” เจ้าเหลือขอ ! ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขารู้ว่าจวินโม่เซี่ยต้องมีส่วนเกียวข้อง มิเช่นนั้นเหตุใดจวินโม่เซี่ยจึงขอให้เขาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ในครั้งนี้ ? เช่นนั้น เขาจึงอดที่จะจับบ่าของเจ้าเหลือขอผู้นี้ไม่ได้เมื่อได้เห็นเขา จากนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว หัวเราะขณะที่เขย่าจวินโม่เซี่ย
จวินโม่เซี่ยหัวเราะชั่วร้าย จากนั้นเขาพยายามให้หยุดจากการโดดนจับ และ เขายืนอยู่ด้านข้างภูเขา เขาจีบปาก และมุมปากของเขายกขึ้นเป็นคันศรขณะที่เขามองไปยัง ศึกชี้ชะตา ที่เกิดขึ้นในที่ห่างไกลออกไป
” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ท่านเอาชนะ เฟิงจวนจุ้นในการต่อสู้หรือไม่ ? “
จวินโม่เซี่ยถาม เขาไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่รู้สึกว่าสองคนนี้ได้ล้ำเส้นกันอีกครั้ง
เฟิงจวนจุ้น ท้าทายเขามานับ ทศวรรษ เข่นนั้น เขาจักปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ? ยิ่งกว่านั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ได้เรียนรู้กระบวนท่าใหม่ และมีโอกาสที่จะอาชนะคู่ต่อสู้เก่าได้ เช่นนั้น เหตุใดเขาจึงไม่แสดงมันออกมาละ ?
” หึหึ … ข้าโชคดี … แค่โชคดี ! ”
ปากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเปิดออก แต่เขาพยายามคงใบหน้าเคร่งขรึม แต่ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจแม้นว่าเขาพยายามที่จะเก็บซ่อนมันไว้ และ นั้นดูเหมือนว่าเขาโดนใครบางคนต่อยเข้าไปที่ใบหน้า
จวินโม่เซี่ยหัวเราะด้วยความพึงพอใจ ความจริง เขายิ้มจนปากฉีกถึงหู จากนั้นเขาถาม
” เจ้าเอาชนะเขาอย่างมั่นใจหรือ…? “
มุมปากของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยกเป็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นขณะตอบ
” ข้าทำเช่นนั้น ข้าทำ ! แต่พวกเราเป็นเพื่อนกัน เช่นนั้น พวกเราจึงเพียงเรียนรู้จากการพัฒนาของกันและกัน พวกเราเพียงเรียนรู้กันและกันเท่านั้น ! ฮ่า ฮ่า …. ”
เขาไม่อาจยับยั้งความภูมิใจในตอนที่เอ่ยจบ จากนั้นเขาหัวเราะลั่น …
ไม่แปลกใจที่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจักมีจิตวิญญาณที่สูงส่งเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เอาชนะคู่ต่อสู้นับสามสี่สิบปีได้ ความจริงเขาได้สร้างความโดดเด่นที่หนือกว่าได้ ความสำเร็จดังกล่าวจักทำให้ทุกคนพึงพอใจในตัวเอง ! ความจริงเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวทำตัวไม่แยแสต่อความสำเร็จของตัวเองเมื่อพูดถึงความยับยั้งชั่งใจทั้งหมดของเขา
” ท่านหัวเราะสิ่งใด ? เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! กองทัพพันธมิตรพ่ายแพ้ ! นั่นทำให้เจ้ามีความสุขหรือ ? นั่นทำให้เจ้าภูมิใจหรือ … ? “
ลีจื้อเทียนหันมองไปยัง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ดวงตาของเขาเพ่งไปราวกระบี่เฉียบคม ราวกับเขากำลังระเบิดอารมณ์
ลีจื้อเทียนเศร้าหมองอย่างมาก และ เจ้าต้องการปลดปล่อยใส่ใครบางคน แต่เขาไม่คาดว่าจักมีคนในฝ่ายเขาจักหัวเราะมีความสุขในเวลานี้
นี่คือการตบหน้าข้า ! และเจ้ากำลังเยาะเย้ยการสูญเสียของข้า ?
