บทที่ 369
สัญชาตญาณ
“ข้าไม่กล้าหรอกเพคะ” เฟิงอู๋ซีก้มหัวลง
“ถ้าเจ้าไม่กล้างั้นก็คุกเข่าลง” มู่หรงพูดอย่างเย็นชา ยังไงมันก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว
ด้วยสายตาที่เป็นประกาย หลินหยางนั่งกินผลไม้อย่างสบายใจและมู่หรงเสวี่ยก็หัวเราะออกมาทันที
“นี่เจ้าว่างหรือไง?” โยนปัญหามาให้เธอทั้งๆที่ตัวเองควรที่จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง
“ใช่แล้ว” หลินหยางตอบเสียงเรียบ
เฟิงอู๋ซีที่ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น นั่งคุกเข่าราวกับเป็นขอทานจนรู้สึกเจ็บไปหมดแล้ว ดูเหมือนว่าองค์จักรพรรดิจะไม่สนใจท่าทางของเธอเลย ไม่งั้นเขาคงไม่ทนดูเธอถูกลงโทษแบบนี้หรอก ตอนนี้เธอเหลือเพียงแค่ความงามอย่างเดียวเท่านั้นที่จะเอามาใช้ได้
ต้องเป็นเพราะท่าทางของเธอก่อนหน้านี้แน่ๆที่ทำให้เขาไม่พอใจ ไม่แยแส
เธอเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าหนึ่งวันยังไม่เชื่อ งั้นเธอจะลองสองวัน ถ้าสองวันยังไม่เชื่อ เธอก็จะลองสามวันจนกว่าพวกเขาจะเชื่อ ไม่สำคัญหรอก เธอมีเวลาทั้งชีวิต ยังไงซะเธอก็ขายวิญญาณของเธอไปแล้ว แล้วจะมีอะไรที่ทนไม่ได้อีกล่ะ?!
เธอต้องการเพียงแค่ที่จะได้แก้แค้น เธอไม่กลัวความตายหรอก
มู่หรงขมวดคิ้ว เฟิงอู๋ซีทนได้มากกว่าที่เธอคิดไว้ นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย มู่หรงเสวี่ยไม่ได้บอกให้นางลุกขึ้น ทุกคนในสนามก็ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่ายังมีเธอนั่งอยู่
จนกระทั่งโต๊ะอาหารตั้งเสร็จ มู่หรงเสวี่ยไม่ได้บอกให้นางลุกขึ้น มือของเฟิงอู๋ซีกลายเป็นกำแน่นและเล็บคมก็จิกเข้าไปในเนื้อสดๆจนเลือดเริ่มที่จะไหลซึมออกมาที่ฝ่ามือ เธอจะต้องตอบแทนความอับอายที่เธอได้เผชิญวันนี้อย่างแน่นอนและบรรพบุรุษของเธอจะต้องได้รับได้เห็นการแก้แค้น!
มู่หรงเสวี่ยกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ทันใดนั้นเฟิงอู๋ซีก็สลบไปทันที
“นี่ ผู้หญิงของเจ้าเป็นลมไปแล้ว” มู่หรงพูดกับหลินหยางที่นั่งอยู่ตรงข้ามในระหว่างที่กำลังกินอาหารอยู่
“เจ้าเป็นคนดูแลฮาเร็มไม่ใช่หรือไง?” หลินหยางตอบเสียงเรียบ
ในตอนนี้เฟิงอู๋ซีที่นอนอยู่ที่พื้นรู้สึกโกรธจนแทบจะทนไม่ไหว มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มแสยะ ต่อให้ไม่ใช่หมอก็ยังสามารถที่จะได้ยินเสียงลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอของนางได้อย่างชัดเจน
“ในเมื่อนางชอบที่นอนกองอยู่กับพื้นนัก งั้นก็ปล่อยให้นางนอนต่ออีกหน่อยแล้วกัน” มู่หรงพูดเสียงเรียบ
สาวใช้ที่กำลังจะลุกขึ้นและเข้าไปช่วยผู้หญิงที่นอนอยู่กับพื้นรีบถอยหลังกลับทันที
ลมหายใจของเฟิงอู๋ซีเป็นแบบนั้นอยู่อีกนาทีหนึ่ง ใครที่จะไปชอบนอนบนพื้นกัน? บ้าเอ๊ย ในฐานะพระมเหสีก็เลยสมควรที่จะทำแบบนี้เพื่อเป็นตัวอย่างหรือไง?!
