ตอนที่ 1698 ความกังวลของหลัวลั่วชิง

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1698 ความกังวลของหลัวลั่วชิง

กว่าจางเซวียนกับพรรคพวกจะออกจากโดมหัวใจ ดวงอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว

แทนที่จะเดินตระเวนไปทั่วเมือง จางเซวียนมุ่งหน้าไปยังที่พักแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของตระกูลจางเพื่อขัดเกลาระดับวรยุทธของเขาและประเมินความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย

วรยุทธเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน นักรบคนหนึ่งไม่มีทางก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้หากไม่ฝึกฝนอย่างหนัก ต่อให้คนปราดเปรื่องอย่างเขาก็ยังต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่องกว่าจะได้อย่างที่เป็นอยู่

ด้วยการฝ่าด่านวรยุทธที่เพิ่งเกิดขึ้นไปหมาดๆ ทำให้ทั้งวรยุทธของพลังปราณและวรยุทธของจิตวิญญาณของจางเซวียนเข้าถึงขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึก และเมื่อผนวกเข้ากับหอกสวรรค์กระดูกมังกรและแก่นสารของมิติ เวลา และจิตวิญญาณ เขาก็สามารถต่อสู้อย่างสมน้ำสมเนื้อได้แม้แต่กับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก

จางเซวียนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกอย่างเช่นหยดเลือดของปรมาจารย์ขงอีกต่อไป

ในอีก 2-3 วันนับจากนี้ เขาจะเก็บตัวอยู่ในที่พักและไม่ไปไหนมาไหนมากนัก

3 วันต่อมา กองกำลังของตระกูลจางก็มาถึงชูฝู่เพื่อสมทบกับกลุ่มที่มาก่อนหน้า

หลังจากฝึกฝนวรยุทธอยู่หลายวัน เซียนดาบชิงเหมิงก็ขัดเกลาวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานของพวกเขาได้สำเร็จ หากทั้งคู่สำแดงศิลปะเพลงดาบพร้อมกัน ก็จะสามารถเอาชนะได้แม้แต่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก และคงมีนักรบขั้นนักปราชญ์โบราณไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทำร้ายพวกเขาได้

ผู้อาวุโสสูงสุดเกือบทุกคนของตระกูลจางเข้าร่วมการเดินทางสู่วิหารแห่งขงจื๊อในครั้งนี้ ด้วยการมองเพียงแวบเดียว จางเซวียนก็เห็นแล้วว่ามีนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานอยู่ในกลุ่มนี้มากกว่า 20 คน

สมกับที่เป็นตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ รากฐานของพวกเขาหยั่งลึกและแข็งแกร่งจริงๆ!

…..

ในวันที่ 5 จู่ๆ หลัวลั่วชิงก็มาเคาะประตู

“จางเซวียน ฉันได้ยินมาว่าข้างนอกคึกคักมาก คุณอยากไปเดินเล่นกับฉันไหม?”

“ไปสิ!” จางเซวียนพยักหน้าโดยไม่ลังเล

ตั้งแต่มาถึงชูฝู่ เขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการฝึกฝนวรยุทธ ตอนนี้มันเริ่มจะน่าเบื่อและซ้ำซาก คงจะดีหากได้ออกไปเดินข้างนอกสักหน่อย

เมื่อออกจากที่พัก จางเซวียนพบว่าเมืองนี้สับสนวุ่นวายกว่าเมื่อ 4 วันก่อนมาก ไม่ได้มีเฉพาะเหล่าปรมาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากสภาปรมาจารย์ แต่ยังมีบรรพบุรุษเก่าแก่และผู้อาวุโสจากกลุ่มอาชีพต่างๆด้วย

ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำเกือบทั้งหมดของทวีปแห่งปรมาจารย์ก็มารวมตัวกันอยู่ที่ชูฝู่แล้ว

