บทที่ 375 การเปิดเผย

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 375

การเปิดเผย

“พระสนมควรจะคิดให้ดีก่อนนะเพคะ ข้าเป็นสาวใช้ข้างกายพระมเหสี พระองค์กำลังรอดอกไม้จากข้าอยู่นะเพคะ” สาวใช้ร่างเล็กพูดเพื่อย้ำเตือน

สนมทั้งหมดต่างก็มองหน้ากันอย่างไม่สู้ดีเท่าไร สิ่งที่สาวใช้พูดออกมาเป็นสิ่งที่พวกเธอต่างก็กังวลอยู่

อย่างไรก็ตามตอนอยู่ที่บ้านพวกเธอเองก็เป็นบุตรสาวที่รักยิ่ง แล้วจะต้องมาฟังคำเตือนจากสาวใช้เมื่อไรกัน เรื่องนี้ทำให้พวกเธอรู้สึกเสียหน้า “จับตัวนาง” ในตอนนี้มีสนมคนหนึ่งที่สั่งให้แม่นมและสาวใช้เดินเข้ามาจับสาวใช้ร่างเล็กไว้

แม่นมหลิวเห็นเหตุการณ์ไม่สู่ดีจึงรีบหาช่องว่างและแอบหนีออกมาทันที นี่เป็นการต่อต้านพระมเหสี ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่งั้นคงจบไม่ดีแน่ๆ

ปล่อยให้ผู้หญิงพวกนี้รับหน้าไปก่อนแล้วพวกเธอก็จะนั่งรอเก็บผลผลิตทีหลัง

แม่นมหลิวรีบวิ่งกลับไปที่ตำหนักของหลิวจือหลิง

หลิวจือหลิงถามออกมาด้วยความเป็นห่วง “ท่านแม่นม เป็นยังไงบ้าง?”

แม่นมรีบไล่คนออกไปจากห้องก่อนแล้วจึงพูดออกมา “พระมเหสีส่งคนมาตรวจสอบเพคะ”

ก่อนหน้านี้พระมเหสีไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ พวกเธอก็อดที่จะรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้พระองค์ส่งคนมาสืบ งั้นพระองค์คงจะเป็นกังวลว่าเรื่องนี้จะถูกเปิดโปงแน่ๆ

ก็ดีแล้วที่นางจะกลัว มันแย่มากที่ต้องกลัวว่าพระมเหสีจะไม่กลัวอะไรเลย

“ต่อให้ตอนนี้นางจะส่งคนมาสืบ มันก็เปล่าประโยชน์ เป็นเรื่องที่น่าอับอายจริงว่านางอยากจะเลี่ยงไม่ให้คนรู้เรื่องทั้งๆที่นางทำเรื่องแบบนั้น” หลิวจือหลิงพูดออกมาอย่างเกลียดชัง

เธอยอมทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อองค์จักรพรรดิจนถึงขนาดยอมที่จะกินยาเพื่อให้ได้ตัวพระองค์ แต่พระมเหสีกลับไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้รับความรักทั้งหมดจากองค์จักรพรรดิไป แล้วแบบนี้เธอจะพอใจกับเรื่องนี้ได้ยังไง เธอถึงขนาดพยายามที่จะรักษาหน้าพระองค์ไว้ด้วยซ้ำ

ถึงแม้ในห้องจะไม่มีใครแต่ก็มีเสียงดังออกมาจากในห้องจริงๆ แต่ก็ยังไม่มีอะไรยืนยันได้ 100%

อาจจะเป็นพวกทหารลับก็ได้ พวกเขามีฝีมือชั้นเยี่ยมที่คนทั่วไปไม่มีทางหาตัวเจอ

“งั้นเราก็จะรอ” แม่นมพูด

“ถ้าข้าไม่เป็นห่วงองค์จักรพรรดิ ข้าก็อยากจะเป็นคนพูดเพื่อเปิดโปงธาตุแท้ของนางด้วยตัวเองเลยจริงๆ ทำให้ องค์จักรพรรดิได้เห็นว่าพระองค์กำลังถูกแบบไหนหลอกอยู่” หลิวจือหลิงพูดออกมาด้วยความเกลียดชัง