อย่างน้อยในกรณีนี้ก็ควรที่จะเรียกหมอหลวงสิ พวกเขาปล่อยให้เธอนอนอยู่ที่พื้นแบบนี้ได้ยังไง
ความเย็นที่พื้นทะลุจนมาถึงร่างกายของเธอซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายอย่างมากแต่เธอจะลุกขึ้นมาเองไม่ได้ยังไงซะเธอก็เป็นลมอยู่
มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจนาง
ในฮาเร็มจะมีผู้หญิงอยู่สองประเภทหลักๆ หนึ่งคือคนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและอีกคนที่ไม่มีความรู้สึกพวกนี้เลย
ส่วนเฟิงอู๋ซีเป็นประเภทที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าแบบนี้ต้องรีบจัดการ
ถึงนางจะดูไม่ค่อยสบายเท่าไรแต่ก็สมควรที่จะถูกลงโทษ
หลังจากที่ทั้งสองดื่มกินจนอิ่มแล้ว มู่หรงก็สั่งให้คนแบกเฟิงอู๋ซีกลับไปที่ตำหนักของนาง และอย่าคิดว่าเธอจะไม่เห็นเท้าของนางที่ขยับอยู่หลายครั้ง
หลังจากที่กลับมาถึงห้องนอน เฟิงอู๋ซีก็ปิดประตูทันทีและกวาดข้างของลงมากองที่พื้นจนหมดแล้วเธอก็กลับไปทรมานเสี่ยวหงอีกครั้ง
เธอโกรธจนอยากจะให้นางตาย นั่งผู้หญิงชั้นต่ำ กล้าดียังไง?!
หลังจากที่รออยู่นานก็ดูเหมือนว่าเธอจะคิดอะไรขึ้นมาได้และเริ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เสี่ยวหงนั่งร้องไห้อยู่แต่ก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงอะไรออกมา ทันทีที่ประตูเปิดออกเธอก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก นี่มันเลวร้ายมาก องค์หญิงบ้าไปแล้วจริงๆด้วย
เสี่ยวหงรู้ว่านี่ไม่ใช่องค์หญิงของเธอ
มู่หรงก็ไม่ได้ใจร้ายอะไรขนาดนั้น เธอบอกให้คนแบกเฟิงอู๋ซีกลับมาก่อนที่จะเอ่ยปากถามเขา “เจ้าพานางมาที่นี่ได้ยังไง?”