” แม่ข้า ! แม้เจ้า ลีจื้อเทียน แต่ไม่ใช่ข้า เข้าใจไหม ? “
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมีความสุขอย่างมากในตอนนี้ เขามีความสุขเพราะเขาได้บรรลุในสิ่งมี่เขาเฝ้ารอมานาน ยิ่งไปกว่านั้น ลีจื้อเทียน ตำหนิเขาต่อหน้าจวินโม่เซี่ย ดังนั้น นี่ทำให้ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว มีความสับสนอย่างมาก ดังนั้น เขาจึงมีโทสะขึ้นมาในทันที
” คนอื่นไม่อาจหัวเราะได้เพราะคนจาก มณฑนของเจ้ากำลังตายอย่างนั้นหรือ ? เป็นเหตุผลอันใดกัน ? นี่เป็นครั้งที่สามในวันนี้ที่เจ้าสร้างปัญหาให้ข้า ! แม่เจ้า ! เจ้าคิดว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว นั้นเป็นอิฐหินหรืออย่างไร ? “
ในตอนนั้นดูเหมือนเหยี่ยมผู้โดดเดี่ยวกำลังตั้งท่า ! ชัดเจนว่าสิ่งต่างๆเกินรับมือ !
ข้าช่วยชีวิตลูกชายเจ้าตอนที่เจ้าโง่นั้นทำให้ เฟิงจวนจุ้นขุนเคือง ! แล้วเจ้ายังโกรธข้า ? และตอนนี้เจ้ายังใช้อารมณ์มากเกินไป ! ข้าหัวเราะไม่ได้เมื่อข้าต้องการอย่างนั้นหรือ ? ข้าคือใคร … ขี้ข้า มณฑลฉือฮั่น อย่างนั้นหรือ ?
ลีจื้อเทียนคำรามทางจมูก จากนั้นเขายกข้าเดินไปข้างๆพวกเขา
สีหน้า จวินโม่เซี่ยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการดูการกระทำอยู่ข้างๆ เขายังผลัก เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ออกไป ราวกับกำลังบอกถึงความปรารถนาออกมาว่า ทำเพื่อข้า !
” ข้าบอกให้ยุด ! ”
เสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้า ขุนเคือง และโทสะดังก้องขึ้นราวฟ้าร้อง
ลีจื้อเทียน และ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว กำลังจะลงมือ แต่ พวกเขาต้องตกใจด้วยเสียงนี้ พวกเขามองขึ้นไป และ ประสกเหมยกำลังเข้ามาใกล้พวกเขาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของนางเฝ้าดูจวินโม่เซี่ยอย่างสนใจ ราชันแห่งเทียนฟาตัวสั่นและมีแสงโชตชั่วในดวงตา แก้มของนางเกือบเปลี่ยนเป็นสีแดง หน้าแดง
จวินโม่เซี่ยยังไม่ได้แสดงตัว แต่ ประสกเหมย รู้แล้วว่าเขาคือเจ้าคนสกปรกนั้น และ การได้พบสิ่งนี้ทำให้นางเกือบเป็นลม
นางเห็นใบหน้าที่งดงามและหล่อเหลา แต่จำได้เพียงฝันร้ายที่นางได้พบเมื่อวันก่อน … การถูกทารุณที่นางต้องประสบ ประสกเหมยรู้สุกหัวใจเต้นแรงอย่างกระวนกระวาย เลือดพุ่งพล่านใจร่างของนางและพุ่งขึ้นมาบนหัว ลมหายใจของนางติดขัด ความจริง นางมองเห็นถึงดวงดาวแห่งความสับสนได้ตรงหน้า นางรีบสูดหายใจ และในที่สุดก็สงบลงเล็กน้อย
นี่เป็นความประหลาดใจ …หรือนางกำลังตกหลุมรัก การตอบสนองนี้เกิดจากโทสะ
มันเป็นความโศกเศร้า ขุ่นเคือง และความอับอายอย่างที่สุด ชนิดที่สามารถล้นขึ้นไปถึงสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย !
ความจริง แม้แต่สวรรค์ก็สงสารนาง
ในที่สุดข้าก็ได้พบคนผู้นี้อกครั้ง !
ข้าจักทำให้เขากลายเป็นเนื้อบด ข้าจักสับเขาเป็นพันชิ้น ! ความจริง โทสะของข้าก็ไม่อาจลดลงแม้นข้าจักสับเจ้าเป็นพันชิ้น ไอ้คนหยาบคายสารเลว !
นางพยายามควบคุมอารมณ์ และระงับโทสะขณะที่นางลอยอยู่ข้างบน ราชันแห่งเทียนฟาพยายามควบคุมตัวเองอย่างมาก แต่นางไม่อาจหยุดการสั่นไหวเล็กของร่างกายได้
อย่างไรก็ตามตอนนี้ ลีจื้อเทียน และ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ได้หายจากการตกใจแล้ว ลีจื้อเทียนตะโกนลั่น และเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาเป็นยอดปรมาจารย์อันดับสองของโลก จักหยุดได้อย่างไรแม้นจักมีคนบอกเขา ? …. โดยเฉพาะกับคนที่เขาถือว่าเป็นศัตรู ?
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็เริ่มเคลื่อนไหว เขากำลังเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์อันดับสอง เช่นนั้น เขาจักทำให้มันง่ายได้อย่างไร ? ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเตรียมทุกอย่างที่เขามีเพื่อเผชิญกับการท้าทายนี้ …
แต่กระนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ไม่อาจโจมตีได้ เมื่อ ลีจื้อเทียนหายไปจากสายตา
ประสกเหมยมีโทสะอย่างมาก นางบอกให้พวกเขาหยุด แต่ ลีจื้อเทียนกล้าที่จักทำตามความต้องการต่อไป เช่นนั้นนางจึงไม่อาจยับยั้งโทสะที่พุ่งพล่านอยู่ได้ นางพุ่งออกไปด้วยโทสะ และคว้าคอ ลีจื้อเทียน จากนั้น นางตรึงเขาไว้กับพื้น หัวของ ลีจื้อเทียน ชนเข้ากับก้อนหิน ก่อนหน้านี้เขาเคยนั่งอยู่บนหินห้อนนี้ แต่มันถูกหัวเขากระแทกเข้าไปในตอนนี้ จากนั้น ประสกเหมยตบหน้าของเขา
“ปั้ง ! ”
เสียงนั้นดังก้อง ! และ มันดังไปทั่วบริเวณนั้น
” ข้าบอกให้เจ้าหยุด ! เจ้าไม่ได้ยินข้าหรือ เจ้าโง่ ?! ตาแก่โง่ ! ”
ประสกเหมยยังคงโจมตีเขาต่อไปด้วยโทสะ นางปล่อยแขนและขาของนางล่องลอยออกไปและเตะต่อยเข้าอย่างต่อเนื่อง ชัดเจนว่านางไม่อาจควบคุมตัวเองและอารมณ์ของนางได้แล้ว นางคำรามขณะที่ยังคงโจมตีต่อไปด้วยโทสะ
” เจ้าหูหนวกหรือ ? เจ้าไม่ได้ยินข้าหรือ ? ข้าทำให้เจ้าฟังได้หรือ ? เจ้ากล้าที่ะไม่ฟังข้าได้อย่างไร … ? เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือเจ้าคนไร้ยางอาย ? ตาแก่ สกปรก ไร้ยางอายต่ำต้อย กล้าแสร้งว่าไม่ได้ยินข้าอย่างนั้นหรือ ? “
ยอดปรมาจารย์อันอับสอง ลีจื้อเทียน ไร้ความแข็งแกร่งที่จักตอบโต้ เขาทำได้เพียงมองไปยัง ประสกเหมย ด้วยความโศกเศร้าและโกรธเคือง เขาถูกทำให้อับอายจนความอยากฆ่าตัวตายก่อขึ้นใจหัวใจของเขา
ข้าอยากตาย !
