บทที่ 477 ทุกคนล้วนมีความลับที่ไม่อยากจะเปิดเผย

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ฝนตกหนัก เขาถือร่ม กันฝนให้ร่างที่ไร้วิญญาณของดาหวันไว้ โดยตัวเขายืนอยู่ข้างกายเธอ

ตอนที่พาดาหวันออกไป ตัวเธอยังคงมีกลิ่นซากหมู จุดประสงค์ที่ชายนั้นเอาหมูวางไว้ข้างเธอนั้นชัดเจนมาก

ซากสัตว์จะเน่า ส่งกลิ่นเหม็น เพื่อใช้กลิ่นซากหมู่กลบกลิ่นเน่าของซากศพ

เพียงแต่ สำหรับใครก็ตาม สถานการณ์เช่นนั้นมีแต่จะทำให้คนคลื่นไส้จนอยากจะอ้วกออกมา

นับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น เขาก็ไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลหฤทัยไพรุณอีก และตั้งแต่นั้นมา เขาก็เริ่มมุ่งพัฒนาการงานอย่างเดียว

เมื่อตอนวัยรุ่น มักจะมีความอวดดีและเลือดร้อน จึงพาดาหวันออกจากคฤหาสน์ตระกูลหฤทัยไพรุณไป จนไม่สามารถให้สภาพแวดล้อมที่ดีแก่เธอได้ และไม่สามารถปกป้องเธอให้ดีได้ นั่นคือความเจ็บปวดที่ติดอยู่ในใจของฉันทัชมาตลอด

เมื่อเวลาผ่านไป แม้ว่าบาดแผลนั้นจะค่อยๆสมาน ตกสะเก็ด และหลุดออก แต่กลับมีรอยอดีตที่ไม่สามารถลบออกได้…….

หลายปีนั้น ไม่เคยกลับไปคฤหาสน์ตระกูลหฤทัยไพรุณเลย สำหรับพ่อแม่นั้น ก็เกิดความเกลียดชัง รู้สึกไม่สามารถให้อภัยและไม่สามารถทนได้ ชีวิตแบบนี้ดำเนินไปได้สี่ปี ไม่ได้ติดต่อ และไม่ได้พบหน้า จนถึงคุณแม่ธันยวีร์ป่วยเพราะความคิดถึง จนต้องเข้าโรงพยาบาล รับการผ่าตัด เขาถึงจะโผล่หน้ามา และความสัมพันธ์ถึงจะได้รับการแก้ไข……

“เหตุการณ์นั้น ตอนนี้ก็ผ่านมาได้สิบกว่าแล้ว ในช่วงสิบปีมานี้ ผมว่าพ่อกับแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าในด้านความคิดหรือว่าตระหนักคิดได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย……” ฉันทัชขยับริมฝีปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “แต่ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และไม่ใช่ฉันทัชในวัยยี่สิบกว่าแล้ว ตอนนี้ผมมีความสามารถ และมีกำลังที่จะต่อสู้แย่งชิงในสิ่งที่ต้องการ เพื่อปกป้องเธอให้ดี ไม่ว่าพายุฝนจะโหมกระหน่ำ ก็ไม่สามารถทำให้เธอเปียกหรือทำอะไรเธอได้……”