“มันช่วยไม่ได้ นางมารออยู่ระหว่างทาง” หลินหยางตอบ
“ก็ไล่นางไปสิ ในบรรดาคนทั้งหมดข้าคิดว่านางอันตรายที่สุดเลย” มู่หรงพูดเสียงเบา
“ทำไมล่ะ?” นางไม่ใช่องค์หญิงคนเดียวที่รอดหรอ” หลินหยางถามอย่างสงสัย
“มันเป็นสัญชาตญาณของผู้หญิงน่ะ” เธอมักจะมีสัญชาตญาณอยู่เสมอ
“ใช่ งั้นจะรีบจัดการขอเวลาอีกสองสามวัน” เขาไม่ชอบตัวอันตราย ถ้าไม่รีบถอนรากถอนโคนก็มีแต่จะสร้างปัญหาไม่สิ้นสุด
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า
วันต่อมาเป็นวันที่อากาศดีและก็ไม่มีเฟิงอู๋ซี เดาว่านางคงจะโกรธเรื่องเมื่อคืนอย่างมากจนนางไม่ยอมออกมาอย่างน้อยก็อีกหลายวัน
สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็เลิกคิ้วขึ้นและมองไปที่หลิวจือหลิงที่เดินเข้ามาพร้อมกับของใหม่ๆ
“พระมเหสี” น้ำเสียงอ่อนหวานราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอไม่เคยวิ่งร้องไห้ออกไปมาก่อน แต่มู่หรงก็ยินดีที่จะเจอหน้านางดีกว่าต้องเห็นท่าทางหม่นหมองของเฟิงอู๋ซี ไม่ใช่เพราะท่าทางที่ดูหม่นหมองของเฟิงอู๋ซีหรอกแต่เป็นเพราะความรู้สึกที่เธอทำให้คนอื่นรู้สึกต่างหาก เป็นความรู้สึกที่เย็นยะเยือกและอึดอัดอย่างอธิบายไม่ได้
ถึงแม้หลิวจือหลิงจะไม่เหมือนกับนางแต่อย่างน้อยก็ยังมีความอิจฉาอยู่นิดหน่อย ซึ่งเป็นดั่งแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า
“วันนี้เจ้าว่างเหรอถึงได้แวะมาที่นี่ได้?” มู่หรงถามเสียงเรียบ
หลิวจือหลิงเดินช้าลงพร้อมทั้งพูดออกมาด้วยอย่างระวังอยู่เล็กน้อย “พระมเหสี วันก่อนข้าทำหยาบคายมากและวันนี้ข้าเลยอยากที่จะมาขอโทษ”
มู่หรงหัวเราะ “ลุกขึ้นเถอะ มานั่งตรงนี้เดี๋ยว องค์จักรพรรดิก็จะมาแล้ว” ถ้าเธอต้องเลือกจริงๆ เธอคิดว่าการเลือกหลิวจือหลิงก็ไม่แย่เท่าไร
“จริงเหรอเจ้าคะ?” หลิวจือหลิงแทบจะลุกขึ้นมาด้วยความดีใจ
“จริงสิ ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอก” มุ่หรงเสวี่ยตะลึง
“ข้า, ข้า, ข้าต้องขออภัยด้วยนะเพคะพระมเหสี” หลิวจือหลิงยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย
ทั้งคู่ดูสงบกันอย่างมากแต่หลิวจือหลิงก็ยังรู้สึกไม่ชอบพระมเหสีอยู่เท่าไรนักเพราะนางได้ความรักทั้งหมดไปคนเดียว
เธอไม่ชอบนางเท่าไร เธอรู้สึกไม่พอใจและอิจฉานางด้วยซ้ำ หลิวจือหลิงก้มหัวต่ำและรู้สึกว่าจิตใจของเธอคิดแต่เรื่องสกปรกเป็นครั้งแรก ผงแป้งที่อยู่ในแขนเสื้อช่วยให้เธอยังพอมีสติอยู่บ้าง
ยังไงซะตั้งแต่วันนี้ไปเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องได้ผู้ชายคนนั้นมา องค์จักรพรรดิเป็นผู้ชายที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น
