ตอนที่ 1786

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,786 : หนึ่งเดียว ไม่มีอีกแล้ว

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้ผ่านบดทดสอบทั้งหมดในพื้นที่มรดกเวทย์พลัง บึงไร้ก้นบึ้งแล้ว…นั่นหมายความว่าเขากำลังจะได้รับสืบทอดเวทย์พลัง!

 

และเวทย์พลังที่ว่าก็คือ ปฐมเวทย์กลืนกิน!

 

‘แล้วปฐมเวทย์กลืนกินที่ว่าจะถ่ายทอดให้ข้าจะเป็นการถ่ายทอดในรูปแบบไหนนะ…จะเป็นรูปปั้นอะไรเหมือนกับร่างทองลิ่วเหอรึเปล่า?’

 

ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างขึ้นมาก็มองไปยังอากาศว่างเปล่า กล่าวให้ชัดคือมองไปยังจุดที่มีรอยแยกปรากฏอยู่ ด้วยคิดว่าเดี๋ยวต้องมีป้ายศิลาหรืออะไรสักอย่างอันเป็นมรดกเวทย์พลังโผล่พรวดออกมาแน่ๆ

 

อย่างไรก็ตามเขาลอยร่างรอคอยอยู่นาน กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“นี่มันยังไงกันแน่?!”

 

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกงุนงงด้วยไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น “อาวุโสนั่นไม่ใช่บอกไว้เองเหรอว่าหากเอาชนะได้จะถ่ายทอดปฐมเวทย์กลืนกินให้? ไหนล่ะ…อย่าบอกนะว่าแค่พูดล้อเล่น?”

 

ต้วนหลิงเทียนเริ่มกังวลใจขึ้นมา และแม้แต่ชื่อของชายชรานั่นเขาก็ไม่รู้ จึงได้แต่ร้องตะโกน อาวุโส ออกมา…กระทั่งผ่านไปสักพัก เมื่อไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ เขาก็ไม่คิดเรียกหาอาวุโสอะไรอีกแต่เป็น ‘ตาแก่’

 

“ตาแก่ เจ้าคิดกลับคำพูดงั้นเรอะ!!”

 

ลอยร่างเหนือเวทีประลอง ต้วนหลิงเทียนอ้าปากตะโกนออกมาดังลั่น หันรีหันขวางมองไปรอบๆ

 

เสียงของต้วนหลิงเทียนยังไม่ใช่แค่ดัง หากแต่แฝงเร้นไปด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิด ทำให้พื้นที่โดยรอบปั่นป่วนไปไม่น้อย ความว่างยังสั่นไหวไปเบาๆ

 

และเมื่อความว่างเปล่าสั่นไหว ต้วนหลิงเทียนก็เห็นได้ชัดว่ามีร่างหนึ่งก้าวออกจากรอยแตกกลางอากาศ…เป็นชายชราที่เขาฆ่าตายไปก่อนหน้า! ไม่คิดเลยว่าพอต้วนหลิงเทียนร้อนใจจนโวยวาย อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวออกมาเสียอย่างนั้น!!

 

“สหายน้อย…”

 

ชายชราแย้มยิ้มออกมาอย่างใจดี “ขอแสดงความยินดีด้วย เจ้าได้ผ่านทุกบททดสอบของบึงไร้ก้นบึ้งแล้ว…ต่อไปข้าจะถ่ายทอดข้อมูลทั้งหมดของปฐมเวทย์กลืนกินให้เจ้า…ยามใดที่เจ้าบรรลุถึงเซียนมนุษย์ เจ้าจักเริ่มเพาะสร้างมันได้อย่างเป็นทางการ”

 

ได้ยินคำกล่าวของชายชรา ตาต้วนหลิงเทียนถึงกับลุกวาววิบวับ แม้จะรู้ดีว่าเบื้องหน้านั้นเป็นเพียงร่างมายาที่ถูกกำหนดไว้ให้กระทำตามบท แต่เขายังอดกล่าวขอบคุณออกไปเสียไม่ได้ “ขอบคุณ อาวุโส!”

