จวินโม่เซี่ยไม่รู้ถึงสิ่งนี้ แต่ภาพลักษณ์ของเขานั้นเกินความจริง  ความประทับใจที่เขารู้สึกว่าเขามีต่อ ประสกเหมยนั้นไม่เป็นความจริง นางเกลียดเขา  ความจริง มันเป็นความเกลียดชังที่ไร้จุดสิ้นสุด  ยิ่งไปกว่านั้น นางจักไม่ลืมความขัดข้องใจของนางแม้นนางจักตายไปสามชาติ  ความเกลียดของนางหยั้งรากลึก !

 

จวินโม่เซี่ย ดูค่อนข้างพอใจกับตัวเองในตอนนั้น

ความหล่อก็มีข้อดีของมันเช่นกัน   อาวุโสผู้นี้ต้องชอบอะไรบางอย่างในตัวข้า ….

 

” …. เจ้ามาจากสกุลจวิน ?  เจ้าชื่ออันใด ?  เจ้าเป็นผู้ใดในนั้น ?  เจ้าอายุเท่าใหร่ ? “

วาจาเหล่านี้ฝืนออกมาจากร่องฟันของนาง  แต่คนอื่นที่ได้ยินนางพูด และคิดว่า ประสกเหมย สนใจในตัวเขา และต้องการที่จัดเอาเขาไปไว้ใต้ปีกของนาง

 

“ข้าน้อยผู้นี้คือ จวินโม่เซี่ย จากสกุลจวินแห่งนครเทียนเชียง  ข้าอายุ 18 และยังมิได้แต้งงาน ข้าแต่งบทกวีได้ดี  ความจริง ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้ไม่ดี ข้าศึกษาการเมืองและการทหาร และ จตุรศิลป์ และข้าน้อยผู้นี้ได้ศึกษาปรัชญาต่างๆ ”

จวินโม่เซี่ยหัวเราะเล็กน้อย  เขาดูมั่นใจขณะที่โอ้อวดตัวเอง

 

เขาต้องการเพิ่มเติมว่า

” ข้ายังสามารถพูดได้แปดภาษา”

แต่เขากลับกลืนคำนี้เข้าไปในขณะที่กำลังจะพูดออกมา

 

” จวินโม่เซี่ย … จวินโม่เซี่ย …จวินโม่เซี่ย …จวินโม่เซี่ย….”

ประสกเหมยเอ่ยวาจาเหล่านั้นราวกับเสียงครวญ จากนั้น เสียงของนางสั่นคล้ายร้องไห้  จากนั้นมันก็กลายเป็นคำนั้นคำเดียว  เสียงของเขาเริ่มดังขึ้น และสั่นสะเทือนหุบเขาและทุ่งหญ้า ความจริง เสียงสะท้อนนั้นสาดเข้าใส่หุบเขาราวคลื่นยัก …

 

” จวินโม่เซี่ย ..จวิน…โม่เซี่ย ……จวิน…โม่เซี่ย … ..จวิน…โม่เซี่ย .. จวินโม่เซี่ย…. เซี่ย …เซี่ย …เซี่ย….”

 

นภาและป่าดงก้องสะท้อนคำนั้นไปอีกระยะ  ชื่อของจวินโม่เซี่ยสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ในเวลานั้น  ความจริง ทุกสิ่งสั้นสะเทือนอย่างรุนแรง

 

” เอ่อ ข้าไม่รู้ว่า ท่านอาวุโสต้องการแนะนำสิ่งใดกับข้า … ”

จากนั้นเขาเริ่มรู้สึกแปลกประหลาดใจใจ …ราวกับมีบางสิ่งผิดปกติ

โอ้ว !  เหตุใดข้าจึงรู้สึกราวกับถูกเกลี่ยดเข้าไส้ ?  ข้าไม่เคยทำให้ท่านขุ่นเคือง … ข้าไม่เคยพบ ประสกเหมย ชุดดำนี่

 

อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยได้บอกให้ตัวเองหลบหนีเข้าไปใน เจดีย์หงส์จวิน หากสิ่งต่างๆผิดพลาดไป …แม้นว่ามันจักเป็นการเปิดเผยความลับของเขา

 

ประสกเหมยผู้นั้นเป็นผู้ที่ยากจะรับมือ

ยอดปรมาจารย์ ลีจื้อเทียนถูกตรึงกับพื้นเพียงเขาใช้มือข้างเดียว  เช่นนั้น การโดตต่อยเพียงครั้งเดียวข้ามิอาจทนได้ !