“คุณหนู เบาเสียงหน่อยเพคะ ตอนนี้สาวใช้คนนั้นถูกพระสนมในวังหลวงจับตัวไว้ ข้าเดาว่าพวกนางคงไม่ปล่อยนางไปแน่ๆ งั้นเราก็รอดูท่าทางของพระมเหสีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป” แม่นมพูด

“ทำไมต้องรอด้วยล่ะ ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นแบบนี้แล้วเราก็ยิ่งต้องรีบเปิดโปงนังผู้หญิงคนนั้น นางไม่มีสิทธิที่จะมาเชิดหน้าชูคออยู่แบบนี้” หลิวจือหลิงอยากที่จะเปิดโปงเรื่องตอนนี้เลย

“คุณหนูเจ้าค่ะ ผู้หญิงคนนั้นคือพระมเหสีนะเพคะ ได้ยินเขาพูดกันว่าพระมเหสีกับองค์จักรพรรดิสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานาน แม่น้ำและภูเขาแถวนี้ครึ่งหนึ่งก็สำเร็จมาจากนาง” ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นข่าวที่คนเขาลือกัน แต่ความจริงก็น่าที่จะมีเกินกว่าครึ่ง

ในตอนนี้สีหน้าของหลิวจือหลิงไม่สู้ดีเท่าไร “พระมเหสีก็เป็นแค่ผู้หญิง ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะทำเรื่องอะไรแบบนั้นได้ พวกของนางคงจะเป็นคนปล่อยข่าวลือเรื่องนี้เองแน่ๆ” หลิวจือหลิงรู้สึกทุกข์ทรมานใจมาก

ผู้หญิงแบบนี้จะคู่ควรที่จะอยู่เคียงข้างองค์จักรพรรดิได้ยังไงกัน เธอก็แค่มาช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง

ถ้าบังเอิญว่าเธอได้มาอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิก่อน เธอก็คงจะช่วยพระองค์ได้เหมือนกัน ยิ่งบวกกับตำแหน่งของท่านพ่อของเธอก็น่าที่จะช่วยองค์จักรพรรดิได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำไม่ใช่เหรอ?!

ท่านพ่อของเธอเป็นรัฐมนตรีคนสำคัญของราชสำนัก

แม่นมไม่คิดแบบนั้น ถึงแม้ข่าวลือจะพูดได้ว่าก็แค่ข่าวลือแต่เราต่างก็รู้ว่าพระมเหสีทรงอยู่กับองค์จักรพรรดิมาก่อนที่ดินแดนดำมืดจะกลายเป็นดินแดนด้วยซ้ำ ซึ่งหลายคนต่างก็รู้ว่าพระมเหสีมีความสำคัญกับองค์จักรพรรดิมากแค่ไหน

แถมพระมเหสียังเกี่ยวข้องกับการสร้างห้องปฏิบัติการปืนใหญ่อีกด้วย ตามที่คนพูดกันว่านี่เป็นรากฐานของพลังอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาซึ่งหาที่เปรียบมิได้ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครกล้าเอามาพูดกันพล่อยๆหรอก ยังไงซะก็ต้องมีความจริงเกินกว่าครึ่ง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมองค์จักรพรรดิถึงได้รักพระมเหสีมากนัก

เมื่อเทียบกับเหล่าสาวงาม องค์จักรพรรดิต้องการผู้หญิงที่สามารถช่วยพระองค์สู้เพื่อดินแดนได้ ถ้าเธอเป็นองค์จักรพรรดิ เธอก็คงจะเลือกพระมเหสีเหมือนกัน