 

“ปฐมเวทย์กลืนกินมีพลังอำนาจอย่างไร เจ้าคงได้เห็นแล้วจากบททดสอบเมื่อครู่…มิผิด ปฐมเวทย์กลืนกินนั้นสามารถดูดกลืนพลังทั้งหมดที่อยู่รอบๆตัวเจ้า กระทั่งต่อให้เป็นพลังของศัตรูเจ้าก็สามารถดูดกลืนได้!”

 

“แต่แน่นอนถ้าหากศัตรูนั้นทรงพลังเหนือเจ้า ตัวเจ้าก็มิอาจดูดกลืนพลังของมันมาได้ เพราะมันจักสามารถต้านทานพลังดูดกลืนของปฐมเวทย์กลืนกินเจ้าได้…”

 

ชายชรากล่าว

 

สองตาต้วนหลิงเทียนที่แต่เดิมลุกวาวพลันเลื่อนลอยไปเล็กน้อยด้วยหวนคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้า

 

“สามารถดูดกลืนได้กระทั่งพลังของคู่ต่อสู้ แต่หากพลังของศัตรูเหนือกว่าก็ไม่อาจดูดกลืนได้ เพราะอีกฝ่ายจะสามารถต้านทานได้?”

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพลันเข้าใจกระจ่าง มิน่าตอนที่ชายชราใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน เขารู้สึกว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาอยู่ๆก็รั่วไหลออกจากร่างอย่างไม่ทราบสาเหตุ…ที่แท้มันถูกปฐมเวทย์กลืนกินดูดไปนั่นเอง!

 

อย่างไรก็ตามด้วยความที่พลังของเขามันเทียบได้กับอริยะเซียนขั้นต้น เขาจึงต้านทานพลังดูดรั้งของปฐมเวทย์กลืนกินชายชราได้อย่างง่ายดาย ไม่ปล่อยให้ปราณสุริยันแรกกำเนิดถูกชายชราดูดกลืนไป

 

“ช่างเป็นเวทย์พลังที่มีความสามารถน่าสะพรึงกลัวนัก!”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยความครั่นคร้าม “จากที่ชายชรากล่าวไว้ หากพลังฝึกปรือของคู่ต่อสู้ไม่เหนือกว่า ย่อมสามารถใช้ปฐมเวทย์กลืนกินดูดกลืนได้…นั่นหมายความว่าพลังที่คู่ต่อสู้เสียไป จะมาเพิ่มเป็นพลังความแข็งแกร่งให้ข้า!”

 

คิดถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้านไป

 

ลองนึกภาพดูว่าเรื่องนี้มันน่ากลัวขนาดไหน หากเขากำลังประมือกับสัตรูที่มีพลังฝีมือทัดเทียมกัน ทว่าพอเขาใช้ปฐมเวทย์กลืนกินทำให้พลังศัตรูลดลงส่วนหนึ่ง ส่วนพลังของเขากลับเพิ่มพูนสูงขึ้นส่วนหนึ่ง! และนี่ยังไม่ต้องกล่าวถึงพลังโดยรอบด้วยซ้ำ!!

 

ถึงตอนนั้นเขาที่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินย่อมเอาชนะศัตรูได้ง่ายดาย!

 

เรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนที่เห็นพลังอำนาจของปฐมเวทย์กลืนกินมาก่อนไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อย

 

“หืม?”

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังครุ่นคิดไปถึงความร้ายกาจของปฐมเวทย์กลืนกิน เขาพลันสัมผัสได้ถึงข้อมูลมหาศาลชุดหนึ่งกำลังหลั่งไหลเข้ามาในใจของเขาพอดี

 

ตอนแรกเขาเผลอต่อต้านข้อมูลดังกล่าวไปอย่างไม่รู้ตัว

 

อย่างไรก็ตามพอเขาพบว่าข้อมูลที่กำลังหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขา ที่แท้เป็นข้อมูลของปฐมเวทย์กลืนกิน เขาก็ละวางปราการป้องกันจิตใจ ปล่อยให้ข้อมูลดังกล่าวไหลเข้ามาทันที

 

ข้อมูลนี้นับว่ามากมายมหาศาลนัก ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพยายามจะทำความเข้าใจข้อมูลดังกล่าว เขาก็พบว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นอะไรที่คลุมเครือไม่ชัดเจน

 

ถึงแม้มันจะคลุมเครือไม่ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรสำหรับการรับรู้และพยายามจดจำมัน

 

แน่นอนว่าตอนนี้ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะพยายามรับรู้และจดจำมัน ก็เหมือนเขาอ่านภาษาที่เขาไม่รู้จัก และจดจำได้แค่ลายเส้นขีดๆเขียนๆ ทั้งหมดเป็นเพราะพลังฝึกปรือของเขาในตอนนี้…ไม่อาจลองใช้ตามข้อมูลได้! จึงไม่อาจดำเนินตามขั้นตอนอะไรได้เลย!!

 

สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป จำต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์เสียก่อนถึงจะสามารถทำความเข้าใจ และลองเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังได้

 

แต่ต้วนหลิงเทียนที่มีปราณสุริยันแรกกำเนิด ไม่จำเป็นต้องรอให้บรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แต่อย่างไร…

 

อย่างไรก็ตามถึงแม้จะไม่ต้องรอให้บรรลุถึงเซียนมนุษย์ แต่ก็จำต้องรอให้บรรลุถึงอริยะเซียน…ทันทีที่เขาทะลวงผ่านเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดไปยังอริยะเซียนขั้นต้น ปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างก็จะยกระดับไปมีพลังอำนาจทัดเทียมกับปราณแรกกำเนิดของตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์!

 

ถึงตอนนั้นเขาก็สามารถใช้เวทย์พลังได้!

 

“จบแล้วหรือ? มีเท่านี้?”

 

หลังผ่านไปครึ่งชั่วยามต้วนหลิงเทียนก็พบว่าข้อมูลหยุดส่งเป็นข้อมูลของปฐมเวทย์กลืนกินได้ถูกถ่ายโอนมาสู่จิตใจเขาหมดสิ้นแล้ว

 

หลังได้รับข้อมูลเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลงตรวจสอบข้อมูลในใจคร่าวๆอีกรอบอย่างไม่รู้ตัว เมื่อกระทำเสร็จ พอลืมตาขึ้นมาเขาก็ไม่เห็นร่างชายชราแล้ว กระทั่งเวทีประลองอันมีอัฒจันทร์ล้อมรอบก็อันตรธานหายไป

 

ตอนนี้เขากลับมาอยู่ในทะเลทรายที่ทัศนวิสัยแทบเป็นศูนย์ บรรยากาศคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นทรายและสายลมแรง…

 

พื้นที่มรดกเวทย์พลัง…บึงไร้ก้นบึ้ง หายไปแล้ว!

 

“สหายน้อย ข้าถ่ายทอดปฐมเวทย์กลืนกินให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว นับแต่นี้ต่อไปแดนลับเซียนแห่งนี้จักมิมีบึงไร้ก้นบึ้งอีกต่อไป และจักมิมีมรดกเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินปรากฏออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง! ข้าเรียกว่า ‘เจียงเฉิง’ บางทีวันหน้าอาจมีสักวันที่พวกเราได้พบกันอีกครั้ง ข้าจักตั้งหน้าตั้งตารอพบเจ้า สหายน้อย…”

 

ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งเห็นว่าพื้นที่โดยรอบกลายเป็นทะเลทรายไปแล้ว พลันได้ยินเสียงชายชราดังขึ้นอีกครั้ง

 

หลังจากนั้นเสียงของชายชราก็เงียบหายไป ยังคล้ายจะหายไปจากแดนลับเซียนแห่งนี้ถาวร…

 

“นับแต่นี้ต่อไปแดนลับเซียนแห่งนี้จักมิมีบึงไร้ก้นบึ้งอีกต่อไป และจักมิมีมรดกเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินปรากฏออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง!”