 

ลีจื้อเทียนแข็งแกร่งอย่างมาก และอาจจะรับมือกับหมัดที่แข็งแกร่งของ ประสกเหมยได้  แต่ หากข้าโดนมันเข้า … ร่างของข้าอาจยังอยู่ที่นี่ แต่หัวของข้าคงจักลอยไปถึง นครเทียนเชียง ในวันฉลองปีใหม่ได้

 

“ชี้แนะเจ้า …. ? “

ประสกเหมยทวนคำนนั้น และเสียงสติทันใด

แล้วข้าควรทำสิ่งใด ?  ข้าจักต่อยเขาจนตาย …?  ควรเตะเขาจนตาย … ?  แต่ …. มันจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ ?  ความเกลียดชังของข้าต่อเขาไม่อาจหายไปแม้นข้าจักสังหารเขาไปสักพันครั้ง !

 

ข้า….จักทำอย่างไร ?  ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี้ไม่เหมาะสมที่จักถูกตีเช่นกัน …

 

สุดท้ายแล้ว อาจบอกได้ว่าเจ้าเลวทรามผู้นี้ได้ช่วยชีวิตข้า  การสังหารเขาจักไม่มากไปหน่อยหรือ ?

 

” ชี้แนะ ..”

ประสกเหมยเคลื่อนไหวและจับเขาไว้ในทันใด

 

พวกเขาอยู่ห่างกันราวๆสามสิบเมตร  และนั้นก็เป็นระยะปลอดภัยในความคิดของจวินโม่เซี่ย  แต่ ประสกเหมยยกแขนของนางขึ้น และเขารู้สึกว่าเขาไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย  จากนั้นเขารู้สึกถึงแรงบนร่างกายของเขา  และ ร่างของเขาเริ่มเคลื่อนไหวเอง  ต่อมาเขาก็โดย ประสกเหมยจับไว้

 

ทั้งร่างของ ประสกเหมย ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมสีดำไม่เปลี่ยนแปลง  แต่ จวินโม่เซี่ยได้กลิ่นหอมที่แปลกประหลาด  ความจริง มันเป็นกลิ่งที่น่าอัศจรรย์  เขาไม่เคยได้กลิ่นหอมหวานเช่นนี้มาก่อน คุณชายน้อยจวิน อดที่จะหลับตาและสูดเข้าไปเต็มปอดไม่ได้  จากนั้นเขาลืมตาและอุทาน

 

“หอมหวานนัก ! “

 

เจ้าเด็กนี่ยังพยายามหาผลประโยชน์อีกหรือ ?

 

ทันใดนนั้น ประสกเหมย เปลี่ยนใจอย่างรวดเร็วและต้องการที่จักบีบคอเด็กหนุ่มผู้นี้

 

แต่ ประสกเหมย รู้สึกถึงปราณบริสุทธิชั้นเลิศ ที่เคลื่อนผ่านร่างของเขาขณะที่คว้าตัวเขาไว้  จากนั้นนางจึงเชื่อว่า ยอดฝีมือผู้มีฝีมือที่สามารถ พัฒนาการเพาะปลูกของ อสูรเชวียน และได้บุกเข้าไปในเทียนฟา และขโม ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ และ ยาเหล่านั้นเกี่ยวของกับเด็กหนุ่มผู้นี้

 

ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ปรากฏตัวขึ้นในป่าในวันเดียวกับยอดฝีมือลึกลับผู้นี้  อีกทั้ง เขายังมีปราณอัศจรรย์นี้เช่นเดียวกัน  เช่นนั้น จึงเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาทั้งสองเป็น ศิษย์และอาจารย์กัน