อันที่จริง ‘ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด’ ที่พูดถึงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ยังมีอสูรจำนวนหนึ่งที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาถึงชูฝู่เมื่อสองสามวันก่อนด้วย แม้ด้วยความคับคั่งของเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในชูฝู่ตอนนี้ แต่เมืองทั้งเมืองก็ยังคงเป็นระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อ จางเซวียนไม่เห็นการต่อสู้หรือการดวลเกิดขึ้นที่ไหนเลย เมืองนี้ยังคงสงบสุขและมีสภาพเรียบร้อยอย่างที่เคยเป็น

เห็นจางเซวียนสงสัย หลัวลั่งชิงอธิบายยิ้มๆ “ที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าปรมาจารย์ ไม่มีใครกล้าสร้างความปั่นป่วนหรอก หรือต่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา พวกเขาก็จะไปสะสางกันข้างนอก”

ชูฝู่ไม่ได้เป็นแค่ดินแดนที่วิหารแห่งขงจื๊อตั้งอยู่ แต่ยังเป็นดินแดนแห่งบรรพบุรุษของสภาปรมาจารย์ด้วย ไม่มีใครโง่เง่าพอจะสร้างปัญหาที่นี่เพื่อให้ตัวเองกลายเป็นศัตรูของทุกคน

ทั้งคู่เดินไปตามถนนที่สับสนวุ่นวาย จางเซวียนอดสังเกตไม่ได้ว่ามีผู้คนอยู่ในชูฝู่มากมายขนาดไหน เขาชำเลืองมองหลัวลั่วชิงและถามว่า “พูดก็พูดเถอะ คุณคิดว่าจะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ที่นี่บ้างหรือเปล่า?”

เป็นความจริงที่รู้กันทั่วว่าฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ได้แนบเนียนถึงขนาดที่แม้แต่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวก็แยกไม่ออก

ในเมื่อทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และอสูรต่างก็มุ่งหน้ามาที่ชูฝู่ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็คงไม่ละเลยโอกาสที่จะมาที่นี่เช่นกัน พวกมันน่าจะซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนและลักลอบเข้าไปในวิหารแห่งขงจื๊อเมื่อถึงเวลา

“ฉันก็ว่าอย่างนั้น” หลัวชิงพยักหน้า เธอมองจางเซวียนและพูดว่า “หลังจากวิหารแห่งขงจื๊อเปิดแล้ว พวกเราจะถูกส่งทะลุมิติเข้าไปที่นั่นแบบสุ่ม นั่นหมายความว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก…คุณต้องระมัดระวังตัวไว้ตลอดเวลานะ”

“ทะลุมิติเข้าไปแบบสุ่ม?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

“ใช่ หวู่เฉินได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิหารแห่งขงจื๊อมา เท่าที่เขารู้ ทันทีที่วิหารเปิด พวกเราจะถูกโอบล้อมด้วยค่ายกลที่จะส่งเราทะลุมิติเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อโดยไปยังตำแหน่งต่างๆกัน ไม่มีทางที่คุณจะรู้ว่าตัวเองจะไปปรากฏตัวที่ไหน และแน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจก็จะถูกส่งทะลุมิติไปเหมือนเรา เพราะฉะนั้น คุณจะละเลยการป้องกันตัวไม่ได้เด็ดขาด” หลัวลั่วชิงพูด

“ได้ ผมจะระวัง” จางเซวียนพยักหน้า

หากเขาถูกส่งทะลุมิติไปยังพื้นที่อันตราย ก็คงต้องอาศัยความสามารถในการปลอมตัว

แต่ภัยคุกคามของเขาไม่ได้มีแค่เผ่าพันธุ์ปีศาจ ยังมีกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ที่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาเช่นกัน พวกนั้นคงจ้องจะเล่นงานเขาอยู่

ถึงจางเซวียนจะไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างเมื่อก่อน แต่เขาก็ยังคงมีปัญหาหากจะต้องรับมือกับกลุ่มคนจำนวนมากพร้อมๆกัน และอีกอย่าง ไม่มีใครที่สามารถระมัดระวังตัวได้ตลอดเวลา เขาไม่อยากตายเสียก่อนที่จะได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ

หลัวลั่วชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอดสร้อยที่อยู่รอบลำคอของเธอออกมาส่งให้จางเซวียน “สร้อยเส้นนี้…ท่านพ่อมอบให้ฉัน มันจะช่วยคุณให้รอดพ้นจากอันตรายได้”