 

วาจาที่ชายชรากล่าวมาก่อนหน้า คล้ายจะดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง

 

จากเรื่องราวของแดนลับเซียนที่ต้วนหลิงเทียนรับทราบมา การเปิดออกของแดนลับเซียนแต่ละครั้ง มรดกเวทย์พลังแม้จะมีผู้สืบทอดได้แค่คนเดียวแต่นั่นก็หมายถึงในรอบที่เปิดออกเท่านั้น หากแดนลับเซียนปิดลง และเปิดออกครั้งหน้า…มันก็จะกลับมาให้ผู้คนรับสืบทอดไปอีกครั้ง!

 

ทว่าเวทย์พลังที่ได้รับสืบทอดแล้ว แต่มรดกเวทย์พลังจะหายไปเลยแบบนี้…เขาไม่เคยได้ยินว่ามีบันทึกมาก่อน!

 

และจากที่ฟัง เสียงชายชราก็ไม่คล้ายจะโกหกเขา

 

“ถ้าอย่างนั้น…ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครได้รับสืบทอดปฐมเวทย์กลืนกินอีกเป็นคนที่สองในตำหนักฟ้าลี้ลับงั้นเหรอ?”

 

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมออกมา

 

ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่านบททดสอบของบึงไร้ก้นบึ้งจนได้รับสืบทอดปฐมเวทย์กลืนกินมา…แต่อย่างไรเสียการทำให้ศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับสิ้นโอกาสได้รับเวทย์พลังนี้ถาวร ก็ทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อย

 

“ครั้งนี้ข้านับว่าติดหนี้บุญคุณตำหนักฟ้าลี้ลับครั้งใหญ่แล้ว…”

 

ต้วนหลิงเทียนพึมพำกล่าวออกมาเสียงอ่อน

 

เขานับว่าติดค้างตำหนักฟ้าลี้ลับแล้วจริงๆ

 

“ช่างเถอะ…วันไหนที่ข้าทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียน และสามารถเพาะสร้างต้นแบบปฐมเวทย์กลืนกินได้ ข้าก็แค่ถ่ายทอดให้ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่เหมาะสมสักคนก็สิ้นเรื่อง! เท่านี้ก็ไม่นับว่าข้าติดค้างอะไรแล้ว!!”

 

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกโล่งใจไม่น้อย หลังจากที่คิดวางแผนเรื่องราวไว้เสร็จสรรพ

 

สิ่งที่เขารู้สึกกังวลมากที่สุดก็คือหนี้บุญคุณ ไม่ว่าจะในชีวิตที่แล้วหรือชีวิตนี้เขาเป็นคนที่ไม่ชอบติดค้างใคร เพราะสำหรับเขาสิ่งที่ยากชดใช้ตอบแทนที่สุดในโลกก็คือบุญคุณคน! หากเป็นสหายที่ให้ความช่วยเหลือกันก็ว่าไปอย่าง…แต่ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ใช่!!

 

ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้รับทราบเลย ว่าปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาได้รับสืบทอดมาจากพื้นที่มรดกเวทย์พลังบึงไร้ก้นบึ้งนั้นนั้น ต่อให้ว่ายตามองทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็นับเป็นเวทย์พลังที่มีระดับสูงล้ำที่สุด!!

 

มีคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่รู้ย่อมไม่กลัว’ นับว่าช่างเข้ากับต้วนหลิงเทียนตอนนี้นัก

 

แต่ไม่ว่าจะอะไรยังไง ตอนนี้ในเมื่อเขาได้รับมันมาแล้ว เขาก็ย่อมรู้สึกยินดีมีสุขเป็นธรรมดา..

 

“จะว่าไป นี่มันก็ปาเข้าไป 2 เดือนได้แล้วหลังจากที่เข้ามาในแดนลับเซียน…เหลือเวลาอีกแค่เดือนเศษ ทุกคนก็จะถูกขับออกจากแดนลับเซียน…ต้องหาพวกนั้นให้เจอให้เร็วที่สุด!”

 

‘พวกนั้น’ ที่ต้วนหลิงเทียนว่าย่อมหมายถึงหวางเฟยเซวียน กับหลิวเจี้ยน!

 

ก่อนที่จะเข้ามายังแดนลับเซียน เขาได้ตกลงกับทั้งสองคนไว้ว่าจะร่วมมือกัน

 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่เข้าในแดนลับเซียน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่พบเจอทั้งคู่เลยตลอดการเดินทาง

 

“หากเจอพื้นที่มรดกเวทย์พลังอะไรอีก คงไม่อาจเข้าไปสำรวจได้…ต้องเร่งหาพวกนั้นให้เจอก่อน!”

 

ดั่งที่กล่าวไว้ว่าหนี้บุญคุณเป็นอะไรที่ยากชดใช้ และต้วนหลิงเทียนก็ไม่ชอบความรู้สึกติดค้าง เขาจึงหวังว่าจะได้ช่วยหลิวเจี้ยนให้ได้รับเวทย์พลังให้เร็วที่สุด

 

ตราบใดที่เขาสามารถช่วยให้หลิวเจี้ยนได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลัง ก็เสมือนเขาได้ตอบแทนบุญคุณอาวุโสหลิวหงกวงทางอ้อม

 

5 วันต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบพื้นที่มรดกเวทย์พลังอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตามเข้าไม่ได้รีบร้อนเข้าไปสำรวจ

 

ตอนนี้ลำดับความสำคัญสูงสุดของเขาคือ หาหลิวเจี้ยน และหวางเฟยเซวียนให้พบ!

 

ในที่สุดหลังจากผ่านไปอีก 8 วันต้วนหลิงเทียนก็ได้เจอกับหวางเฟยเซวียน…ทว่านางอยู่คนเดียว

 

“เจ้ายังหาหลิวเจี้ยนไม่เจอหรือ?”

 

หวางเฟยเซวียนไม่ทันได้สังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีต้วนหลิงเทียนก็มาโผล่ตรงหน้าและยิงคำถามออกมาแล้ว

 

และแน่นอนว่าการปรากฏตัวออกมาราวภูตผีของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้หวางเฟยเซวียนสะดุ้งโหยงไปด้วยความตกใจ หากแต่นางกลับไม่ได้กรี๊ดวี๊ดว้ายอะไร เพียงตั้งท่าต่อสู้เท่านั้น และพอเห็นว่าเป็นต้วนหลิงเทียน สองตาก็เบิกกว้างขึ้นมาด้วยความยินดี “ฮ้า! ในที่สุดข้าก็เจอเจ้าแล้ว!!”

 

“สำหรับหลิวเจี้ยน…”

 

หวางเฟยเซวียนยิ้มเจื่อนๆ “ข้าเองก็พึ่งเจอมันเมื่อไม่กี่วันนี่เอง…แต่เมื่อวานนี้มันถูกกำจัดออกจากแดนลับเซียนไปแล้ว”

 

“อะไร? ถูกกำจัดไปเมื่อวาน?!”

 

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วย่นยู่ทันที หลิวเจี้ยนถูกกำจัดไปแล้วแบบนี้ ไม่ใช่หมายความว่าเขาหมดโอกาสตอบแทนบุญคุณหลิวหงกวงหรือไร?

 

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเคร่งเครียด หวางเฟยเซวียนก็คล้ายเดาเรื่องราวในหัวต้วนหลิงเทียนออก พลันกล่าวออกมาอย่างประจวบเหมาะ “ใจเย็นๆ หนี้ที่เจ้าติดค้างอาวุโสของหลิวเจี้ยน ข้าได้ช่วยเจ้าตอบแทนแล้ว…ก่อนที่จะถูกกำจัดข้ากับหลิวเจี้ยนก็ได้ค้นพบมรดกเวทย์พลังชิ้นหนึ่ง และข้าก็ได้ทำตามกฏที่เจ้าบอกไว้ ว่าจะมอบมรดกเวทย์พลังที่พบเจอให้หลิวเจี้ยนก่อน…”

 

วาจานี้ของหวางเฟยเซวียนทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย

 

“แต่ที่ข้าพูด…นั่นหมายถึงตอนพวกเราอยู่ด้วยกัน”

 

ต้วนหลิงเทียนมองหวางเฟยเซวียนด้วยสายตาซับซ้อน “ในเมื่อข้าไม่ได้อยู่กับพวกเจ้า…พวกเจ้าก็ไม่เห็นจะต้องทำตามกฏที่ข้าบอกไว้ก่อนที่พวกเราจะเข้ามานี่”