“คุณหนูเจ้าคะ เรื่องนี้น่าที่จะเป็นเรื่องจริงนะเพคะ ต่อไปอย่าเอาไปพูดข้างนอกนะเพคะ” แม่นมพูดเตือน

“ท่านแม่นม ท่านช่วยพูดแทนผู้หญิงคนนั้นได้ยังไงกัน? นางก็แค่ผู้หญิงชั้นต่ำ เมื่อไรที่องค์จักรพรรดิได้เห็นธาตุแท้ของนาง นางก็จะไม่เหลืออะไร” หลิวจือหลิงไม่ฟังอะไรเลยทั้งสิ้น ในหัวใจของเธอไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากความเกลียดที่มีต่อพระมเหสี

แม่นมขมวดคิ้ว “ข้าก็หวังว่าอย่างงั้นเพคะ” เธอเองก็หวังให้พระมเหสีพลาดเหมือนกัน ไม่งั้นคุณหนูของเธอก็คงจะไม่มีทางได้ขึ้นตำแหน่งแน่ๆ

……

ที่อีกด้าน เหล่านางสนมที่อยู่ในสวนต่างก็อยากที่จะจับตัวสาวใช้ให้ได้ในทันที

ทหารชุดดำสองนายโผล่ตัวออกมา ฆ่าแม่นมสองคนพร้อมด้วยเสียงกรีดร้องของสาวใช้ร่างเล็กที่กำลังวิ่งกลับมาที่ตำหนักของพระมเหสี

เหล่านางสนมที่เหลือที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่สู้ดีเท่าไร พวกนางมองไปที่ศพที่กองอยู่กับพื้น ทันใดนั้นสีหน้าก็ซีดเผือดขึ้นมาทันที ขาทั้งสองข้างอ่อนยวบและทรุดลงไปพิงกับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ขาทั้งสองข้างไม่มีแรงที่จะยืนขึ้นมาได้

“เราจะทำยังไงกันดี?”

“ถ้าพระมเหสีรู้เรื่องพวกเราไม่รอดแน่ๆ” พวกนางต่างก็พูดออกมาด้วยความตื่นกลัวและร้องไห้คร่ำครวญ

“ถ้างั้นเราควรที่จะไปเข้าพบองค์จักรพรรดิเดี๋ยวนี้เลย เราจะตายก่อนไม่ได้” หนึ่งในสามคนพูดออกมาด้วยสายตาดุดัน บางทีพระองค์อาจจะให้รางวัลพวกเราที่เอาข่าวมารายงานก็ได้

“ใช่ ใช่แล้ว”

“ใช่ พวกเรามีกันตั้งเยอะ พระมเหสีฆ่าพวกเราทุกคนไม่ได้หรอก”

“ใช่ ตราบใดที่เรารวมตัวกัน พวกเราก็จะรอด”

“ไปเถอะ…”

หลังจากนั้นสักพักทุกคนก็มารวมตัวกัน ในกลุ่มมีคนประมาณ 30 คนได้ ส่วนสนมที่เหลือคนอื่นในวังหลังต่างก็กลัวตายกันทั้งนั้น

มีเพียง 30 คนนี้ที่ไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดีว่าผลที่ได้กลับมาจะออกมาเป็นยังไง

ทั้งสามสิบคนเดินตรงไปที่ตำหนักใหญ่ขององค์จักรพรรดิโดยที่ตลอดทางก็จะมีเหล่าทหารติดอาวุธเดินลาดตระเวนอยู่ด้วย

เมื่อพวกนางได้เห็นห้องโถงใหญ่ที่งดงาม สายตาของเหล่าสาวน้อยหลายคนต่างก็เปล่งประกายโดยหวังว่าสักวันจะได้เป็นคนรักขององค์จักรพรรดิแล้วได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่

