ไป๋ซู่เย่กล่าว “ต่อให้ไม่นอนดึกก็เทียบกับเด็กสาวอายุสิบแปดสิบเก้าไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ใช่หรือไง? เธอทั้งเด็ก สวย อ่อนเยาว์ บริสุทธิ์…ฉันจะเอาอะไรไปเทียบได้?”

ไป๋หลางชำเลืองมองเธอแวบหนึ่งรู้สึกว่าเธอแปลกๆ ไป

“เธอที่คุณพูดถึง…หมายถึงใครเหรอ?” เมื่อครู่เขาไม่ได้หมายความว่าจะเอาเธอไปเปรียบเทียบกับใครเลยนะ!

ไป๋ซู่เย่หลุดจากห้วงความคิดถึงรู้ตัวภายหลังว่าเมื่อครู่ตนพูดอะไรบ้าง

นี่เธอ…เอาตัวเองไปเทียบกับน่าหลันโดยไม่รู้ตัว?

นี่ช่างเป็นเรื่องตลกสิ้นดี ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เธอหมดความมั่นใจในตัวเองขนาดนี้? นี่ไม่ใช่เธอเลย

“ช่างเถอะ ฉันแค่พูดออกมาตามความรู้สึกน่ะ นายไม่ต้องฟังให้ละเอียดหรอก ไม่มีอะไรก็ออกไปได้แล้ว”

“ครับ”ไป๋หลางตอบรับเตรียมหันหลังเดินออกไป พอมาถึงหน้าประตูก็หันกลับมา “รัฐมนตรี ความจริงไม่ว่าคุณหมายถึงใคร แต่ในสายตาผม เด็กผู้หญิงอายุสิบแปดปีคนนั้นเทียบกับคุณไม่ได้แน่ๆ คุณทั้งมีความมั่นใจ ใจเย็น ฉลาด เข้มแข็ง ให้เด็กผู้หญิงอายุสิบแปดมายืนหน้าคุณก็เหลือแค่โพรงเปล่าๆ แล้ว”

ไป๋ซู่เย่อมยิ้มน้อยๆ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย

“พอแล้ว ถือว่าคำปลอบของนายได้ผล ออกไปเถอะ”

…………………………

ตั้งแต่วันนั้นไป๋ซู่เย่ก็ไม่ได้เปิดดูเวยป๋อของน่าหลันอีกแม้แต่แวบเดียว

เพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

เย่เซียวมีชีวิตของเขา นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่มีวันเข้าไปพัวพันได้ จุดนี้เธอรู้ชัดแก่ใจดีและเธอจะต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองด้วย

ฉะนั้นเมื่ออวิ๋นช่วนชวนเธอดูหนัง เธอจึงไม่ได้ปฏิเสธ

คืนนี้อวิ๋นช่วนยังคงใส่ชุดสูทเป็นทางการอย่างเคย เผยภาพลักษณ์สไตล์ผู้ประกอบการอย่างถูกต้อง เธอสวมกระโปรงสีม่วงสวยงามเหมือนทุกที

ในโรงภาพยนตร์คึกคัก อวิ๋นช่วนยื่นไอศกรีมให้เธอหนึ่งแท่ง “เดิมทีอยากเลือกห้องส่วนตัวแต่ผมเดาว่าคุณคงชอบโรงใหญ่แบบสาธารณะมากกว่า”

“อืม ดูหนังก็ต้องเลือกโรงที่คนดูเยอะๆ ถึงจะได้บรรยากาศสิ”

“หนังสยองขวัญ รับได้ไหม?” เขายื่นตั๋วให้เธอ

ไป๋ซู่เย่หัวเราะหลังดูตั๋วแวบหนึ่งพลางเอ่ยหยอกล้อ “ว่ากันว่าผู้ชายที่พาผู้หญิงมาดูหนังสยองขวัญน่ะคิดไม่ดี คุณชายอวิ๋น คุณล่ะ?”

