TB:บทที่ 140 ผมแค่อยากสัมผัสสิ่งที่เรียกว่าปืนดูสักครั้ง
หลังจากนั้น เฉินหลงกับหวังฮงก็เดินลงจากภูเขาไปพร้อมกัน
ทุกคนต่างมีความลับส่วนตัว และหวังฮงเองมีทักษะเฉพาะตัวในการปกป้องชีวิตของเขาเอง หลังจากที่เฉินหลงบอกเขาว่าเขาใช้โล่ปกป้องชีวิตของตัวเองไว้ หวังฮงก็ไม่ได้ไถ่ถามเฉินหลงว่า เขาไปหาโล่นั่นมาจากที่ไหน
“มาสเตอร์หวัง คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพใช่ไหมครับ?”
หวังฮงสามารถเคลื่อนย้ายเฮลิคอปเตอร์ทหารอย่างรวดเร็ว และยังสามารถติดต่อกับกองกำลังของซูตูได้อีกด้วย ดูเหมือนว่าเขามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ
“เมื่อหลายปีก่อนฉันเคยไปทำสงคราม และนายพลหลายคนก็สนิทกับฉันด้วย แต่ตอนนี้พวกเขาหลายคนเริ่มเป็นตาเฒ่าแล้ว บางคนก็อำลาโลกไปแล้วล่ะ” หวังฮงตอบเขาด้วยความรู้สึกบางอย่าง
บางทีมันก็เหมือนกับการระลึกถึง ช่วงเวลาที่แสนวิเศษในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เฉินหลงมองดูร่างกายของเขา จากนั้นก็รู้สึกถึงกลิ่นของดินปืนจางๆ
“มาสเตอร์ คุณเคยไปที่สนามรบเหรอครับ?” ในตอนที่เขาได้เห็นหน้าของหวังฮงในวัยห้าสิบ เฉินหลงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ในตอนที่เขาเห็นสีหน้าของเฉินหลง หวังฮงก็รู้ได้ในทันทีว่าเฉินหลงกำลังคิดอะไรอยู่ เขาตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม “หืม นี่นายคิดว่าฉันอายุน้อยขนาดนั้นเลยเหรอ? จริงๆแล้ว ฉันอายุ 85 ปีแล้วนะ ขอบใจที่ชมว่าฉันยังหนุ่มอยู่นะ ฮ่าฮ่า”
“ห๊ะ! อะไรนะครับ 85 ปีแล้ว?!” ในตอนที่หวังฮงบอกอายุจริงๆของตัวเอง ทำให้เฉินหลงตกละลึงไปในทันที
หวังฮงดูเหมือนคนที่อายุเพิ่งจะเข้าเลขห้า แต่จริงๆแล้วเขามีชีวิตอยู่มาตั้ง 85 ปีแล้ว ถ้าเป็นคนธรรมดาแล้วมีอายุขนาดนี้ บางทีเราอาจจะได้เห็นหน้าคนๆนั้นผ่านรูปที่แขวนอยู่บนฝาผนังบ้านแฮงๆ
“เสี่ยวเฉิน เมื่อจอมยุทธ์เข้าสู่ขอบเขตกำเนิด ความเร็วในการแก่ตัวของเขาก็จะเริ่มชะลอตัวลง คนที่มีขอบเขตกำเนิดสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า 100 ปี แถมยังสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอีกต่างหาก และในระดับครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อย 200 ปี ในอนาคต ฉันคิดว่าฉันน่าจะแก่กว่านั้นและมีชีวิตที่เป็นอมตะล่ะ” หวังฮงตอบ โดยที่เขากำลังดูถูกตัวเองอยู่
ถึงเขาจะอยู่ในระดับครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ แต่เขาก็ยังทำได้แค่มองเพื่อนเก่าของตัวเองจากเขาไปทีละคน ความรู้สึกที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้แบบนี้ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ
“มาสเตอร์หวัง ผมจะไปที่ค่ายทหารได้ยังไงเหรอครับ?” เฉินหลงเป็นคนที่ไม่รักชีวิตเท่าไหร่ แต่ในระบบมีของหลายอย่างที่สามารถเพิ่มอายุขัยได้ เขากลัวว่าถ้าตัวเองไปที่ค่ายทหารแล้วจะได้สัมผัสกับปืนหรืออะไรทำนองนั้นมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก
เมื่อได้ยินถามของเฉินหลง หวังฮงจึงหันหน้าไปมองเฉินหลงด้วยสายตาแปลกๆ “เสี่ยวเฉิน นายอยากเป็นทหารเหรอ? แต่ว่าตอนนี้นายได้เป็นถึงนายพลหลักแล้วนะ ฉันว่านายไม่เห็นจำเป็นต้องไปเป็นทหารเลย”
ในตอนที่เฉินหลงไปที่เซียงไท่ หวังฮงเองก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ทำให้เขารู้ตำแหน่งของเฉินหลง ว่าเขาเป็นนายพลหลักเรียบร้อยแล้ว
“ผมไม่ได้จะไปเป็นทหารสักหน่อย ผมแค่อยากไปที่ค่ายทหารแล้วหาปืนมาเป็นของตัวเองสักกระบอก ตอนนี้ ผมเป็นถึงนายพล แล้วถ้าผมไม่ได้สัมผัสปืนเลยสักนิด มันทำให้ผมรู้สึกละอายใจจริงๆนะครับ” เฉินหลงตอบอีกฝ่ายด้วยความลำบากใจ
หวังฮงมองดูเฉินหลงสักครู่ แล้วตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เข้าใจแล้ว วันนี้นายว่างไหมล่ะ ฉันจะพานายไปที่ค่ายทหารเอง แล้วก็ ตอนนี้นายเป็นถึงนายพลหลัก นายสามารถขอให้คนที่มีอำนาจสูงกว่านายนำปืนมาให้นายสักกระบอกได้นะ”
“เอ่อ คือ วันนี้ผมไม่สะดวกเท่าไหร่ เอาไว้พรุ่งนี้ ผมจะติดต่อคุณไปนะครับ” ตอนแรก เฉินหลงอยากตอบอีกฝ่ายว่า ‘ไปเลยตอนนี้ก็ได้นะครับ ผมพร้อม!’ ใจจะขาด แต่เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้นี้ตัวเองมีนัดสำคัญที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องไปให้ได้ นอกจากนี้เขายังต้องกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อให้จี้โม่ซีสบายใจอีก ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เลื่อนนัดของอีกฝ่ายไปวันพรุ่งนี้แทน
สำหรับการได้ครอบครองปืน พวกเขาจะต้องรอจนกว่าพวกเขาจะกลับมาจากค่ายทหาร
หลังจากลงจากภูเขามาแล้ว เฉินหลงกับหวังฮงก็ได้แยกย้ายกันไปคนละทาง เฉินหลงได้แวะไปหาตู๋เสวี่ย ในขณะที่หวังฮงไปที่ค่ายทหารแห่งซูตูเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับลูกชายของเพื่อนเก่าของเขา
ตู๋เสวี่ยและแม่ของเธออาศัยอยู่ในบ้านราคาถูกที่พัฒนาโดยรัฐบาล บ้านหลังนี้มีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก โดยมีขนาดประมาณ 40 ตารางเมตร
หลังจากประตูถูกเปิดออก เป็นตู๋เสวี่ยที่รู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นเฉินหลงมาตามนัด
ในตอนที่เฉินหลงจะมาไม่ถึง เธอคิดว่าเฉินหลงจะไม่มาซะแล้ว และตอนนี้ เฉินหลงก็ได้มาอยู่ที่นี่ ที่หน้าประตูบ้านของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หัวใจที่ห่อเหี่ยวของเธอก่อนหน้านี้ก็ได้ถูกเติมเต็ม
“พี่หลง! ฉันดีใจจริงๆนะที่พี่มาที่นี่ อุ๊ย นั่นอะไรน่ะ พี่จะให้ฉันรับของของพี่มาจริงๆเหรอ?” เห็นมือของเฉินหลงถือของขวัญชิ้นหนึ่งอยู่ ทันใดนั้นตู๋เสวี่ยจึงรีบเอ่ยถาม
เฉินหลงคลี่ยิ้มแล้วตอบเธอไปว่า “ตอนนี้เราก็เรียกได้ว่าเป็นทองแผ่นเดียวกัน*แล้วนะ เวลาที่เราไปที่บ้านคนอื่นครั้งแรก เราก็ควรนำของติดไม้ติดมือไปให้เขาด้วยสิ ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะมองว่าฉันเป็นคนไม่มีมารยาทน่ะสิ นอกจากนี้ของพวกนี้ ฉันตั้งใจซื้อมาฝากเธอเลยนะ ถ้าเธอไม่ยอมรับมันไป ฉันก็จะไม่ก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไปในบ้านเธอไม่ได้นะ ถือซะว่ามันเป็นสินน้ำใจจากฉันก็ได้นะ เอ้า รับไปสิ!”
