ซย่าโหวฉิงเทียนยื่นมือออกไป นิ้วเรียวยาวเขาลูบไล้เส้นผมดำขลับของอวี้เฟยเยียน
“ศัตรูอยู่ที่ลับ เราอยู่ที่แจ้ง ในตอนนี้พวกเราควรจะเฉยเอาไว้ก่อนจะดีกว่า! พี่ได้สั่งให้เสวี่ยเยียนคอยคุ้มกันหลิงเอ๋อร์อย่างลับๆ แล้ว! ในเมื่อพวกมันมารนหาที่ตาย พี่จะส่งเสริมพวกมันเอง!”
ในเวลาเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนยังคิดถึงเป็นห่วงเป็นใยหนานกงจื่อหลิง จึงเห็นได้ชัดเจนว่าเขารักน้องสาวคนนี้มากนัก!
แต่เขาและสกุลหนานกงถูกลิขิตให้ต้องตายกันไปข้างหนึ่งเสียแล้ว ถึงตอนนั้นหนานกงจื่อหลิงที่เป็นคนกลาง จะทำอย่างไรกันนะ
“ฉิงเทียน ข้าเอ็นดูหลิงเอ๋อร์ยิ่งนัก ไม่อยากให้นางต้องถูกทำร้าย!”
หนานกงจื่อหลิงเป็นเด็กสาวที่จิตใจดีงามยิ่งนัก จึงไม่ควรที่จะต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้เลย!
ได้ยินอวี้เฟยเยียนกล่าวเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงยื่นมือออกไปกุมมือนางเอาไว้
“พี่จะปกป้องนางอย่างดี!”
มีประโยคนี้จากซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้อวี้เฟยเยียนคลายความกังวลใจไปได้มากทีเดียว
ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างซย่าโหวฉิงเทียนและสกุลหนานกง หนานกงจื่อหลิงคงจะลำบากใจไม่น้อย
ด้านหนึ่งคือน้องสาว อีกด้านคือศัตรู ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็ใช่ว่าจะทำใจได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่
ลำบากเขาจริงๆ !
“ฉิงเทียน…”
อวี้เฟยเยียนโอบเอวของซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา
“ข้าจะรักเจ้าให้มาก!”
จู่ๆ อวี้เฟยเยียนก็กล่าวเช่นนี้ออกมา ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับตัวแข็งทื่อหลังจากนั้นเขาก็พลิกกายขึ้นทาบทับร่างของอวี้เฟยเยียนเอาไว้
“แมวน้อย เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
เขาจ้องมองดวงตาของอวี้เฟยเยียนเขม็งราวกับจะไม่ยอมคลาดกับอารมณ์และความรู้สึกที่ถ่ายทอดจากดวงตาของนางแม้สักวินาที
“คำพูดๆ จะไม่พูดซ้ำสอง”
อวี้เฟยเยียนยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า แล้วลอบมองชายที่อยู่ตรงหน้าผ่านช่องระหว่างนิ้วมือ
“แมวน้อยเด็กดี พูดอีกครั้งสิ! นะ เด็กดี!”
เพื่อที่จะเอาอกเอาใจให้อวี้เฟยเยียนกล่าวประโยคเมื่อครู่ออกมาอีกครั้ง ซย่าโหวฉิงเทียนจึงทั้งงับทั้งจักจี้ให้นางหัวเราะออกมา
สุดท้ายอวี้เฟยเยียนก็หัวเราะออกมาจนแทบขาดใจ จนต้องขอร้องให้เขายอมปล่อยนาง!
“ข้ายอมแพ้แล้ว ฉิงเทียน อย่าจักจี้ข้าอีกเลย!”
“กล่าวประโยคเมื่อครู่ออกมาอีกครั้ง แล้วพี่จะยอมปล่อยเจ้า!”
“ฉิงเทียน ข้ารักท่าน!”
อวี้เฟยเยียนหัวเราะอย่างหนักแม้กระทั่งดวงตา นางจับคอเสื้อของซย่าโหวฉิงเทียนแล้วกระตุกเข้าหาตัว ประทับริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากเขา
“ข้าจะตั้งใจรักท่านให้มาก!”
นี่เป็นครั้งแรกที่คำว่า ‘รัก’ ออกจากปากอวี้เฟยเยียน ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับตกตะลึงไปห้าวินาทีเต็มๆ จึงจะได้สติกลับมา
“รักหรือ”
“แมวน้อยรักเขา!”
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่รู้ว่าสรรหาคำพูดใดมาใช้มาบรรยายความรู้สึกที่ประเดประดังเข้ามาในหัวใจเขาในตอนนี้ นางรักเขา ไม่ใช่แค่ชอบ แต่นางรักเขา! มันล้ำลึกเสียยิ่งกว่าแค่ชอบหลายเท่านัก!