อวิ๋นช่วนก็หัวเราะ “เพื่อนผมแนะนำมาบอกว่าไม่เลว”

“งั้นก็เชื่อเพื่อนคุณสักครั้งแล้วกัน แต่ฉันไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไป หนังแบบนี้อาจจะทำฉันตกใจยากนะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ถ้าทำคุณตกใจจริงๆ ผมจะไม่สบายใจเอา”

ทั้งคู่สบตาหัวเราะกันท่าทางเหมือนเพื่อนทั่วไป อุ้มถังป๊อปคอร์น ชิมรสชาติไอศกรีมเดินเข้าโรงภาพยนตร์

…………………………

ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ

ในโรงแรม

เย่เซียวนั่งพิงเก้าอี้มองไปนอกหน้าต่าง

ประเทศนี้เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดของชีวิตเขาสามปี มีความประทับใจต่อที่นี่เสมอ แต่ตอนนี้พอมองออกไปยังภาพทิวทัศน์กลางคืนนอกหน้าต่าง กลับรู้สึกว่าเทียบประเทศ S ไม่ได้เลยแม้แต่เศษหนึ่งส่วนหมื่น

ประเทศนั่น มีอะไรดึงดูดเขาอยู่?

ไม่คิดไปมากกว่านี้ก่อนถอนสายตาจรดที่โทรศัพท์บนโต๊ะ เงียบอึดใจถึงโทรไปยังเบอร์หนึ่ง

รอโทรศัพท์บ้านดังขึ้น ได้น้าหลี่มารับโทรศัพท์พอดี

“นายท่าน”

“สองวันนี้เธอเคยกลับมาบ้างไหม?” เย่เซียวถาม

ตอนนี้น้าหลี่รู้แล้วว่า ‘เธอ’ในที่นี้หมายถึงใคร ตอบกลับไปอย่างไม่ต้องถามให้มากความ “ตั้งแต่วันแรกที่นายท่านไปสัมมนา คุณไป๋ก็ไม่กลับมาอีกเลย เธอบอกว่ารอคุณกลับมาเมื่อไหร่เธอค่อยมา”

เย่เซียวรับคำสั้นๆ ‘อืม’ แล้ววางสายไป

ผลลัพธ์นี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายเลย แต่เขาออกมาสัมมนางานทีก็ตั้งหลายวัน ปล่อยให้เธอสบายเกินไปหรือเปล่า?

เธอ…ตอนนี้ทำอะไรอยู่? จะสบโอกาสที่เขาไม่อยู่บ้านหลายวันนี้ไปเดตกับผู้ชายคนนั้นอีกไหม?

คิดถึงตรงนี้เย่เซียวก็ย่นคิ้วขมวดเป็นปม

……………………

หนังดำเนินถึงจุดสำคัญของเรื่อง โทรศัพท์ในกระเป๋าถือไป๋ซู่เย่ก็สั่นเครือไม่หยุด

เธอหยิบออกมาดูแวบหนึ่ง หน้าจอฉายเบอร์ยาวเหยียดเรียกให้เธอสติหลุดไปชั่วขณะ เย่เซียวหรือ? ตอนนี้เขาอยู่ต่างประเทศ จะโทรหาเธอทำไมกัน?

ครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้กดรับแต่อย่างใด มือกดวางสายไป

ดูหนังต่อ

ทางนี้

เย่เซียวได้ยินเสียงดังมาจากโทรศัพท์ ‘ตู๊ดๆ’นิ่งไปชั่วพริบตาจากนั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นถมึงทึง

ดีมาก!

ผู้หญิงคนนี้กล้าวางสายเขา! เธอกำลังทำอะไรกันแน่?

ไป๋ซู่เย่ยืดนั่งตัวตรงอยากเพ่งสมาธิให้กับหนังอีกครั้ง แต่ไม่นานโทรศัพท์กลับดังขึ้นอีก

อวิ๋นช่วนหันหน้ามาถามเสียงเบา “มีเรื่องด่วนเหรอ?”