ทั้งสามสิบคนถูกสั่งให้หยุดก่อนที่จะทันได้เดินขึ้นบันไดไปโถงใหญ่ด้วยซ้ำ

“กล้าดียังไง ไม่รู้เหรอว่าพวกเราเป็นใคร?” สาวงามคนหนึ่งพูดออกมา

“นี่เป็นตำหนักขององค์จักรพรรดิ พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างในโดยพลการ”

เหล่าพระสนมไม่คิดว่าจะถูกห้ามไม่ให้เจอหน้าองค์จักรพรรดิ แต่พวกนางก็ไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนยังไงซะที่นี่ก็เป็นตำหนักขององค์จักรพรรดิ

“จะทำยังไงดีล่ะ?” สนมที่ยังเด็กและไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงจึงหันไปถามเหล่าสนมที่โตกว่าที่มาด้วยกัน

“ท่านองครักษ์ได้โปรดแจ้งองค์จักรพรรดิด้วยว่าพวกเราเหล่านางสนมมีเรื่องสำคัญที่จะกราบทูล” หนึ่งในพวกนางพูดออกมาอย่างหนักแน่น

“…” เมื่อพูดจบแต่ทหารที่หน้าประตูกลับไม่ขยับและไม่สนใจพวกเธอเลยสักนิด

เมื่อกี้องค์จักรพรรดิสั่งไว้เป็นพิเศษว่าห้ามใครเข้ามารบกวน พวกเขารับคำสั่งเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้น พวกเขาไม่สนใจใครคนอื่นทั้งนั้น

เหล่านางสนมในคณะกรรมการตรวจสอบวินัยสีหน้าไม่สู้ดี ตั้งแต่ที่พวกเธอมาอยู่ที่นี่ พวกเธอไม่ได้รับความเคารพเลยสักนิด

จนถึงตอนนี้ที่เข้ามาอยู่ในวังแต่ก็ยังต้องทำตัวต่ำต้อย แม้แต่หน้าองค์จักรพรรดิก็ไม่ได้เจอ ขนาดเหล่าสาวใช้ก็ยังกล้าที่จะดูถูกและข่มขู่พวกเธอ

“มานั่งคุกเข่าจนกว่าองค์จักรพรรดิจะออกมาเจอพวกเราเถอะ พระองค์จะได้เห็นความจริงใจของพวกเรา” หนึ่งในพวกนางพูดขึ้นมาพร้อมทั้งนั่งคุกเข่าลง เธอจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ? ว่าการที่จะได้เจอหน้าองค์จักรพรรดินั้นเป็นเรื่องยากมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้พวกเธอก็กลัวว่าต่อไปในอนาคตก็คงจะไม่มีโอกาสอีก

อีกอย่าง พระมเหสีคงฆ่าพวกเธอปิดปากอย่างเงียบๆแน่ๆ แม้แต่ครอบครัวก็จะไม่รู้ ความรู้สึกกลัวนี้จะต้องเก็บกดไว้ พวกเธอรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกแล้ว ถ้างั้นทำไมถึงจะไม่สู้ล่ะ

นางสนมกว่า 30 คนรวมตัวกันมาที่นี่และพวกนางต่างก็นั่งคุกเข่าลง

เหล่าทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่ไม่แสดงสีหน้าใดๆและทำราวกับว่าพวกเธอเป็นอากาศธาตุที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น

ตอนนี้แสดงอาทิตย์กำลังแผดเผา ความร้อนจากพื้นที่นั่งคุกเข่าอยู่ก็ค่อยๆแผ่ทะลุผ่านชุดผ้าไหมเข้ามาถึงเข่าซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกทั้งร้อนและเจ็บ พวกเธอยังนั่งคุกเข่าไปได้ไม่นานแต่ก็เริ่มที่จะจ้องตาไปยังคนที่บอกให้พวกเธอคุกเข่าลงกันแล้ว

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่นานก็ดังไปทั่วทั้งวังหลัง มู่หรงหลังจากที่ได้ฟังก็เลิกคิ้วขึ้นแต่ก็ยังกินองุ่นต่อ