คุณพ่อธนพงษ์ยังคงดื่มน้ำ ด้วยสีหน้ามัวหมองอย่างชัดเจน

“พ่อกับแม่ก็อายุมากแล้ว ในวัยนี้แล้วอย่ากลุ้มใจมากเลย แค่เพลิดเพลินกับวัยชราก็พอ ส่วนเรื่องของเอวา ผมจะรับผิดชอบเอง แต่จะใช้วิธีไหน พ่อกับแม่ไม่ต้องสงสัย……” เขาพูด ด้วยท่าทีจริงจังเป็นอย่างมาก “เธอเป็นผู้หญิงที่ผมเลือก ผู้หญิงคนเดียวที่ผมเลือกแล้วหลังจากสิบกว่าปีที่ผ่านมา และเธอก็จะเป็นภรรยาของผมในอนาคตด้วย และจะเป็นคนเดินเคียงข้างผมในช่วงเวลาต่อจากนี้จนถึงวาระสุดท้าย ถ้าพ่อกับแม่ต้องการเหตุการณ์เช่นเดิมกลับมาฉายซ้ำอีกรอบ ก็สามารถเลือกยืนกรานทำต่อไปได้ ผมหวังว่พ่อกับแม่จะไม่ทำการตัดสินใจที่ทำให้ผมผิดหวัง ที่จะพูดก็พูดหมดแล้ว……”

หลังจากพูดจบในสิ่งที่ควรพูดแล้ว ฉันทัชก็จากไป เขาไปที่ร้านขายดอกไม้ เลือกดอกลิลลี่ช่อหนึ่ง ไปที่สุสาน

รูปถ่ายบนป้ายหลุมศพ ดาหวันยิ้มอย่างอ่อนโยน เผยให้เห็นความงามที่อ่อนโยน ดูเป็นสาวที่หวานและสวยงาม

แก้มของเธอขาวใส ราวกับหยกที่แวววาว ไม่มีใครคิดถึงได้เลยว่าผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ถึงแก่กรรมได้อย่างไร

เมื่อเทียบกับยู่ยี่แล้ว พวกเธอไม่เหมือนกันเลย

ดาหวันเป็นคนประเภทอ่อนหวาน และขี้อายเล็กน้อย แต่เมื่อยู่ยี่เทียบกับเธอแล้ว กลับเป็นคนที่เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ และเปิดเผยมากกว่า เมื่อพูดถึงนิสัย ทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงไม่มีเงาของใครอยู่ในร่างของใครอย่างแน่นอน

ดอกลิลลี่ถูกวางไว้ที่หน้าหลุมฝังศพ ฉันทัชร่างสูงยาว จากนั้นก็นั่งลงที่หน้าหลุมฝังศพ ดวงตาลึกของเขาเหม่อ และล่องลอย

หลายปีที่ผ่านมานี้ กลับฝันถึงเธอน้อยลงไปเรื่อยๆ ไม่เท่าปีแรกๆ ทุกวันทุกคืนจะนึกถึงแต่เหตุการณ์ที่น่าสลดของเธอ

ในช่วงเวลานั้น เขาแทบจะนอนไม่หลับเลย

เรื่องของเธอ เขาไม่ชอบเล่าให้คนอื่นฟัง เพียงเพราะ การตายของเธอมันน่าเศร้าเหลือเกิน เขาทนไม่ได้และไม่อยากที่จะพูดถึงมัน

รูปถ่าย และเหตุการณ์ในตอนนั้น ถูกระงับไว้ทั้งหมด และไม่มีการนำเสนอออกไป

คุณแม่ธันยวีร์พูดออกมาก่อน น้ำตารื้นกลิ้งไหลออกมา “ฉันทัชตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันไม่ควรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และตอนนี้ฉันไม่ควรส่งเงินไปให้ดาหวัน……”

เธอเป็นคนใจอ่อน ทนดูลูกชายที่เลี้ยงดูอย่างประคบประหงมตั้งแต่เล็กจนโตไปทำงานลำบากไม่ได้ ตากแดดจนดำเหมือนถ่านหิน จึงได้ส่งเงินไป มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดแต่กลับสร้างโศกนาฏกรรม

เมื่อได้ยินเช่นนี้ คุณพ่อธนพงษ์ก็โอบกอดเธอ และถอนหายใจยาวๆเบาๆ “ช่างเถอะ ช่างเถอะ แค่ลูกชายแท้ๆคนเดียวเอง ปล่อยเขาไปเถอะ”

“ฉันไม่ต้องการให้เหตุการณ์นั้นย้อนกลับมาเกิดซ้ำอีก ในวัยนี้แล้วไม่อยากทะเลาะกับลูกชายจนออกไปอีก คนที่เป็นหนี้บุญคุณตระกูลอนันต์ธชัยคือพวกเรา ไม่ใช่ฉันทัช” คุณแม่ธันยวีร์กล่าวต่อ “ฉันไม่อยากทะเลาะกับเขาจนเหมือนคนแปลกหน้า สี่ปีในครั้งนั้นก็เพียงพอแล้ว ความรู้สึกนั้น มันเจ็บปวดมากกว่าการเป็นศัตรูอีก…..”

“ได้ งั้นก็ปล่อยเขาไปเถอะ ต่อไปเรื่องของเขา เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก” สำหรับดาหวันแล้ว คุณพ่อธนพงษ์ก็มีความรู้สึกผิด

ตอนนั้น ฉันทันเก็บศพและเหตุการณ์เช่นนี้นไว้ เพื่อจงใจให้พวกเขาเห็นโดยเฉพาะ มันจะลืมได้อย่างไร

ในสุสาน ฉันทัชอยู่เป็นเวลานาน เขาไม่สนใจว่าชุดสูทราคาแพงจะเปื้อนดินเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่นั่งเงียบๆอยู่ที่นั่น

หลังจากนั้นผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง เขาถึงจะลุกขึ้นและจากไป สุสานของดาหวัน ฉันทัชจะมาทุกปี ซึ่งกลายเป็นความคุ้มชินไปตั้งนานแล้ว

เมื่อกลับมาที่อพาร์ตเมนต์ ยู่ยี่ใช้สายตาประหลาดใจจ้องมองเศษดินที่ติดอยู่บนร่างกายของเขา “เกิดอะไรขึ้นคะ”

“ไปสถานที่หนึ่งมา ผมจะไปอาบน้ำก่อนนะ……” ฉันทัชเอนตัวไปจูบเธอ

เมื่อสวมเสื้อคลุมอาบน้ำออกมา ยู่ยี่สองมือกอดอกไว้ แล้วจ้องมองเศษดินอีกแวบหนึ่ง “คุณแน่ใจไหมคะว่าคุณไม่ได้หกล้ม”

“ใช่ ผมแน่ใจ…” ฉันทัชกอดเธอ จากนั้นก็กอดไปนั่งบนโซฟา ดูทีวี

ในเวลานั้นเอง โทรศัพท์ดังขึ้น ฉันทัชหยิบมันออกมา เป็นคุณแม่ธันยวีร์ เขารับสาย หลังจากฟังไปสองสามประโยค ก็เปิดลำโพง

“ต่อไปนี้ เรื่องของแกฉันกับพ่อของแกจะไม่ยุ่งอีก แต่หวังว่าแกจะสามารถทำให้เอวาพอใจ และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ฉันขอโทษ ฉันทัช”

ฉันทัชพูดเบา ๆ “ขอบคุณครับ แต่ผมคิดว่า แม่ยังติดค้างคำว่าขอโทษกับเธอ”

“จริงๆแล้ว ฉันไปที่นั่นทุกปี เพียงแค่ไม่กล้าให้แกรู้ สำหรับเธอ ฉันกล่าวขอโทษเธอเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว……”

ยู่ยี่คิดในใจ เธอที่ทั้งสองพูดถึง คือภรรยาคนแรกของเขา

เพียงแต่ เขาไม่อยากพูด เธอจึงไม่ถาม ทุกคนล้วนมีความลับที่ไม่อยากเปิดเผยทั้งนั้น อยากเก็บความลับของตัวเองไว้

“นอกจากนี้ แกวางแผนเวลาหนึ่ง ปู่ของแกบอกว่าอยากพบเธอ” คุณแม่ธันยวีร์พูดอีกครั้ง

“ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการครับ……”

เมื่อวางสายแล้ว ยู่ยี่กะพริบตาไปมา “เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมฉันรู้สึกงงๆเหมือนมีเรื่องอะไรซ่อนอยู่ในนั้นคะ”