“เปล่า แค่สายจากคนน่าเบื่อคนหนึ่งน่ะ ขอโทษนะ ฉันขอรับแป๊บหนึ่ง”

เธอกดรับสายรีบพูดโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดก่อน “ตอนนี้ฉันดูหนังอยู่ น่าจะอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ถ้าคุณมีธุระ ค่อยโทรมาอีกทีตอนนั้นแล้วกัน”

มือปิดปากพยายามไม่ให้ตัวเองส่งเสียงดังรบกวนคนข้างๆ

“คุณดูหนังกับใคร?” เย่เซียวถามซักไซ้

“ฉันวางล่ะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

“ไป๋ซู่เย่ คุณกล้า…”

คำว่า ‘วาง’ยังไม่ทันออกจากปากก็ได้ยินเสียง ‘ตี๊ด…’ ก่อนตามมาด้วยเสียง ‘ตู๊ดๆๆ’ส่วนเย่เซียวที่อยู่ทางนี้หายใจหนักอึ้งทันที

ไม่เคยมีใครกล้าวางสายเขา!

นอกจากไป๋ซู่เย่เมื่อสิบปีก่อน!!

เธอใจร้ายจริงๆ!

…………………………

เย่เซียวไม่ใช่คนประเภทขี้ตามตื๊อ เขาไม่โทรมาอีกเลย

เธอออกจากโรงภาพยนตร์ ข้างนอกฝนกำลังตกหนัก เมื่อจอดรถตรงหน้าไฟจราจรสีแดงเธอหยิบโทรศัพท์มาดูหลายครั้งเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ยังคงไม่มีสายเรียกเข้าจากเขา

อาจจะไม่โทรมาอีกแล้วล่ะ

วันฝนตกอากาศค่อนข้างเย็น เธอสวมเสื้อบางไปหน่อยรวมถึงจู่ๆ ก็มีญาติมาเยี่ยมเยียน ฉะนั้นเมื่อตากฝนออกไปซื้อน้ำตาลแดงก็เริ่มมีอาการเป็นหวัด

แต่สภาพร่างกายของเธอดีมาตลอดจึงไม่ใส่ใจกับอาการหวัดเล็กๆ น้อยๆ ดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว มือกุมท้องน้อยที่ปวดหน่อยๆ แล้วล้มตัวนอน

……………….

วันรุ่งขึ้นตื่นมาลำคอแห้งผาก มึนหัวจนแทบลุกจากเตียงไม่ได้ถึงรู้ว่านี่ไม่ใช่อาการหวัดธรรมดา

อาจเป็นเพราะหลายวันนี้พักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายแย่ลงตามๆ กัน

เธอตัดสินใจฉวยจังหวะนี้พักผ่อนสักสองวัน

หลังโทรไปลาก็ซุกตัวเข้ากองผ้าห่มใหม่ นอนจนเจ้าตัวเกือบสลบเหมือดไป

ตลอดทั้งวันไม่มีข้าวตกถึงท้องสักคำ รวมถึงน้ำ

กลางคืนโทรศัพท์ดังอีกแล้ว เสียงดังรบกวนเธอเหมือนหัวแทบระเบิด

วาดมือตรงหัวเตียงอยู่นานถึงหยิบโทรศัพท์ได้ กดรับแนบหูทั้งที่ไม่ลืมตาด้วยซ้ำ

“มานี่!”

เย่เซียวหรือ?

“ไม่ไปแล้ว…”

“คุณมีสิทธิ์เลือกเหรอ?”

“อือ ฉันวางแล้ว ขอนอนอีกนิด” เธอพูดเสียงยานคางปนแหบแห้ง

ไม่คิดจะสนใจอารมณ์ในตอนนี้ของเย่เซียว เพราะเธอยังแทบจะดูแลตัวเองไม่ได้เลย

พูดจบหมายจะตัดสายทิ้งหากแต่ได้ยินเสียงตักเตือนของเย่เซียวดังขึ้น “ไป๋ซู่เย่ คุณลองวางสายผมอีกทีสิ”

……………………………