หลังจากที่สาวใช้กลับมา เธอก็เริ่มที่จะเทศน์พระมเหสีทันที “พระมเหสี ได้ยินข่าวเรื่องเมื่อกี้หรือยังเพคะ?! ทีนี้พระองค์เชื่อหม่อมฉันแล้วใช่ไหมเพคะว่าพระสนมในวังหลังพวกนั้นคิดเจตนาไม่ดี ดังนั้นพระมเหสีต้องป้องกันตัวนะเพคะ”

มู่หรงรู้สึกง่วงจึงไม่ค่อยจะได้ฟังสิ่งที่พูดเท่าไร

สาวใช้อยากที่จะลากพระมเหสีลงมาจริงๆ ยังจะนอนอยู่อีกได้ยังไงกัน ไม่รู้หรือไงว่านี่เป็นเรื่องร้ายแรงมากแค่ไหน นี่มันเวลาที่จะต้องมาระวังตัวดีๆแล้วไม่งั้นก็สั่งให้จับตัวเหล่าสนมที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ไปให้หมดเลย

ทำไมยังปล่อยให้เป็นแบบนี้อยู่อีก ถ้าองค์จักรพรรดิฟังที่พวกนางพูด แล้วพระมเหสีจะเป็นยังไง ไม่ได้ เธอจะต้องรีบปลุกพระมเหสีขึ้นมา “พระมเหสีเพคะ เลิกนอนแล้วรีบลุกขึ้นมาได้แล้วเพคะ”

“มีอะไร?” มู่หรงลืมตาปรือและถามออกมา

“นี่มันเรื่องใหญ่แล้วนะเพคะ ทำไมไม่กังวลอะไรเลยล่ะเพคะ?”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะกลับไปนอนฝันต่อแล้วนะ” มู่หรงพลิกตัวเตรียมพร้อมที่จะกลับไปนอนต่อ

“พระมเหสี รีบตื่นเถอะเพคะ”

“ไม่ ออกไปให้พ้นเลย”

“ไม่เพคะ ลุกขึ้นเถอะนะ”

“ถ้าเจ้าไม่ออกไป ข้าจะให้คนมาลากเจ้าออกไปเองนะ” เธอแกล้งพูดออกมา

“พระมเหสี รีบลุกขึ้นเร็วๆเถอะเพคะ” หลังจากที่พยายามอยู่หลายครั้งแต่สาวใช้ก็ยังปลุกพระมเหสีไม่สำเร็จ จึงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าเศร้าซึม หวังให้พระมเหสีไม่พอใจขึ้นมาเอง

หลังจากที่ได้ยินข่าว สายตาของหลิวจือหลิงก็แวบประกายตื่นเต้น ฮ่าฮ่าฮ่า ดูสิว่าพระมเหสีจะตายยังไง

หลิวจือหลิงเดินไปรอบๆตำหนักด้วยความตื่นเต้น เธอถึงขนาดอยากที่จะเห็นจุดจบที่น่าเศร้าของพระมเหสีซะเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำไป

ที่อีกตำหนัก เฟิงอู๋ซีกลัวไม่คิดแบบนั้น เธอคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้จะไม่กระทบอะไรกับพระมเหสีหรอก เหตุผลก็เพราะตอนที่เธออยู่ในบ้านของจักพรรดิที่ดินแดนดำมืด มู่หรงเสวี่ยก็รักอยู่กับเฟิงจือหลิงซึ่งหลินหยางก็เห็นอยู่ตำตาอยู่แล้ว ในตอนนั้นหลินหยางไม่ได้สนใจแถมยังแต่งตั้งให้มู่หรงเสวี่ยขึ้นเป็นพระมเหสีด้วยซ้ำไป แล้วตอนนี้เขาจะมาสนใจอะไรแต่ในเมื่อเรื่องไม่ดีแบบนี้กระจายออกไปแล้ว ดังนั้นเธอก็เลยไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไรในตอนนี้