บทที่ 476 ความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้น

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ตาขยับเล็กน้อย เอวาหวั่นไหวได้สองวินาที เวลาสั้นมาก แต่หวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัดเจน จากนั้นเธอก็ส่ายหัว “ก็ยังไม่”

“ฉันเห็นแกหวั่นไหว” เมื่อกี้อาคิระจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตา ไม่พลาดแม้แต่สีหน้าเดียวของเธอ

เอวาไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับพูดเช่นนี้ “ปฏิกิริยาของฉันไม่ได้หวั่นไหว แต่เป็นการแปลกใจ ประหลาดใจกับแต่งงานใหม่ที่พี่พูดเท่านั้นเอง ฉันเหนื่อยมากแล้ว ปัญหาเช่นนี้อย่าพูดขึ้นมาอีก ขอนอนพักสัก”

ฉันทัชไม่ได้ออกไป ยังอยู่ในห้องผู้ป่วย หลังจากที่ทั้งสามคนจากไป เขาและเอวาก็เริ่มพูดคุยกัน

เอวานั้นแน่วแน่มาก ยังคงไม่ยอมรับเคมีบำบัด ร่างกายของตัวเองเธอย่อมชัดเจนกว่าคนอื่น ว่าชีวิตดุจไฟใกล้มอดดับ ทำไมจะต้องทรมานอีกด้วย

จนสุดท้าย เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมา โทรหาอาคิระ “อาการป่วยของฉันจะหาวิธีเอง ฉันไม่ต้องการเข้าไปร่วมข้องเกี่ยว หรือถึงแม้ว่าพี่จะให้ฉันแต่งงานกับเขา ฉันก็ไม่มีวันเห็นด้วย ฉันขอเตือนว่าอย่าเสียแรงเปล่าๆเลย และอย่าทำอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกเบื่ออีก หนี้บุญคุณที่ตระกูลหฤทัยไพรุณติดไว้ได้ชดใช้ให้หมดแล้ว พี่ก็อย่าใช้กลวิธีแบบนี้เพื่อกดดันตระกูลหฤทัยไพรุณอีก โอเคนะ ฉันวางสายแล้ว”

“คำพูดของเขาคุณไม่ต้องไปสนใจ พูดตามตรงนะ เขาแค่จับจุดเรื่องที่พวกคุณเป็นหนี้บุญคุณตระกูลอนันต์ธชัย เขาเลยกดขี่คุณแบบนี้ ความจริงเรื่องที่เครื่องบินตกในตอนนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ และไม่มีใครรู้ว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้น ใช้ประโยคเดียวพูดคือที่จริงแล้วชีวิตพ่อแม่ฉันไม่ดีเอง ท่านยมราชต้องการให้คุณตายในยามจื่อใครกล้ารั้งคุณไว้ถึงยามอิ๋น ชีวิตพวกเขาไม่ดีเอง แล้วจะโทษใครได้ล่ะ นั่งเครื่องบินมาหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เคยเกิดเรื่อง มีเพียงครั้งนั้น ที่จริงโชคชะตามันกำหนดไว้แล้ว ฉันกลับปลงเข้าใจโลกนะ…….” เอวาพูดอย่าเชื่องช้า แต่กลับเป็นความจริง

ฉันทัชยื่นน้ำอุ่นให้เธอ ให้เธอชุบคอเล็กน้อย “งั้นบอกผมสิ ว่าเหตุผลที่คุณยืนกรานที่จะไม่ทำเคมีบำบัด”

“ฉันรู้ร่างกายของฉันดี ว่ามันไม่ทนไม่ไหวต่อเคมีบำบัดแม้แต่ครั้งเดียว ฉันคาดการณ์ ได้ และมีลางสังหรณ์ ในเวลาเช่นนี้ฉันเลยถือโอกาสวางแผนจะออกไปเที่ยวที่อื่น และชมทิวทัศน์รอบๆคนเดียว ฉันไม่ได้กำลังประชด และไม่ได้กำลังบังคับใคร ฉันจริงจังมากนะ”

“บางทีเคมีบำบัดอาจทำให้คุณได้รับการเซอร์ไพรส์อย่างไม่คาดคิด……”

เอวายิ้ม ไม่พูดอะไรอีก ไอเบาๆ สีหน้าซีด

ฉันทัชคิดว่าจะกลับไปที่โรงแรม หลังจากโทรไปหาถึงรู้ ว่าเธอออกไปเที่ยวเล่นคนเดียว ไม่ได้อยู่ในโรงแรม หลังจากกำชับเธอสองสามประโยค เขาก็กลับไปคฤหาสน์ตระกูลหฤทัยไพรุณ

