉันทัชย้อนถามกลับเบาๆ

“ใช่ ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด พวกเรายอมรับแค่เอวาคนเดียว” คุณพ่อธนพงษ์พูดอีกครั้ง

“ได้ พวกเรากลับไปค่อยคุยกันอย่างละเอียดนะครับ ที่นี่คือโรงพยาบาล ไม่เหมาะสำหรับการพูดคุย” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินเข้าไปที่ห้องผู้ป่วย

เอวาตื่นขึ้นมาแล้ว อาคิระอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก สีหน้าจึงดูแย่มาก จึงทำให้เอ่ยด้วยความหงุดหงิด “เอวาวันนี้เธอบอกฉันให้ชัดเจนสิ ว่าต้องทำยังไงแกถึงจะยอมรับเคมีบำบัด”

“ฉันไม่ยอมรับ” เธอตอบอย่างไม่ลังเลเล็กสักนิด

สายตาอาคิระจ้องไปที่ฉันทัช จากนั้นก็หันมามองที่ร่างเอวา “ถ้าเขายอมแต่งงานใหม่อีกครั้งล่ะ”