“อย่างที่คุณได้ยินแหละ ต่อไปเรื่องของเรา พวกเขาจะไม่เข้ามายุ่งอีก และจะให้ความเคารพที่ควรมี”

“คุณเกลี้ยกล่อมพวกเขาเหรอคะ”

“ใช่ ผมเกลี้ยกล่อมพวกเขา…” ในระหว่างที่พูด เขาก็อุ้มเธอขึ้นมา วางเธอไว้บนต้นขาที่แข็งแรง แล้วกอดไว้ เหมือนจะคิดอะไรออก แล้วจึงพูด “พวกเขาเคยมาหาคุณหรือเปล่า”

ยู่ยี่ขมวดคิ้ว ทีนี้ถึงรู้สึกตัวว่าเธอหลุดพูดอะไรบางอย่างออกมา

ฉันทัชถามเธอ “เรื่องที่หาคุณ ทำไมไม่เคยบอกผมเลย”

ยู่ยี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูด“เพราะมันยังไม่ใช่เวลาที่จะบอกคุณคะ”

“แล้วคุณคิดว่า จะบอกผมเมื่อไหร่”เขาพูด

“ฉันคิดว่า คุณจะแก้มันได้อย่างแน่นอน ดังนั้นฉันจึงไม่ได้บอกคุณ เพราะฉันเชื่อคุณ นี่คือคำตอบในใจฉันค่ะ…..”

หลังจากนั่งบนตักฉันทัช ก็หันมา ทั้งสองย้ายสายตาไปในทิศทางเดียวกัน สองตาประสานกัน ร่างเอนไปข้างหน้า แล้วยู่ยี่ก็จูบที่ริมฝีปากของเขา

“พูดจริงหรือโกหก” ฉันทัชจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ อยากเห็นความคิดที่แท้จริงในนั้น

ครั้งนี้ เธอกอดคอของเขาไว้ วางคางบนไหล่กว้าง แล้วพูดความจริง “อย่างละครึ่งค่ะ……”

ความจริง คือเธอเชื่อเขาจริงๆ เรื่องโกหก คือไม่ใช่เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกเขา แต่เพราะเธอไม่รู้จะพูดยังไง

เขาหัวเราะเบาๆ แล้วโอบกอดเธอ ขาทั้งสองข้างประสานไว้ ที่รอบเอวของเขา ความอบอุ่น และความลึกซึ้ง

“หาเวลา ไปที่คฤหาสน์ตระกูลหฤทัยไพรุณนะ” เขาเอานิ้วยาวลูบผมของเธอ ทัดหู แล้วพูด

“ฉันแล้วแต่คุณค่ะ……” ครั้งนี้ยู่ยี่ยอมทำตาม เขาเกลี้ยกล่อมแล้ว ใช้พละกำลังแล้ว เธอต้องการทำให้เขามีความสุข และก็รับรู้ถึงความตั้งใจของเขา

……

เมื่อเรนนี่กลับมาถึงบ้าน ก็ถูกชฎารัตน์พบเข้า สีหน้าเธอดูไม่ดีนัก ก็ตามถาม “เธอเคยเห็นลูกสะใภ้ที่เพิ่งแต่งงานแล้วกลางค่ำกลางคืนไม่กลับบ้าน ไปนอนข้างนอกสี่ห้าวันรึเปล่า”

“อย่าแค่มีเรื่องก็ต่อว่าฉันก่อนเลยค่ะ เหมือนในความสัมพันธ์ที่ทำผิดมีเพียงแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น เขาไม่ผิดเลยเหรอคะ” เรนนี่เบื่อกับการต่อว่าของชฎารัตน์แล้ว

“ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไม่สามารถเคลียร์กันได้เหรอ เรื่องที่พวกเธอทะเลาะกันฉันไม่ยุ่ง แต่ที่ฉันยุ่งคือเรื่องที่จะไม่กลับบ้านมานอน และท่าทีที่แสดงกับฉัน เธอควรควบคุมมันหน่อยไหม”