“โอ้ยๆๆ ก็ได้ๆ เอาก็เอา เอามานี่ มาๆๆ เข้ามาในบ้านเลยพี่!” ในเมื่อเฉินหลงพูดแบบนั้น ตู๋เสวี่ยคงทำได้แค่ทำใจรับของมาเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงที่แหบแห้งดังออกมาจากข้างในห้อง
“เสี่ยวเสวี่ย ใครมาเหรอลูก?”
ตู๋เสวี่ยบอกกับเฉินหลงเสียงเบาว่า “เธอคือแม่ฉันเอง ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง พี่อย่าเอาเรื่องนั้นไปเล่าให้แม่ฟังนะ ฉันกลัวแม่คิดมากอ่ะ” จากนั้นเธอก็รีบตอบอีกฝ่ายว่า “แม่คะ เพื่อนของหนูเองค่ะ”
“เพื่อนของเสี่ยวเสวี่ยมาที่นี่ ลูกรีบพาเพื่อนเข้ามานั่งข้างในสิจ้ะ” แม่ของตู๋เสวี่ย ซุนเหมยฟาง ที่ได้ยินว่าผู้มาเยือนคือเพื่อนของตู่เสวี่ย ลูกสาวของเธอนั่นเอง ทันใดนั้นน้ำเสียงของเธอถูกเติมเต็มด้วยความปิติยินดี
ตั้งแต่ที่ตู๋เสวี่ยลาออกจากโรงเรียน ช่วงแรกๆเพื่อนร่วมชั้นของเธอบางคนก็มาหาเธอที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราว แต่มีจำนวนคนที่มาก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ถึงตู๋เสวี่ยจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอออกจากบ้านไปพร้อมกับรอยยิ้ม และกลับมาที่บ้านพร้อมกับรอยยิ้มทุกวัน แต่ในฐานะที่เป็นแม่ของเธอ ซุนเหมยหางสังเหตุเห็นความโดดเดี่ยวผ่านดวงตาของลูกสาวได้ และในตอนนี้ เธอมีเพื่อนมาเยี่ยมถึงที่บ้าน ซุนเหมยฟางรู้สึกดีใจมากที่เห็นลูกสาวของตัวเองมีเพื่อนมาเยี่ยมอีกครั้ง
หลังจากเฉินหลงเดินตามตู๋เสวี่ยเข้าไปข้างในห้อง เขาเห็นว่าซุนเหมยฟางกำลังส่งยิ้มมาให้เขา เขาจึงกล่าวทักทายอีกฝ่าย “สวัสดีครับ ผมชื่อเฉินหลงครับ”
ดูเหมือนว่าซุนเหมยฟางจะอายุประมาณ 40 กว่าปี เธอตัวไม่ค่อยสูงนัก น่าจะสูงราวๆ 160 เซนติเมตร คิ้วของเธอเหมือนกับของตู๋เสวี่ยเป๊ะๆ อาจเป็นเพราะตอนนี้เธอกำลังป่วยอยู่ เธอถึงได้ดูไม่เหมือนคนที่มีแรงสักเท่าไหร่
ในตอนที่ได้เห็นหน้าเฉินหลง ซุนเหมยฟางถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ตอนแรกเธอคิดว่าเพื่อนของลูกสาวจะเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อนของเธอจะเป็นผู้ชายตัวสูง หน้าหล่อ แถมยังสุภาพอีกด้วย ถ้าไม่ติดว่ามีลูกสาวมาแล้วตั้งหนึ่งคน