คุณแม่ธันยวีร์นั่งอยู่ที่บนโซฟา เมื่อได้ยินเสียง เธอก็หันกลับไป ก็เห็นเท้ายาวฉันทัชก้าวเดินเข้ามายังในมือยังถือกุญแจรถอยู่ โดยเดินตรงมาหาเธอ เมื่อยืนนิ่งตรง“แม่ครับ พวกเราคุยกันนะครับ”

พยักหน้า คุณแม่ธันยวีร์เรียกคุณพ่อธนพงษ์มาด้วย ทั้งสามไปที่ห้องสมุด สำหรับเรื่องนี้ ระหว่างพวกเขาควรจะพูดคุยกันจริงๆ

“สิ่งที่พ่อแม่คิดในใจมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนครับ เธอ ผมปล่อยไปไม่ได้ ผมรักเธอ และผมต้องการเธอเท่านั้น” เขาแสดงความมั่นใจออกมา

คุณพ่อธนพงษ์โกรธจนต้องดื่มน้ำตลอด อายุป่านแล้ว ยังจะคำนึงถึงการรักๆใคร่ๆอีก

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็แสดงความคิดเห็นของเราด้วย แกกับเธอ ไม่มีทางเป็นไปได้ และพวกเราก็จะไม่ยอมรับเธอด้วย” การแสดงออกของคุณพ่อธนพงษ์ก็หนักแน่นเช่นกัน

ใบหน้าที่หล่อเหลาของฉันทันไม่ค่อยมีความรู้สึกแสดงออกมามากนัก แต่มันก็สลดลงไปไม่น้อย “คนที่พ่อแม่ไม่ยอมรับไม่ได้มีเพียงแค่เธอนี่ครับ ……”

คำพูดนี้ซ่อนไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง คนอื่นอาจไม่เข้าใจความหมายของมัน แต่สีหน้าคุณพ่อธนพงษ์และคุณแม่ธันยวีร์ ได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ปีนี้ผมก็อายุสามสิบกว่าแล้ว และก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปแล้วนะครับ แต่ถ้าพ่อแม่ยอมรับเธอไม่ได้จริงๆ สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือทำเหมือนเมื่อก่อน……”

สีหน้าคุณพ่อธนพงษ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง“แกกำลังข่มขู่พวกเรา”

“เปล่าครับ มันเป็นเพียงพูดไปตามความเป็นจริงไปตรงๆเท่านั้นครับ หลายปีมานี้ผมไม่เคยพูดถึงมันมาตลอด พ่อแม่แค่รู้สึกผิดต่อตระกูลอนันต์ธชัย แต่พ่อแม่ไม่รู้สึกผิดกับผมบ้างเหรอครับ

“ฉันทัช” คุณแม่ธันยวีร์ลุกขึ้นยืน

“ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ เธอจะตายได้อย่างไร” เสียงต่ำของฉันทัชแฝงด้วยความสงสัย คิ้วขมวดด้วยความเข้มงวด

เธอ ที่พูดถึงคือภรรยาคนแรก ดาหวัน

คุณแม่ธันยวีร์ตัวสั่นเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร

คุณพ่อธนพงษ์ดื่มน้ำ แต่ก็ไม่พูดอะไร ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบ

ที่จริงแล้ว การตายของดาหวันในตอนแรกนั้น พวกเขาสองมีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ และสามารถพูดได้ว่าทั้งสองมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบมากด้วย

ในวันที่ดาหวันเสียชีวิตนั้น ได้พบกับการปล้นจนทำให้เสียชีวิต แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด

ตอนนั้น ทั้งสองแอบไปจดทะเบียนสมรสโดยที่พ่อแม่ของกันและกันไม่รู้ หลังจากที่คุณแม่ธันยวีร์กับคุณพ่อธนพงษ์รู้เข้า ก็ไม่ให้อภัย และไม่ยอมรับด้วย

ในตอนแรกคุณท่านก็ไม่ค่อยชอบดาหวันมากนัก เขาถึงกลับปล่อยไม่ขอยุ่งเกี่ยว จนถึงขั้นรังเกียจด้วยซ้ำ

ดังนั้น จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทุกคนเริ่มแย่ลง จนไม่มีวิธีอยู่ด้วยกันได้

ในคฤหาสน์ตระกูลหฤทัยไพรุณ จนทำให้พวกเขาทั้งสองคนไม่สามารถอยู่ต่อไปได้อีก

ตอนนั้นฉันทัชยังเด็ก และมีความเลือดร้อน จึงพาดาหวันออกจากคฤหาสน์ตระกูลหฤทัยไพรุณ

คุณพ่อธนพงษ์กับคุณแม่ธันยวีร์ ยังคงกีดขวางเช่นเดิม ในเวลานั้น ฉันทัชยังไม่มีธุรกิจการงานเป็นของตัวเอง และยังเด็กเกินไป