ในเช้าตรู่ ทั้งสองก็ยืนอยู่ใต้บันได เริ่มด่ากัน อย่างเสียงดัง

อารมณ์เรนนี่ไม่ดีถึงขีดสุด ส่วนชฎารัตน์ก็อารมณ์ไม่ดีนักเช่นกัน เมื่อปะทะกันเบาๆ ก็สามารถประกายไฟทั้งหมดออกมาได้ทันที

ทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน เมื่อหัสดินเดินลงบันได ราวกับเพิ่งตื่น ยังคงถูหน้าผากของเขาไปมา

สายตาบังเอิญไปเห็นหัสดินที่มุมทางเลี้ยว ท่าทีเรนนี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงก็อ่อนลง แถมปนด้วยการขอโทษอย่างสุดซึ้ง “คุณแม่ค่ะ ขอโทษค่ะ มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ต่อไปฉันจะระวังค่ะ จะไม่ค้างคืนนอกบ้านอีก จริงๆแล้วสองสามวันที่ทะเลาะกับหัสดินนี้สภาพจิตใจเลยไม่ค่อนจะดี จึงทำให้เป็นเช่นนี้ค่ะ”

ขณะพูด หัสดินลงไปชั้นล่าง เรียกแม่คำหนึ่ง นัยน์ตากวาดมองไปตัวเรนนี่ แล้วเดินออกไปด้านนอก

หลังจากที่เรนนี่พูดเช่นนี้ ชฎารัตน์ก็ไม่อยากเสียอารมณ์อีก ดังนั้นจึงไม่พูดอะไร เพียงแค่พูด “ต่อไปก็ระวังหน่อยแล้วกัน”

“ได้ค่ะ” เรนนี่ตอบ และพูด “ถ้าอย่างนั้นฉันขอขึ้นไปชั้นบนเพื่อเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”

สำหรับเรนนี่ ในใจชฎารัตน์ยังคงก็อย่างมีความไม่พอใจอยู่อย่างมากมาย

เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปชั้นล่าง ซาฮาร่าและรัดเกล้าก็เข้ามาแล้ว กำลังนั่งอยู่ในห้องโถง

ครั้งนี้ บรรยากาศระหว่างทั้งสองยังดีอยู่ ไม่แข็งเหมือนครั้งก่อน ตรงกันข้ามกลับดูอ่อนโยนขึ้น

ช่างมาได้เป็นเวลาที่เหมาะสม เวลานี้ที่ห้องครัวกำลังเตรียมอาหารเช้า ทุกคนนั่งอยู่รอบโต๊ะ เรนนี่นั่งอยู่ตรงหน้ารัดเกล้า

บนโต๊ะอาหาร นอกจากชฎารัตน์และซาฮาร่าที่พูดคุยกันแล้ว นานๆรัดเกล้าจะพูดเสริมได้สองสามประโยค ตั้งแต่ต้นจนจบเรนนี่ไม่เคยพูดอะไรเลย

หัสดินไม่ได้ทานอาหารเช้า และตั้งแต่ที่เขาออกจากคฤหาสน์ภูษาธร เขาก็ไม่ได้กลับเข้าไปอีก

เมื่อโจ๊กพุทราจีนกับเมล็ดบัวมาเสิร์ฟ เรนนี่ก็ก้มหน้า แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าขาสัมผัสโดนอะไรบางอย่าง

สิ่งนั้นไม่หยุดนิ่ง แต่ถูขาของเธออย่างคลุมเครือ เธอคิดมันว่าเป็นสุนัขพันธุ์ซามอยด์ที่ตระกูลภูษาธรเลี้ยงไว้

มันรู้สึกว่าแปลกๆ เรนนี่เอียงตัวเล็กน้อย สายตามองไป เห็นผู้ชายที่ใส่กางเกงสูทสีดำพอดี