“ขอโทษเรื่องอะไรกัน?! ไม่เป็นไรหรอก ข้าสบายมาก อันที่จริงองค์จักรพรรดิเป็นคนที่เข้ากับคนง่ายมาก ข้าเชื่อว่าพระองค์จะต้องชอบเจ้ามากแน่ๆ” มู่หรงพูดเสียงเรียบ
โกหก คำพูดพวกนี้ก็เหมือนกับคำพูดที่อยู่ในหัวใจเธอและทำให้เธอต้องเจ็บปวดอยู่นาน! ครั้งที่แล้วองค์จักรพรรดิไม่มองหน้าเธอด้วยซ้ำ แล้วพระองค์จะชอบเธอได้ยังไงกัน องค์จักรพรรดิชอบเพียงแค่พระมเหสีเท่านั้น
ยิ่งหลิวจือหลิงคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกเศร้ามากขึ้นเท่านั้น เธอก้มหัวลงเล็กน้อยและตาของเธอก็แดง ระเรื่อขึ้นมาทันที
แม่นมที่ยืนอยู่ข้างหลังรู้สึกกังวลอย่างมาก เธอกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับหลิวจือหลิง อีกอย่างในสายตาของแม่นม คุณหนูยังไม่โตพอด้วย ถึงแม้ต่อหน้าพระมเหสีนางจะเก็บซ่อนอาการไว้อย่างดีก็ตามแต่เพียงแค่พระมเหสีพูดไม่กี่คำนางก็เริ่มที่จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้ว ยังไงซะนางก็ยังไร้เดียงสาเกินไป
“เพคะ” หลิวจือหลิงพูดเสียงหวาน
ไม่นานหลังจากนั้นนางก็เห็นหลินหยางเดินเข้ามา
หลิวจือหลิงเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นและทำความเคารพ “องค์จักรพรรดิ”
มู่หรงเสวี่ยยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้และอย่าคิดว่าเธอจะลุกขึ้นทำความเคารพ เมื่อหลินหยางเห็นว่าเป็นเด็กสาวจากคืนก่อน และก็เข้าใจได้ทันทีว่ามู่หรงเสวี่ยรู้สึกพอใจนางอยู่ไม่น้อย
“ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยเพคะ”
หลิวจือหลิงจ้องไปที่องค์จักรพรรดิตั้งแต่ที่ลุกขึ้นมา องค์จักรพรรดิของเธอ ให้มองเท่าไรเธอก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย ยิ่งมองมากขึ้นเท่าไร พระองค์ก็ยิ่งดูรูปงามมากขึ้นเท่านั้น
ใบหน้าที่สวยงาม เส้นผมดำเข้มที่ปรกลงมาด้านหน้าเล็กน้อย พัดปลิวเบาๆอยู่เหนือคิ้ว เธอรู้สึกอยากที่จะยื่นมือออกไปแตะขึ้นมาทันที
หลิวจือหลิงทำอย่างที่คิดจริงๆ เธอยื่นมือออกไปเพื่อที่จะจัดทรงผมให้คนที่เธอรัก
หัวใจของแม่นมแทบจะกระโดดออกมาจากอก นั่น องค์จักรพรรดินะ คุณหนูกล้าทำแบบนั้นได้ยังไง
สายตาของหลินหยางแวบประกาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ปล่อยให้นางจัดผมที่อยู่ร่วงลงมาของเขาไปทัดที่หู
หลิวจือหลิงที่นั่งเงียบอยู่นาน สุดท้ายเธอก็กลับมาได้สติและหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
โอ้ พระเจ้า! นี่เธอทำอะไรลงไปเนี่ย?!