โศกอนาฏกรรมของ ลีจื้อเทียน นั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบาย
ข้า ข้า …ข้าเพียงต้องการต่อสู้กับ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! ทำไมถึงทำให้เจ้าขุ่นเคือง ? เหตุใดเจ้าจึงตบตีข้า ?
ข้าไม่อาจรู้ได้ แต่โชคร้ายของเขาเริ่มตั้งแต่เขาเอ่ยว่า
“ข้าหวังว่าท่านจักสบายดีจากครั้งก่อนที่เราพบกัน ? “
และชัดเจนว่าเป็นเพราะจวินโม่เซี่ย และจากนั้น ประสกเหมยก็สูญเสียความมีเหตุผลและเกิดโทสะเมื่อผู้กระทำผิดต่อนาง จวินโม่เซี่ย ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าของนาง เช่นนั้น นางจักไม่ทำร้ายเขาได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ฟังคำสั่งของนาง ?
ลีจื้อเทียนคงเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสภาวะยากลำบากของเขาหากเขาได้รู้สิ่งนี้ ความจริง เขาจักได้รู้ว่า การตบตีที่เขาได้รับนั้นไม่ไร้เหตุผล แต่ ปัญหาคือ … เขาไม่รู้อะไรเลย …
ดังนั้น ลีจื้อเทียนจึงแสดงออกถึงวามโศกเศ้ราและเสียใจ ความจริง มันไปถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกกำลังชกต่อย ยอดปรมาจารย์อันดับสอง ความจริง แม้แต่ใบหน้าของเขายังโดนกระแทกอยู่หลายครั้ง !
นี่คือการดูหมิ่น ! ข้าจักไปเผชิญหน้ากับ วีรบุรุษและยอดฝีมือที่แข็งแกร่งในโลกนี้ได้อย่างไร ?
ขนาดคนพาลก็มิได้กลั่งแกล้งเช่นนี้ ! เข้าบ้าคลั่งเมื่อข้าเอ่ยวาจาเหล่านั้น แต่ตอนนี้ข้ามิได้เอ่ยสิ่งใดเลย ข้าเพียงแค่มีส่วนร่วมกับ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! ข้าควรทำอย่างไรเจ้าจึงคิดว่าเหมาะสม ? ข้าต้องทำตัวอย่างไรเจ้าจึงพอใจ ?
ลีจื้อเทียนอยากตะโกนสิ่งเหล่านี้ออกไป แต่เขาไม่อาจทำได้ ความจริง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า ….
เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง ยังอุทานตกใจ
” พลังแห่งจักวาล ? โลกาคุมขัง … ”
พวกเขามองไปยัง ประสกเหมยด้วยความหวาดกลัว ก่อนหน้านี้ทั้งสองวางแผนจะก้าวออกไปและไกล่เกลี่ย แต่ พวกเขาทั้งสองกลับต้องถอยกลับมาในตอนนี้
บางที ยอดปรมาจารย์ลี่และคนอื่นๆไม่อาจรู้ตัว แต่ สองอดีตยอดปรมาจารย์ และ ประมุขทองคำจาก โลกเซียนอมตะจักไม่รู้ได้อย่างไร ?
” พลังแห่งจักรวาลแปรเปลี่ยนเป็นสวรรค์และโลก พลังแห่งการรวมตัวของหยินและหยาง พลังแห่งจักรวาลที่อยู่ในมือข้า เช่นนั้น ข้าจึงเป็นเลิศที่สุดในโลก ! ไม่มีศัตรูคนใดต่อต้านข้าหากข้าสามารถใช้พลังเช่นนั้นจัดการกับพวกเขา “
นี่คือ พลังแห่งจักรวาล
เหมือนว่า เคล็ดวิชาของ ประสกเหมยจักไปถึงระดับสูงสุดและขณะที่นางกำลังจัดการกับ ลีจื้อเทียน ไม่มีช่องให้เขาหลบเลี่ยง และ ดูเหมือนว่าลี่จื้อเทียนจะไม่มีกำลังในกรตอบโต้ ชัดเจนว่านี่เป็นเพราะ โลกที่คุมขัง กลอุบายของ พลังแห่งจักรวาล
ราวกับโลกถูกทำให้กลายเป็นกรงขัง คู่ต่อสู้จักกลายเป็นนักโทษ และจากนั้น พวกเขาสามารถทำทุกสิ่งที่พอใจกับนักโทษได้ นี่คือผลของ โลกาคุมขัง คำอธิบายนี้อาจจะเกินจริง แต่นั้นคือสิ่งที่เป็น ….