แม่จะจีบไอ้หนุ่มนี่ให้ได้เลย จำคำแม่เอาไว้นะ รักกันที่ใจ ใช่ที่อายุ แถมอายุก็เป็นเพียงแค่ตัวเลขย่ะ! แต่เพราะเด็กคนนี้กำลังรอให้เธอตอบอยู่ เธอจึงรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า “นั่งเลยจ้ะ นั่งเลย โอ๊ะ บ้านหลังนี้อาจจะเล็กไปสักหน่อย ฉันหวังว่าเธอจะไม่รังเกียจนะจ้ะ”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้รังเกียจอะไรเลยครับ” เฉินหลงตอบอีกฝ่ายว่าเขาไม่รังเกียจที่จะนั่งบนม้านั่งตัวเล็กตัวนี้เลยแม่แต่น้อย
เฉินหลงไม่ใช่ลูกคุณหนูหรือเป็นพวกหัวสูง เพราะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ชีวิตของเขาก็เหมือนกับตู๋เสวี่ยและแม่ของเธอนั่นแหละ
เห็นว่าเฉินหลงนั่งที่ม้านั่งแล้ว ซุนเหมยฟางก็ยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวเฉินหลงมากกว่าเดิม
“แม่คะ แม่นั่งคุณกับพี่หลงไปก่อนนะ หนูจะเข้าไปเตรียมอาหารในครัวให้นะคะ” จู่ๆตู่เสวี่ยก็พูดขึ้มา
“ได้เลยจ้ะ” ซุนเหมยฟางพยักหน้าตอบ
ตั้งแต่ที่แม่ป่วย ตู๋เสวี่ยต้องทำงานบ้านทุกอย่างด้วยตัวเอง ถึงซุนเหมยฟางอยากจะช่วยเธอมากขนาดไหน แต่เพราะร่างกายที่ไม่แข็งแรง ทำให้เธอไม่สามารถช่วยเหลือหรือแบ่งเบาภาระให้ลูกสาวตัวเองได้เลย
หลังจากตู๋เสวี่ยเดินเข้าไปทำอาหารในครัว ซุนเหมยฟางก็ได้ถามเกี่ยวกับครอบครัวของเฉินหลง ดูเหมือนว่าเธอจะคิดว่าเฉินหลงเป็นแฟนของตู๋เสวี่ยซะแล้ว
เฉินหลงไม่ได้ปกปิดอะไรเลย เขาเล่าเรื่องของตัวเองให้ซุนเหมยฟางฟัง จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องไปเป็นอาการป่วยของซุนเหมยฟางแทน
“คุณป้าครับ ผมคิดว่าสิ่งที่เป็นปัญหาต่อร่างกายของคุณป้า น่าจะมาจากหัวใจนะครับ” ในขณะที่กำลังสนทนากับซุนเหมยฟาง เฉินหลงก็ได้ตรวจสอบสภาพร่างกายของซุนเหมยฟาง และพบว่าอาการป่วยของเธอคือภาวะหัวใจล้มเหลว
ซุนเหมยฟางพยักหน้าด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวเฉิน นายรู้ได้ยังไงจ้ะ หรือว่าตู๋เสวี่ยเป็นคนบอกเธอเหรอจ้ะ?”
เธอคิดว่าตู๋เสวี่ยคงจะเล่าเรื่องอาการป่วยของเธอให้เฉินหลงฟังแล้ว
*ทองแผ่นเดียวกัน ใช้ในความหมายว่าเป็นไมตรีกัน เป็นพวกเดียวกัน หรือรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.