สองสามวันมานี้ เชียนเยี่ยเสวี่ยมีอาการหนังตากระตุกอย่างหนัก ใจคอไม่ค่อยดีตลอดเวลา นึกไม่ถึงเลยว่าข่าวที่ได้มาจะเป็นข่าวการหายตัวไปของตี้อู่เฮ่ออี
ข่าวที่วังหลวงส่งมา ทำให้อวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนตระหนักรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองหลวงทันที
“พี่ใหญ่ ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปจะดีกว่า จะได้ไม่เป็นการเพิ่มปัญหาให้กับพวกท่าน”
ถึงแม้ว่าหนานกงจื่อหลิงอยากที่จะไปด้วยกันกับพี่ชายเพื่อดูว่าสิ่งใดที่นางพอจะช่วยได้บ้าง แต่หลังจากที่ซย่าโหวฉิงเทียนได้เล่าเรื่องที่ฉู่เฉินและฉู่เจินมายังแผ่นดินต้าโจวแห่งนี้ให้นางได้รับรู้แล้ว หนานกงจื่อหลิงจึงคิดว่าตนเองควรจะอยู่ที่สวนชาแดงแห่งนี้ต่อไปจะดีเสียกว่า
เฉินฉู่คือลูกน้องคนสนิทของหนานกงเอ๋า ที่เขามาที่นี่จะต้องรับคำสั่งของหนานกงเอ๋า มาจับนางกลับไปที่เมืองอู๋โยวเป็นแน่!
จู่ๆ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนกลัดกลุ้มเป็นกังวลใจมากพออยู่แล้ว นางจึงไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับเขาอีก! หากว่าเฉินเจินล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างนางและซย่าโหวฉิงเทียนเข้า พี่ใหญ่ก็จะต้องมีอันตราย!
นางไม่อยากให้ซย่าโหวฉิงเทียนต้องคอยมานั่งเป็นกังวลนางเพิ่มขึ้นไปอีก
“ได้!”
ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า
“เช่นนั้นพี่จะให้เสวี่ยเยี่ยนอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้า!”
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียน เชียนเยี่ยเสวี่ย หานจื่อ คนสามคนกับสุนัขหนึ่งตัวก็รีบเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงในทันที
เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ทั้งสามคนก็หน้าที่กันไปทำ ซย่าโหวฉิงเทียนเข้าวังเข้าเฝ้าฮ่องเต้ อวี้เฟยเยียนและเชียนเยี่ยเสวี่ยไปที่หอคืนชีพ
เพิ่งจะก้าวเข้ามาถึงท้องพระโรง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ได้ยินเสียงหญิงแปลกหน้าคนหนึ่งดังขึ้น
“ฝ่าบาท ท่านนี้คือท่านราชครูของเรา เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ยิ่งนัก ต้าโจวเกิดโรคประหลาด ท่านราชครูของเรารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก จึงอยากจะช่วยเหลือฝ่าบาทอีกแรง…”
เสียงหญิงผู้นี้ออกจะติดไปทางเย็นชาเย่อหยิ่ง ซึ่งเสียงเมื่อครู่ที่เปล่งออกมาเจตนาดัดเสียงให้นุ่มนวล จึงฟังออกชัดเจนว่าดัดจริตแสร้ง
“ไม่รู้ว่าท่านราชครูสำเร็จขั้นใด”
นี่คือเสียงซย่าโหวจวินอวี่
“ท่านราชครูของเราคือราชาโอสถ!”
ในขณะที่กล่าวประโยคนี้อูลู่ลู่ก็เชิดหน้าขึ้น แล้วกวาดสายตามองไปที่ขุนนางน้อยใหญ่ด้วยสายตาดูแคลน
ราชาโอสถ ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหลัวอวี่ คนแรกกลับเป็นชาวเสวี่ย!
เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การชื่นชมยิ่งนัก!
“ราชาโอสถ”
เมื่อได้ยินคำนี้ พลันใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนก็ฉาบไว้ด้วยความเย็นชา
จู่ๆ ก็มีราชาโอสถโผล่มา จะเกี่ยวข้องกับตี้อู่เฉินหรือเปล่านะ
ถึงว่า ชาวอาณาจักรเสวี่ยเดินทางมาในครั้งนี้ถึงได้ยโสโอหังนัก ที่แท้แล้วก็มีราชาโอสถคอยให้ท้ายนี่เอง ดังนั้นถึงได้มั่นอกมั่นใจถึงเพียงนี้
แม้ว่าต้าโจวจะมีอวี้หลัวซ่า แต่นางก็เป็นเพียงจักรพรรดิโอสถเท่านั้น อูลู่ลู่คิดว่าเมื่อนางเอ่ยออกไปว่าราชครูเป็นถึงราชาโอสถ ซย่าโหวจวินอวี่จะต้องเชื้อเชิญให้เขาช่วยเหลือเป็นแน่ ทว่า ใครจะคาดคิดว่าซย่าโหวจวินอวี่เพียงแค่เงียบลงไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงส่ายหน้า
“ข้าได้ให้คนไปเชิญอวี้หลัวซ่ามาแล้ว! ข้าเชื่อใจนาง!”
ท่าทีซย่าโหวจวินอวี่แสดงออกชัดเจนว่าไว้เนื้อเชื่อใจในตัวอวี้หลัวซ่าเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้อูลู่ลู่ตกตะลึงพรึงเพริด
“ฝ่าบาท ท่านราชครูบอกว่าโรคประหลาดนี้คือโรคห่านะเพคะ หากว่าไม่รีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เกรงว่าจะนำมาซึ่งหายนะครั้งใหญ่นะเพคะ!”
อูลู่ลู่รู้สึกว่าซย่าโหวจวินอวี่กำลังมองข้ามความหวังดีของนาง
โดยส่วนตัวแล้ว อูลู่ลู่คาดหวังยิ่งนักว่าซย่าโหวจวินอวี่จะเอ่ยปากให้ราชครูช่วยเหลือ เช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่จะได้แสดงศักยภาพความแข็งแกร่งของอาณาจักรเสวี่ย มันยังจะนำมาซึ่งความนิยมชมชอบและพลังหนุนหลังมากมายมาสู่นาง
ซึ่งอูลู่ลู่ขอร้องอยู่ตั้งเป็นนาน ตี้อู่เฉินถึงได้ยินยอมออกหน้าช่วยเหลือ แต่ซย่าโหวจวินอวี่กลับไม่รับน้ำใจเสียนี่!
โง่เขลายิ่งนัก!
นี่คือโรคห่านะ ไม่ใช่โรคระบาดทั่วๆ ไป!
คำพูดของอูลู่ลู่ก่อให้เกิดความหวั่นวิตก
โรคห่า การมีอยู่ของมันนับเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่งไม่ว่าในเวลาใด
มันสามารถทำลายทั้งเมือง แม่น้ำ หมู่บ้าน แม้แต่กระทั่งสามารถทำให้บ้านเมืองล่มสลายลงได้โดยไม่มีลางบอกเหตุใดๆ ล่วงหน้า
หากเป็นดั่งเช่นที่อูลู่ลู่กล่าวมาจริง ก็น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
“เกรงว่าองค์หญิงจะทรงไม่รู้อะไร อวี้หลัวซ่าเคยหยุดยั้งโรคระบาดที่เกิดขึ้นในเขตปกครองปรมาจารย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาแล้ว ทั้งยังเคยหยุดยั้งการระบาดของโรคห่าในฉินจื้อได้เช่นกัน ในครั้งนี้ ข้าเชื่อใจนาง!”
ซย่าโหวจวินอวี่คำก็อวี้หลัวซ่าสองคำก็อวี้หลัวซ่า อูลู่ลู่ได้ยินบ่อยครั้งเข้าก็เค่นรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา
“ข้าเพียงแต่เจตนาดี แต่หากว่าฝ่าบาททรงมีแผนการรับมืออื่นก็ช่างเถอะเพคะ หวังก็แต่ว่าอวี้หลัวซ่าจะไม่ทำลายความไว้พระทัยของฝ่าบาท ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้นมันจะจบลงยากนะเพคะ!”
“เพราะท่านราชครูของเราก็มีนิสัยส่วนตัว! หากว่าจัดการโรคห่าไม่ได้ แล้วจะขอให้เขาออกหน้าช่วยเหลือในภายหลังละก็ ไม่แน่ว่าเขาจะยินยอมช่วยเหลือนะเพคะ!”
“ก่อนที่ข้าจะมาที่ก็ได้ยินมาว่าหมอเทวดาฮั่วเก่งกาจนักหนา แต่สองสามวันมานี้เขาก็ทำผลงานออกมางั้นๆ นี่นา! เห็นทีว่า อวี้หลัวซ่าจะมีแต่ชื่อ เสียแล้วกระมัง…”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของอูลู่ลู่อยู่ในเชิงท้าทาย ซึ่งใครๆ ต่างก็ฟังออก ซึ่งซย่าโหวจวินอวี่ไม่ได้คิดที่จะถือสาเด็กน้อยคนนี้แต่อย่างใด
ทว่า ฮ่องเต้ไม่คิดที่จะถือสาก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรนะสิ
และคนผู้นั้นก็คือซย่าโหวฉิงเทียนผู้ที่โปรดปรานแมวน้อยเท่าชีวิตนั่นเอง
ทันใดนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงก้าวฉับๆ เข้ามาในท้องพระโรง
เขาพกพาเอาอารมณ์ที่ว่าพี่ไม่ชอบใจเข้ามาด้วยเต็มเปี่ยม ซึ่งทำเอาเหล่าขุนนางน้อยใหญ่หวาดผวาจนต้องรีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว
พวกเขามิอยากซวยไปด้วยนะ!
“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ ไหนพูดให้ข้าฟังอีกครั้งซิ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนเดินมาหยุดที่เบื้องหน้าของอูลู่ลู่ เขาใช้สายตาเย็นชามองไปที่องค์หญิงแห่งอาณาจักรเสวี่ย
อูลู่ลู่รู้สึกเพียงว่ามีพลังอำมหิตที่แสนเย็นยะเยือกกำลังโจมตีมาที่นาง พลังนั้นหนักหน่วงราวกับของหนักเป็นพันกิโลก็ไม่ปาน ทำให้นางหายใจแทบไม่ออก
ยังมิทันที่จะมองเห็นรูปโฉมซย่าโหวฉิงเทียนได้ชัดเจน ขาทั้งสองข้างของนางก็สั่นเทา
แผละ!
จนอ่อนปวกเปียกทรุดนั่งลงไปบนพื้น