เพราะถูกกีดขวางทุกๆอย่าง แต่ไม่ยอมก้มหน้าให้ ฉันทัชจึงต้องหาเลี้ยงชีพ ในช่วงนั้น โดยเขาทำงานพาร์ทไทม์เป็นจำนวนมาก

จากพิธีกรจนถึงนายแบบ แต่พวกเขาก็ยังกีดขวางไม่เลิก จึงทำให้ต้องไปทำงานก่อสร้าง และเริ่มทำงานใช้แรงงาน ยกปูนซีเมนต์ และทำงานใช้แรงงาน

อย่างไรก็ตามเขาก็ยังเป็นลูกชายคนเดียวของตัวเอง ดังนั้นคุณแม่ธันยวีร์จะทนได้อย่างไร ในวันนั้น เธอนำเงินจำนวนมาก ไปที่ห้องเช่าชั่วคราวของทั้งสอง

จุดประสงค์ในการไปนั้นชัดเจนมาก ว่าต้องการให้ดาหวันจากไปซะ เงินพวกนี้คือให้เธอ สำหรับดาหวัน เธอไม่เคยพูดอะไรร้ายกาจเลย แถมยังอ่อนโยนมากด้วย

ดาหวันไม่ยินยอม และหนักแน่นเป็นอย่างมาก คุณแม่ธันยวีร์ไม่ได้หยิบเงินกลับไปด้วย แล้วพูด ให้เวลาเธอหนึ่งวัน ให้เธอคิดไตร่ตรองให้ดี เงินจะวางไว้ที่นี่

คุณแม่ธันยวีร์จากไป คืนนั้นมีเรื่องหลายสิ่งหลายในสถานที่ก่อสร้าง จึงทำให้ฉันทัชไม่สามารถกลับมาได้

จากนั้น ร่างที่เต็มไปด้วยความเป็นผู้ดีของคุณแม่ธันยวีร์พร้อมกับผู้ช่วยที่ถือกระเป๋าไว้ ก็ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ยากจนและล้าหลังเช่นนั้น แน่นอนมันดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้อย่างมาก

คืนนั้นแถมฝนก็ยังตก เวลาประมาณห้าทุ่มกว่า ชายผู้หนึ่งได้ปีนหน้าต่างเข้ามาเดินเข้า ขโมยกระเป๋าไป แต่เมื่อเห็นดาหวันที่ยังสาวและสวย จึงเกิดอารมณ์หื่นขึ้น

ดังนั้น ใช้โอกาสนี้ ชายคนนั้นจึงทำการบังคับขืนใจดาหวัน จากนั้นก็แทงจนตาย และลากไปซ่อนที่พุ่มหญ้าบริเวณใกล้เคียง

ร่างกายเธอเปลือยเปล่า ไม่ได้ใส่อะไรไว้ ภายในห้องเต็มไปด้วยเลือด มากมาย และแดงมาก คราบเลือดจากพุ่มหญ้าถูกฝนชะล้างออกไป……

พบร่างเธอ หลังล่วงเลยไปแล้วหนึ่งวัน สถานการณ์ในตอนนั้น ช่างโหดร้ายจนไม่สามารถทำให้คนทนมองได้เป็นครั้งที่สอง…..

มันช่างน่าเวทนา และโหดร้ายมาก มันทำให้คนรู้สึกขนลุกซู่ และเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก

เหตุการณ์เช่นนั้น คุณพ่อธนพงษ์กับคุณแม่ธันยวีร์ก็ได้เห็นมันแล้วเช่นกัน

หลังจากที่พบในวันนั้น ฉันทัชก็ป้องกันที่เกิดเหตุไว้ จากนั้นจึงโทรหาคุณพ่อธนพงษ์กับคุณแม่ธันยวีร์ทันที

ทำไมต้องมีการป้องกันที่เกิดเหตุ

ทำไมแค่อนุญาตให้ดาหวันสวมเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ไม่อนุญาตให้เคลื่อนย้ายร่างของเธอ

นั่นเป็นเพราะ สถานการณ์อันน่าสลดในตอนนั้น ฉันทัชจงใจเหลือไว้ให้คุณพ่ออติวิชญ์และคุณแม่ธันยวีร์ดู

เพื่อให้พวกเขาจะได้เห็นสถานการณ์อันน่าสลดใจด้วยตาของพวกเขาเอง และให้พวกเขาจำฝังใจไว้