คำพูดที่นางเปล่งออกมานั้น ได้กล่าวความคิดสิ่งที่อยู่ในใจของซย่าโหวฉิงเทียนออกมาเช่นกัน
เขารู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าความรู้สึกเขาที่มีต่ออวี้เฟยเยียนไม่อาจใช้เพียงคำว่า ‘ชอบ’ คำนี้มาบรรยายได้
เพียงแต่ว่าเขาครุ่นคิดอยู่เป็นนานก็ไม่สามารถสรรหาคำที่เหมาะออกมาบรรยายความรู้สึกห่วงหาอาวรณ์เช่นนี้ได้
ตอนนี้อวี้เฟยเยียนกล่าวคำนั้นออกมา เขาก็เข้าใจในทันที
ที่แท้แล้ว เขารักนางมาตั้งนานแล้ว!
รักในทุกสิ่งที่เป็นของนาง!
“แมวน้อย…”
ซย่าโหวฉิงเทียนจุมพิตลึกซึ้งตอบกลับอวี้เฟยเยียน อวี้เฟยเยียนมาสารภาพรักกับเขา เขาไม่เคยดีใจมากเท่านี้มาก่อนเลย
ดีจริงๆ !
บังเอิญได้พบกับนาง
บังเอิญที่เขารักนาง และนางก็รักเขาเช่นกัน
พรหมลิขิตกำลังเบ่งบานระหว่างคนทั้งสอง ก่อกำเนิด ผลิดอก เติบโตขึ้น…
“พี่ก็รักเจ้า!”
พี่จะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป ไม่แยกจากกัน จะติดตามเจ้าทุกชาติไป!
หลังจากที่คนทั้งสองได้เผยความรู้สึกของกันและกันออกไปแล้ว ความรักของพวกเขาก็ยิ่งอบอุ่นสุกงอมมากยิ่งขึ้น
พี่ชายและพี่อวี้รักและผูกพันกันถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าหนานกงจื่อหลิงย่อมต้องดีใจเป็นอย่างมาก ถึงกระทั่งว่าวิ่งไปที่เบื้องหน้าซย่าโหวฉิงเทียน เพื่อเอ่ยความปรารถนาของอวี้เฟยเยียนให้เขาได้รับรู้
“ขอแต่งงาน”
ศัพท์คำนี้ถือเป็นคำแปลกใหม่สำหรับเขา เพียงแค่ได้ฟังก็รู้ในทันทีว่าอวี้เฟยเยียนเป็นคนพูดมันออกมาแน่
“ใช่นะสิ! พี่ใหญ่ พี่อวี้เคยกล่าวเอาไว้ด้วยนะ ว่าหากไม่มีการขอแต่งงานก็จะไม่แต่งงานกับใครเด็ดขาด! ดังนั้นท่านต้องพยายามให้มากแล้วละ!”
มีหนานกงจื่อหลิงเป็นสายลับตัวน้อยให้ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนพอจะเข้าใจแล้วว่าขอแต่งงานคืออะไร
ในเมื่อแมวน้อยชื่นชอบ เขาก็จะจัดการขอแต่งงานให้สวยงามน่าให้นางประทับใจจนจดจำเอาไว้ไม่ลืมเลือนทีเดียว เขาจะทำให้อวี้เฟยเยียนยินยอมแต่งงานกับเขาด้วยความยินดีและเต็มใจ
ทว่า ยังไม่ทันที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะคิดออกว่าจะขอนางแต่งงานอย่างไรดี ก็มีข่าวไม่ค่อยจะสู้ดีรายงานมาเสียก่อน
“อะไรนะ เมืองหลวงเกิดเรื่อง”
หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ อวี้เฟยเยียนถึงกับลุกขึ้นยืนทีเดียว
ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เมืองหลวงก็เกิดโรคประหลาดระบาดขึ้น ซึ่งติดต่อไปสู่ผู้คนมากมาย มีคนตายไปแล้วห้าคน ในตอนนี้หมอทั้งหมดในหอคืนชีพต่างก็ออกไปปฏิบัติหน้าที่ แม้กระทั่งหมอเทวดาฮั่วก็ถึงกับจนปัญญา
ตอนนี้ประชาชนชาวเมืองหลวงอกสั่นขวัญแขวน ฮ่องเต้จึงทรงเรียกซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนกลับเมืองหลวงโดยด่วน
ยังมีเรื่องที่ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกว่าเรื่องมันยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก นั่นก็คือ ตี้อู่เฮ่ออีหายสาบสูญไป!
ทั้งมีโรคประหลาด ทั้งคนก็หายตัวไป ชักจะได้กลิ่นเค้าลางไม่ดีที่ชัดเจนออกมาเสียแล้ว
“เจ้าทึ่มหายสาบสูญไปได้อย่างไรกัน!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยได้รู้ก็ร้อนใจจนทนไม่ไหว แทบอยากที่จะควบม้ากลับเมืองหลวงเสียเดี๋ยวนั้น