 

มิใช่ว่า ประสกเหมย ไม่เคยคิดว่า ยอดฝีมือลึกลับและเด็กผนุ่มผู้นี้เป็นคนเดียวกัน  แต่ นางได้รู้ว่า ยอดฝีมือผู้นั้นมี วรยุทธที่ยอดเยี่ยม  แต่ ความแข็งแกร่งของเด็กผู้นี้เปรียบได้ดั่งขยะ  ดังนั้น นางคงไม่อาจคิดว่าทั้งสองมีความเกี่ยวโยงกัน หากพวกเขาไม่ปรากฏตัวในเทียนฟาในัวนเดียวกัน และ หากนางไม่สัมผัสได้ถึงปราณของ คุณชายน้อยจวิน เมื่อครู่นี้

 

ความคิดของ ประสกเหมย วนเวียนอย่างน่าสับสน  นางกลัวถึงผลที่ตามมาหากบีบคอเขาเพราะ ความคิดอันตื้นเขินของเขา

อสรูแห่งเทียนฟาได้รับการพัฒนา  นั้นเป็นสิ่งที่ดีกับพวกเรา  พันธมิตรจักไม่ขาดสะบั้นหรอกหรือหากข้าสังหารเด็กผู้นี้ ?  พวกเราจักไม่สูญเสียหรอกหรือหากข้าพยายามล้างแค้น ?  ผลร้ายจักตามมากับโทสะของยอดปรมาจารย์ลึกลับผู้นั้น !  ข้าอาจไม่สนใจถึงฝีมือของเขา  แต่ กับ ราชันอสูรเชวียนละ ?

 

” ผู้อาวุโส …?! “

จวินโม่เซี่ยสัมผัสได้ถึงความลังเลของ ประสกเหมย  เช่นนั้นเขาจึงเอ่ยออกมา  เขาตะโกนยังไม่ทันจนในตอนที่เกิดเสียง “ปัง!” การตบอย่างแรงทำให้หน้าของเขาอุ่น ทุกคนที่อยู่บนพื้นเริ่มดูเหมือนจะตัวเล็กลงขณะที่เขาพุ่งขึ้นไปท่ามกลางเมฆหมอกและ ลอยขึ้นสูงต่อไป

 

ประสกเหมย โยนเขาขึ้นไปในอากาศสามร้อยเมตร  จากนั้น นางกระโดดขึ้นและไล่ตามเขา  เสื้อคลุมสีตำของเนางปกคลุมดวงตาของเขาขณะที่ฉากเปลี่ยนไปด้วยเสียง ปั้ง !  ปั้ง !  ปั้ง !

เขาโดนตบเข้าไปที่หน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ประสกเหมยตบหน้าเขากลางอากาศ … ด้วยความสนุกสนาน

 

ข้าไม่ต้องการสังหารเจ้าแต่ข้าต้องการทำร้ายเจ้าเท่าที่ข้าต้องการ  อะไรจะเลวร้ายกว่ากันกับการที่ข้าสังหารเจ้า ?

 

” แม่เจ้า !  เจ้าไม่สบายหรือ ?!  เจ้าตบข้าอย่างไร้เหตุผล ! ”

จวินโม่เซี่ยมีโทสะอย่างมาก และพยายามที่จักหันหน้าไปถาม  แต่กระนั้น เขาก็มิได้พยายามหันหน้าของเขากลับไป หน้าของเขาต้องแตกเป็นเสี่ยงหากเขาโดนตบด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ตอนที่เขาหันไป  เขาต้องคิดถึงข้อดีข้อเสียงขณะที่หัวของเขาเหวี่ยงไปรอบๆ  นี่คือความ ยืดหยุ่นของมือสังหารจวิน  หากเป็นคนอื่นๆคงจักถูกฉีกเป็นชิ้นๆ

 

ลมบนที่สูงนั้นแรง และ จวินโม่เซี่ยไม่อาจเอ่ยให้จบประโยคให้เสียงดังเพียงพอได้  แต่ ประสกเหมยก็เข้าใจความหมายนั้นได้อย่างชัดเจน

 

เจ้าชั่ว !  ปากของเจ้าสกปรกนัก !  ถึงเวลาที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย !

 

เขาเงียบ และกัดปากขณะโดนตีอย่างต่อเนื่อง

 

จวินโม่เซี่ยเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นมีความตื่นเต้น เนื่องจากเขากำลังตบตีเขาด้วยความสุขใจ

 

แม่เจ้า !  คนผู้นี้ซาดิสม์ !

 

ปราชญ์รู้ดีว่าจักต้องไม่สู้หากโอกาศไม่เป็นใจ  ข้าจักกลับมาต่อสู้ในตอนที่มีโอกาส

จวินโม่เซี่ยมีความคิดนี้ในหัว และจากนั้นเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

นี่คือ เคล็ดอิสระหยินหยาง แม้แต่ ลีจื้อเทียน ก็ไม่อาจหลบไปได้อย่างปลอดภัย เมื่อ ประสกเหมย ตั้งใจและใช้จิตวิญญาณมุ่งเป้าโจมตีเขา

 

ประสกเหมยนั้นอยู่ในอารมณ์ที่ดี และนางกำลังขยับมือเพื่อโจมตีเขาอีกครั้ง แต่ นางกลับพบเพียงแต่อากาศที่ว่างเปล่า  นางหายใจออกและพบกับความสับสน  นางมองไปรอบๆแต่ไม่พบสิ่งใด

ประหลาด … เจ้าชั่วนี่สามารถหลบหนีเงื้อมมือข้าไปได้ !

 

อย่างมากเขาก็เป็นเพียงหยกเชวียน !  เช่นนั้น เขาจักหนีไปได้อย่างไร ?  ไร้สาระ !

 

ในที่สุดจวินโม่เซี่ยก็หนีไปได้  และ ประสกเหมย เริ่มหม่นหมองอย่างมากเนื่องจากนางไม่มีอะไรให้ระบายโทสะอีกแล้ว  นางดูสับสนขณะที่ลอยต่ำลงมาช้า  มีเพียงแค่ความสับสนในสมองของนาง …

เขาหนีไปได้อย่างไร ?  น่าประหลาดใจยิ่งนัก !

 

จวินโม่เซี่ยดูถูกนางจากด้านในของ เจดีย์หงส์จวิน ในขณะที่นางกำลังประหลาดใจ

 

คุณชายน้อยจวิน มีโทสะอย่างมาก

 

กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว !  ข้าไปทำให้เจ้าขุนเคืองเมื่อใดกัน ?  เจ้าโจมตีข้าตั้งแต่ที่เราเจอกันครั้งแรก  ขาดูเหมือนคนที่ต้องการโดนทำโทษอย่างนั้นหรือ ?

 

เจ้าเพิ่งจะเจอข้า !  แต่เจ้ายังมีความเกลียดชังที่รุนแรง ?  ข้าไปสังหารพ่อแม้เจ้าหรือ ?  ไปข่มขืนเมียงเจ้าหรือ … ?  หรือข้าเอาลูกของเจ้าโยนลงไปในบ่อ ?  เจ้าระเบิดโทสะอย่างรุนแรงในตอนที่เจอข้า !  เหตุใดจึงต้องเกลียดชังเช่นนั้น ?  เจ้าอาจเป็นราชันแห่งเทียนฟา แต่รอก่อนเถอะ !  วันหนึ่งข้าจักกลับมาและข้าจักลงโทษเจ้า !

 

มันน่าสับสนยิ่งนัก !

