TB:บทที่ 141 ค่ายทหาร

“คุณป้าครับ ความจริงแล้วเสี่ยวเสวี่ยไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังหรอกครับ ผมแค่รู้เรื่องการแพทย์นิดหน่อยน่ะครับ” เฉินหลงตอบด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ผมขอลองรักษาอาการของคุณป้าได้ไหมครับ?”

“หืม ตอนนี้เลยเหรอจ้ะ?”

ซุนเหมยฟางอึ้ง

“ใช่ครับ ผมรู้วิธีฝังเข็มน่ะครับ” เฉินหลงตอบอีกฝ่ายพร้อมกับหยิบกระเป๋าที่มีเข็มสีเงินอยู่ข้างในออกมา

ถ้าซุนเหมยฟางยินดีให้เขาทำการรักษา เขาก็จะทำการรักษาอาการของเธอให้ แต่ถ้าเธอปฏิเสธ ก็ลืมๆมันไปเสียเถอะ จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ติดหนี้อะไรอีกฝ่าย แต่เพราะเขาอยากให้โอกาสกับเธอ ส่วนเธอจะคว้ามันเอาไว้หรือไม่ ก็คงขึ้นอยู่กับเธอเองแล้ว

 

ซุนเหมยฟางมองหน้าเฉินหลง จากนั้นก็หันไปมองกระเป๋าใส่เข็มสีเงิน คิดๆดูแล้ว ลองตอบตกลงไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะลำพังอาการของเธอก็เกือบจะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ดีแต่เป็นภาระของลูกสาวเท่านั้น ถ้าเฉินหลงรักษาเธอจริงๆ ถือว่ามันเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่พระเจ้าเป็นคนมอบให้ก็แล้วกัน แต่ถ้าหากเขารักษาไม่สำเร็จ ยังไงซะเธอก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว

เมื่อได้ยินซุนเหมยฟางตอบตกลง ใบหน้าของเฉินหลงก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “คุณป้าครับ คุณป้าแค่นั่งอยู่เฉยๆแล้วก็ผ่อนคลายนะครับ ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง”

 

หลังจากที่ซุนเหมยฟางทำตัวสบายๆ เฉินหลงก็หยิบเข็มสีเงินออกมาจากกระเป๋า แล้วจิ้มตรงบริเวณหัวใจของซุนเหมยฟางอย่างรวดเร็ว ทำให้ไอหมอกของยาสายหนึ่งได้เข้าสู่หัวใจของเธอ

ผ่านไปไม่กี่วิ เฉินหลงก็หยิบเข็มเงินที่ฝังอยู่ออก และไอหมอกที่ใช้ไปแล้วจะถูกนำไปกลั่นเป็นยาเม็ดขนาดเล็ก แล้วนำไปใส่ในขวดเล็กๆโดยเฉพาะ เพื่อเก็บรักษายาเม็ดขนาดเล็กเม็ดนั้นเอาไว้

“คุณป้าครับ ต่อไปนี้คุณป้าสามารถทำสิ่งต่างๆเหมือนคนทั่วไปได้แล้วนะครับ แต่ขอให้คุณป้าจำเอาไว้ว่า ห้ามทำอะไรเกินตัวอีกเด็ดขาด” หลังจากเก็บของให้เข้าที่เข้าทาง เฉินหลงจึงหันไปพูดกับซุนเหมยฟางด้วยสีหน้าสบายๆ

 

หลังจากโรคหัวใจล้มเหลวของซุนเหมยฟางได้รับการรักษาแล้ว เธอก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น เหมือนกับเธอไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว

ขนาดว่าลืมตาขึ้นมาแล้ว ซุนเหมยฟางก็ยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น

หลังจากนั้นไม่นาน ซุนเหมยฟางมองหน้าเฉินหลงด้วยความตื่นเต้นแล้วถามว่า “เสี่ยวเฉิน! ฉ-ฉันหายป่วยแล้วใช่ไหม?”

เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวที่ดีแต่ทำร้ายตัวเองแล้วก็เป็นภาระของลูกมานาน ขนาดโรงพยาบาลยังรักษาโรคของเธอไม่ได้ แต่เฉินหลงกลับรักษาเธอได้ด้วยเข็มเงินในเวลาไม่กี่วิ โอ้โห นี่มันสุดยอดไปเลยจริงๆ

 

“ถ้าคุณป้าไม่ทำงานหนักเกินไป ใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน และพักผ่อนให้เพียงพอ แค่นี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนะครับ” เฉินหลงส่งยิ้มให้คนที่อยู่ตรงหน้า

“ขอบใจนะจ้ะ ขอบใจจริงๆ” ซุนเหมยฟางรีบกล่าวคำขอบคุณ และตั้งใจจะคุกเข่าลงให้เฉินหลง

เฉินหลงรีบเข้าไปพยุงซุนเหมยฟางให้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “คุณป้า เสี่ยวเสวี่ยกับผมเป็นเพื่อนกัน คุณป้าอาวุโสกว่าผม ถ้าคุณป้าทำแบบนั้น ผมคงไม่มีหน้ามาเจอเสี่ยวเสวี่ยอีกแล้วนะครับ!”