ประสกเหมยโจมตีด้วยโทสะของนาง และได้แสดงถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมา แต่ เป็นที่ชัดเจนว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการอุ่นเครื่องของนาง !
เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง มองหน้ากัน พวกเขาตื่นกลัวภายใน พวกเขาโชคดีที่ไม่ได้ขยับตัว มิเช่นนั้น ทั้งสองจักไม่ถูกโยนและโดนต่อยหน้าแทนอย่างนั้นหรือ….. ?
ทั้งสองถอนใจอย่างเย็นชา แต่พวกเขาเขาผ่อนคลายอย่างมาก
ลีจื้อเทียน กำลังถูก ประสกเหมยจัดการ แต่ เขาไม่อาจหลบหรือต่อต้านได้ เขาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่ได้รู้ว่าเขามิอาจขยับนิ้วได้ ชายผู้น่าสงสารไม่อาจต้านทางได้เลย เช่นนั้น เขาจึงเพียงมองออไปอย่างไร้ความหวังขณะที่ ประสกเหมยคว้าคอเขา ตรึงเขาไปที่พื้น และต่อยหน้าเขาโดยไม่พัก ความจริงเขา เขาไม่สามารถแม้ส่งเสียงครวญคราง ….
ในที่สุด ประสกเหมยก็ได้ปลดปล่อยโทสะใส่ ลีจื้อเทียน มากเพียงพอ เช่นนั้นนางจึงโยนเขาออกไป ดูราวกับนางกำลังโยนขยะทิ้ง จากนั้นนางหันหน้ามาช้าๆ และมองไปยัง จวินโม่เซี่ย สายตาของนางแหลมคมและเยือกเย็น ราวกับนางต้องการสาปแช่งเขา !
” เจ้าชั่วนี่เป็นใคร ? “
ประสกเหมยขบฟัน และถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง นิ้วของนางชี้ไปยังจวินโม่เซี่ย แต่ดวงตาของนางมองไปยัง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว
” ข้ามาจากสกุลจวิน ข้ารู้ได้หรือไม่ว่าพี่ผู้นี้ต้องการสิ่งใดจากข้า ? “
จวินโม่เซี่ยเดินหน้าไปและตอบ นางรู้ถึงนิสัยของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่ จวินโม่เซี่ยรู้ ประสกเหมยนั้นไร้เทียมทาน แต่ไม่อาจมีผู้ใดที่สามารถใช้น้ำเสียงนั้นกับ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และ หลบไปโดยไม่ได้ยินสิ่งใดตอบกลับมา
จวินโม่เซี่ยเดาว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จักถามอย่างตรงไปตรงมาและหยาบคาย
” เจ้ากำลังถามใคร ? “
หากเขาไม่ลงมือให้เร็วพอ ชัดเจนว่าวาจาเหล่านั้นจักทำให้ ประสกเหมยขุนเคือง และ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว คงจักมีจุดจบเหมือน ลีจื้อเทียน และต้องทนทุกข์ทรมาณอย่างมากเช่นเขา
ดังนั้น จวินโม่เซี่ย จึงชิงลงมือก่อนที่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จักทำ เขาคิดว่า ประสกเหมยผู้นี้จะไม่มีเรื่องไม่พอใจเขา เช่นนั้น เขาจึงคิดว่ามิใช่เรื่องใหญ่ที่จักคุยกับเขา
บางทีอาวุโสผู้นี้ได้เห็นหน้าและกรามของข้า และเขาต้องการให้ข้าสืบทอดวิชาและเป็นศิษย์ของเขา ….
หากเป็นเช่นนั้น ในโลกนี้ข้ามีผู้ใดต้องหวาดกลัว …. ?
วะ ฮ่าฮ่าฮ่า ….