“องค์จักรพรรดิ, องค์จักรพรรดิ ข้า, ข้า, ข้าน้อย…” หลิวจือหลิงเริ่มพูดติดอ่าง
หลินหยางมองไปที่นางที่ท่าทางกังวลและเริ่มหัวเราะออกมา
หลิวจือหลิงตะลึงไปอีกครั้ง สายตามองอย่างชัดเจน หัวใจเธอเต้นรัวมาก หลิวจือหลิงหลงจนหัวปักหัวปำแล้วจริงๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินหยางมีท่าทางที่แปลกออกไป เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปและหยิกไปที่หน้าของเธอ “ดึงสติกลับมาได้แล้ว”
หลิวจือหลิงแตะไปที่ใบหน้าที่ถูกสัมผัสของเธอแต่ก็ยังเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
มู่หรงเสวี่ยยังกัดผลไม้ต่อและทำเป็นมองไม่เห็น
หลินหยางมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เธอไม่กลัวเขาเลยสักนิด
“พอเลย เจ้าทำหน้าแบบนั้นแล้วดูน่าเกลียดจะตาย” มู่หรงเสวี่ยพูดเหน็บแนม
ก่อนที่หลินหยางจะทันได้ตอกกลับ หลิวจือหลิงก็หันหน้ากลับมาและโต้กลับออกมาทันที “ไม่นะ องค์จักรพรรดิดูดีมาก ข้าไม่เคยเห็นใครที่ดูดีเท่าพระองค์มากอ่นเลย…” สุดท้ายใบหน้าของหลิวจือหลิงก็เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ แม้แต่คอก็ไม่เว้น
หลินหยางมองไปที่ท่าทางของเธอ ทันใดนั้นเขาก็มีความรู้สึกขึ้นมาทันที บางทีมันอาจจะดีก็ได้ที่ได้เริ่มต้นใหม่
หลินหยางจับมือหลิวจือหลิงและพาไปนั่งที่ข้างๆเขา
“ได้เวลาอาหารแล้ว” หลินหยางพูด
ส่วนมู่หรงไม่ต้องเรียกเลย เธอเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะ
อาหารที่สั่งไปไม่นานก็จัดอยู่เต็มโต๊ะ
“เจ้าชอบกินอะไร?” หลินหยางถามหลิวจือหลิง
“ข้าชอบทุกอย่างเลยเพคะ” หลิวจือหลิงไม่รู้ว่าทำไมหัวของเธอถึงได้โล่งไปหมด เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบกินอะไร!
“ฮ่าฮ่า ข้าชอบคนที่กินเก่งจริงๆ” หลินหยางยิ้ม
สีหน้าของหลิวจือหลิงเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ไม่ ไม่นะ องค์จักรพรรดิรู้สึกแบบนั้นจริงๆเหรอ
มู่หรงมองไปที่คู่รักหวานแหวว “พวกเจ้าสองคนพอเลย”
หลิวจือหลิงเพิ่งจะสังเกตเห็นพระมเหสี เธอรู้สึกหงุดหงิดแต่ยังไงซะที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของพระมเหสีและเธอก็แทบจะลงไปคุกเข่าในทันที
หลินหยางจับเธอไว้ได้ทันพอดี “ไม่ต้อง ลุกขึ้นแล้วกินซะ!” หลินหยางพูด
หลิวจือหลิงมองไปที่พระมเหสีแต่นางไม่ได้มีท่าทางโกรธอะไรเลย ดังนั้นเธอจึงเริ่มที่จะระวัง
“อย่ามัวแต่ทำให้คนอื่นเขากลัวกันหมดเลย” หลินหยางพูดกับมู่หรงเสวี่ยอย่างไม่พอใจ
มู่หรงจ้องไปที่หลินหยางและพูดออกมา “เรื่องหัวใจสำคัญกว่าความเป็นเพื่อนสินะ!”
“เจ้ากล้าพูดหรอว่าเจ้าไม่เป็นเหมือนกัน” หลินหยางพูดย้อน
โอเค เธอเป็นหรือเปล่านะ?!
หลิวจือหลิงไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน ทำไมบทสนทนาถึงได้ดูแปลกๆ องค์จักรพรรดิกับพระมเหสีเป็นคู่รักกันไม่ใช่เหรอ?!
เพียงแต่วันนี้มันไม่สำคัญแล้ว เธอมีความสุขอย่างมากจนเริ่มที่จะสงสัยว่าตัวเองกำลังฝันไปหรือเปล่าและถ้านี่เป็นความฝัน เธอก็หวังว่าตัวเองจะไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก
เธอแตะไปที่ผงแป้งที่แขนเสื้ออย่างระวังและเริ่มที่จะรู้สึกลังเลขึ้นมาทันที