 

จวินโม่เซี่ยขบฟันขณะที่เขารู้สึกแสบร้อน  เขาไม่เคยโดนตบเช่นนี้มาก่อนในชีวิต … แต่ผู้ที่ทำเช่นนี้เป็นยอดฝีมือชั้นสูง คนสามัญอาจรู้สึกเป็นเกียรติที่โดนคนผู้นี้โจมตี  แต่ข้า จวินโม่เซี่ยไม่รู้สึกเช่นนั้น

 

เช่นนั้นพลังของเจ้านั้นยากต้องการรับมืออย่างนั้นหรือ ?  ข้าจักเร่งเพิ่มวรยุทธ์ของข้าเพื่อตามเจ้าให้ทัน และครั้งหน้าที่ข้าเจอเจ้า  เจ้าคนซาดิสม์ ข้าจักฉีกจ้าเป็นแปดชิ้น .. หรือชื่อช้ามิใช่จวินโม่เซี่ย !

 

ตอนนี้การสู้รบจบลงแล้ว

 

สิบยอดฝีมือเทพเชวียนจากนครพายุหิมะสีเงินต้องพบกับเวลาแห่งการสังหารและโชกเลือด เนื่องจากพวกเขาต้องปกป้อง เซี่ยวฮั่น และ มูซื้อทง ทั้งสองบาดเจ็บเล็กน้อย  แต่ คนเหล่านี้ได้ฝ่าวงล้อมและหนีออกมาได้  พวกเขาทุกคนรอด  การบาดเจ็บของพวกเขาไม่รุนแรง  เพียงแต่แค่เหนื่อยอ่อนเท่านั้น สำหรับ มณฑลฉือฮั่น … ยอดฝีมือเทพเชวียนสองในสามตายลงไป  ส่วนที่เหลือสามารถหนีออกมาได้ด้วยโชค แต่ พวกเขาเขาก็ได้รับบาดเจ็บและ ปราณเชวียนดูเหมือนจะได้รับความเสียหายอย่างมากจนต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟู พวกเขามีอาการจิตหลอน  และ ยังมือยอดฝีมือที่ขั้นต่ำกว่าเทพเชวียนอีกเจ็บร้อยที่ตายไป  แม้นว่าพวกเขาจำนวนมากเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียนก็ไม่เว้น

 

คนจากสกุลทรงอำนาจจำนวนมากสามารถหนีออกมาได้เพราะโชคช่วย  ฝ่ายศัตรูที่เหลืออยู่ก็วุ่นวายเช่นกัน

 

แต่ กลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุกคือผู้ที่อยู่กับ ผู้นำ จวินวูอี้  เขามีคนอยู่ภายใต้คำสั่งกว่าสามร้อย  พวกเขาตายไปกว่าเก้าสิบถึงหนึ่งร้อย  แต่ กว่าสองรอยยังคงมีชีวิตอยู่ !  ความจริง ไป๋ลี่หลัวหยุน ยอดฝีมือหยกเชวียนยังคงรอดโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ

 

ทุกคนเหนื่อยอ่อน  ดังนั้น ตงฟางเหวินชิง และ คนอื่นๆคุกเข่าลง และสูดหายใจเอาอากาศเข้าไป  อสูรเชวียน ที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่นั้นก็ไม่ต่างกัน  พวกเขมันแลบลิ้น กระดิกหน้า และหอบ

 

แม้แต่การแสดงก็ยังคงต้องใช้พลังมากมาย

 

การต้อสู้รอบแรกจบลง และฝ่ายเทียนฟาได้รับชัยชนะ

 

จวินวูอี้ขมวดคิ้ว  เขาไม่รู้สึกถึงความปิติกับชีวิตใหม่แม้นว่าเขาจักผ่านความตายมาได้  เขาไม่รู้สึกว่ามีความสุขจากการถูกอสูรเหล่านี้ล้อมไว้ … หรือปิติกับการที่รอดมาได้โดยไม่บาดเจ็บ  เขามองออกไปยัง พยัคฆ์ทองที่อยู่ตรงหน้าเขา และเพ่งออกไปยังยอดเขาด้วยความกังวล

 

ก่อนหน้านี้ชื่อของจวินโม่เซี่ยสั่นสะเทือนไปทั่งท้องฟ้า  แล้ว ชัดเจนว่าเขาก็ได้ยินเช่นกัน และ นั้นเป็นเหตุให้เขาเป็นกังวล ….