ซุนเหมยฟางที่ได้ยินเฉินหลงพูดแบบนั้นออกมา จึงไม่ดึงดันที่จะคุกเข่าให้เขาอีก แต่ในสายตาเธอ ได้เห็นเฉินหลงเป็นพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว

ต่อมาซุนเหมยฟางก็ได้ทำบัตรเยี่ยมบ้านตลอดชีพให้เฉินหลงเก็บเอาไว้หนึ่งใบ

 

หลังจากนั้น เฉินหลงก็ได้ทานอาหารที่บ้านตู๋เสวี่ยแล้วขอตัวกลับ

ถึงตู๋เสวี่ยจะไม่อยากให้เขากลับไป แต่เธอก็ไม่สามารถบังคับให้คนอื่นอยู่ที่บ้านได้ตลอด แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนในครอบครัว เธอกล้าทำอย่างนั้นแน่นอน แต่ในตอนนี้ สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือมองดูเฉินหลงเดินจากไปเท่านั้น

ซุนเหมยฟางเดินไปยืนข้างๆตู๋เสวี่ย เธอลูบศีรษะของตู๋เสวี่ยด้วยความอ่อนโยนแล้วพูดว่า “เสี่ยวเสวีย ชีวิตของเขาไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นแค่คนธรรมดานะ ถ้าเป็นไปได้ แม่ไม่อยากให้ลูกชอบเขาเลย”

 

ตอนที่เฉินหลงยังไม่ได้ทำการฝังเข็มให้เธอ ซุนเหมยฟางคิดว่าเฉินหลงจะได้เป็นลูกเขยตัวเองมาโดยตลอด แต่หลังจากที่เฉินหลงใช้เข็มเงินรักษาเธอแล้ว เธอถึงได้เข้าใจว่าเฉินหลงไม่ใช่คนธรรมดา ที่สำคัญกว่านี้คือ เธอสังเกตได้ว่าเฉินหลงไม่ได้รู้สึกชอบลูกสาวของเธอในเชิงชู้สาวเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้ เธอจึงปลุกลูกสาวให้ตื่นจากฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ เธอได้แต่หวังว่าตู๋เสวี่ยจะเข้าใจความหมายของเธอ และไม่ทำให้ตัวเองจมปลักอยู่กับความเจ็บปวดเพราะรักเขาข้างเดียว เธอกับลูกสาวเป็นแค่คนธรรมดา ก็ควรจะมีความรักกับคนธรรมดาอย่างที่ควรจะเป็น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

 

ตู๋เสวี่ยหันกลับไปมองที่แม่ของตัวเองด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นบนใบหน้า เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเฉินหลงไม่ใช่คนธรรมดา แต่ในเมื่อคนหนึ่งหลงรักอีกคนไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าอีกคนจะต้องรักเราตอบ

บางทีความรักแบบนี้อาจทำร้ายฉัน แต่มันก็เป็นสิ่งที่สวยงามเช่นกัน ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนรักของเขา แต่ฉันสามารถเก็บความรักครั้งนี้เอาไว้ให้เขา ราวกับว่ามันเป็นของขวัญที่สวยงาม เอาไว้ในความทรงจำของฉันได้

 

“ลูกเอ๋ย ให้แม่บอกข่าวดีกับลูกดีกว่า แม่รักษาโรคของตัวเองได้แล้วนะ ต่อไปนี้ ลูกไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อแม่อีกแล้วนะ ถ้าลูกยังอยากเรียนหนังสืออยู่ ก็ไปสมัครเรียนเลยจ้ะ และคุณแม่สุดสวยของลูกคนนี้จะเป็นคนสนับสนุนลูกเองจ้ะ!” ซุนเหมยฟางโอบกอดตู๋เสวี่ยแล้วบอกข่าวดีกับเธออย่างมีความสุข

“แม่คะ จริงเหรอคะ? แม่หายป่วยแล้วจริงๆเหรอคะ?” คำพูดของซุนเหมยฟางทำให้ตู๋เสวี่ยรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก จนลืมความรู้สึกขมขื่นเมื่อกี้ไปชั่วขณะ

 

ซุนเหมยฟางพยักหน้าแล้วตอบอย่างมีความสุข “ตอนนี้ แม่รู้สึกดีมากๆเลยจ้ะ รู้สึกดีเหมือนตอนที่แม่ยังไม่ป่วยเลยจ้ะ”

“จริงเหรอคะ? ว้าว ดีจังเลยค่ะแม่ พรุ่งนี้ หนูจะพาแม่ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนะคะ ถ้าผลออกมาว่าเป็นหายดีแล้ว หนูจะได้สบายใจ” ตู๋เสวี่ยเชื่อในคำพูดของแม่ แต่เธอก็ยังอยากพาแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ เธอจะได้หมดห่วงได้จริงๆ

ซุนเหมยฟางพยักหน้าตอบ

 

หลังจากเฉินออกมาจากบ้านตู๋เสวี่ย เขาได้ติดต่อไปหาหวังฮง จากนั้นก็กลับไปยังเมืองหลวง ด้วยเฮลิคอปเตอร์กับหวังฮงในทันที

หลังจากกลับมาถึงวิลล่าของตัวเอง จี้โม่ซีที่ได้เห็นหน้าเฉินหลง ทำเอาหัวใจของเธอร่วงลงไปถึงตาตุ่ม

ในช่วงเย็น เฉินหลงบอกกับจี้โม่ซีว่า พรุ่งนี้เขาจะไปที่ค่ายทหาร ถ้าจี้โม่ซีต้องการไปกับเขา เขาก็ไปที่นั่นพร้อมกับจี้โม่ซี

ในตอนที่เธอได้ยินว่าเฉินหลงกำลังจะไปที่ค่ายทหาร สิ่งแรกที่เธอคิดได้คือ เฉินหลงจะผันตัวไปเป็นทหารเหรอ? แสดงว่าเธอจะไม่ได้เจอหน้าเฉินหลงอีกปีสองปีเลยน่ะสิ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงคัดค้านและปฏิเสธที่จะให้เฉินหลงไปเป็นทหารในทันที

 

สุดท้าย หลังจากที่เฉินหลงอธิบายเหตุผลว่า เขาไปค่ายทหารเพื่อไปจึบปืนกับฝึกยิงปืนเท่านั้น จี้โม่ซีก็ค่อยยังชั่ว โธ่ ไอเราก็นึกว่าเขาจะไปเป็นทหารจริงๆซะอีก ตกใจแทบแย่แน่ะ ถ้านายไปแล้วฉันจะอยู่กับใครเล่า! ฮึ่ยยยย!

จี้โม่ซีแสดออกมาชัดเจนว่าเธอไม่ได้สนใจจะไปค่ายทหารเขา เธอบอกเฉินหลงให้รีบไปรีบกลับ แล้วก็ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กับเธออีกเด็ดขาด

จากนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสมระหว่างชายหญิง ดั่งมัจฉากับวารี

 

วันรุ่งขึ้น เฉินหลงได้นั่งอยู่ในรถทหารตงฟงกับหวังฮง และเคลื่อนที่ไปยังชานเมือง หนึ่งชั่วโมงผ่านไป รถก็ได้มาจอดอยู่ที่ค่ายทหาร

ในค่ายทหาร เฉินหลงเห็นรถหุ้มเกราะ รถถังและสิ่งต่างๆอีกมากมาย การเห็นอาวุธไฮเทคแบบนี้ในค่ายทหารธรรมดาเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ

หลังจากหวังฮงก้าวลงมาจากรถ ได้มีกองทัพชุดหนึ่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายคนหนึ่งในวัยห้าสิบที่มีตำแหน่งเป็นถึงพลโท ได้ท่าเคารพแบบทหารต่อหวังฮงในทันทีแล้วพูดว่า “สวัสดีครับ! หัวหน้า!”

 

“อืม ฉันมาที่นี่เพื่อพาเด็กของฉันมาเล่นกับนาย แล้วก็ นายไม่จำเป็นต้องจริงจังมากขนาดนั้นก็ได้นะ” หวังฮงเดินไปหาชายคนนั้นแล้วตบไหล่เขาเบาๆสองสามครั้ง

“เด็ก? หรือว่าคุณหมายถึงลูกศิษย์ของคุณเหรอครับ?” ชายคนนั้นเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“ถูกต้อง เขาชื่อเฉินหลง เขายังไม่เคยได้สัมผัสปืนเลยสักครั้ง ฉันก็เลยพาเขามาที่นี่ เขาจะได้สนุกกับมันให้เต็มที่ยังไงล่ะ” หวังฮงตอบเขาด้วยรอยยิ้ม

 

ในตอนที่หวังฮงตอบอีกฝ่าย เป็นจังหวะเดียวกับที่เฉินหลงลงมาจากรถพอดิบพอดี เมื่อเห็นว่าตำแหน่งของชายคนนั้นสูงกว่าตำแหน่งของตัวเอง เฉินหลงจึงรีบทำความเคารพเขาในท่ามาตรฐานของทหารในทันที หลังจากที่ได้เป็นนายพลหลักแล้ว เป็นธรรมดาที่ เฉินหลงจะมีมารยาทมาตรฐานในแบบของทหาร

แต่ว่าเฉินหลงไม่รู้ตำแหน่งของชายคนนั้น เขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดกับเขายังไงดีนี่สิ ทำท่าก่อน อีกฝ่ายคงไม่ถือสาอะไรเขาหรอกมั้ง