ลักษณะภายนอกของสร้อยนั้นดูคล้ายกับคริสตัล แต่ภายในเป็นสีเลือด เป็นของล้ำค่าที่งดงามมาก

“เอ่อ…” จางเซวียนมองสร้อยที่หลัวลั่วชิงมอบให้เขาอย่างสงสัย

เขารู้ดีว่ามีอันตรายรอคอยอยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อ แต่เขาก็มีประสิทธิภาพการต่อสู้เทียบเท่ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกแล้ว หากใครคิดจะทำร้าย เขาก็มีพละกำลังมากพอที่จะป้องกันตัวเอง

เห็นจางเซวียนไม่รับสร้อยคอของเธอ หลัวลั่วชิงยืนกราน “รับมันไว้เถอะ เราไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อบ้าง สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด ฉันรู้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของคุณมากนัก แต่ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จภายในวิหาร และตัวตนของคุณถูกเปิดเผยด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างล่ะก็…คุณจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงแน่”

แน่นอนว่าตัวตนที่เธอพูดถึงก็คือการเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน

ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเงียบไป

ที่หลัวลั่วชิงพูดก็มีเหตุผล

เหล่านักปราชญ์โบราณถูกห้ามไม่ให้เข้าสู่ส่วนลึกของวิหารแห่งขงจื๊อ และไม่เคยมีใครฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีของล้ำค่าบางอย่างภายในวิหารที่ทำให้นักรบสักคนสามารถก้าวข้ามขั้นสุดท้ายได้

ถ้าของล้ำค่านั้นตกไปอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็จะลงเอยด้วยหายนะ อาจยังไม่เป็นอะไรมากนักถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจยังไม่รู้ตัวตนของจางเซวียนในฐานะปรมาจารย์ฟ้าประทาน แต่หากพวกมันรู้ ก็แน่นอนว่าจางเซวียนจะตกเป็นเป้าหมายแรกของพวกมัน

ด้วยความสามารถของเขา เขาอาจสู้รบกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานได้โดยปราศจากปัญหา แต่หากต้องเผชิญหน้ากับนักปราชญ์โบราณ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือต้องหาทางหลบหนี

ช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของนักปราชญ์โบราณกับจางเซวียนนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะพยายามตอบโต้

รู้ดีว่าหลัวลั่วชิงเป็นห่วงเขา จางเซวียนจึงรับสร้อยคอมาก่อนจะถามอย่างร้อนใจ “ถ้าผมรับสร้อยของคุณมาแล้ว แล้วตัวคุณล่ะ?”

ถ้าสร้อยนี้สามารถปกป้องเขาได้จริงๆ เขาควรจะรับมันไว้หรือ? แล้วหลัวลั่วชิงจะตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า?

“คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ต่อให้ฉันต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ฉันรับมือไม่ไหว ฉันก็ยังหนีได้” หลัวลั่วชิงยืนยัน และดูเหมือนจะไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก เธอเปลี่ยนเรื่องพูด “ก่อนหน้านี้ ฉันเห็นหลัวฉีฉีด้วย”

“ฉีฉี?” จางเซวียนชะงัก “เธออยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”

เขาไม่ได้พบหลัวฉีฉีอีกเลยนับตั้งแต่ทั้งสองแยกจากกันที่ตระกูลหลัว ถ้าหลัวลั่วชิงเห็นเธออยู่แถวนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอตั้งใจมาที่วิหารแห่งขงจื๊อเหมือนกัน?

แต่เมื่อคิดดู ก็พอเข้าใจได้ ในฐานะเจ้าของเครื่องเก็บงำมิติ หลัวฉีฉีมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน ในเมื่อการเปิดวิหารแห่งขงจื๊อเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ก็ไม่แปลกที่เธอจะมาปรากฏตัว

“ใช่…เธอเป็นคนดีนะ” หลัวลั่วชิงรำพึง

“ลั่วชิง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” ได้ฟังเสียงรำพึงของหลัวลั่วชิง จางเซวียนขมวดคิ้ว

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อเราต้องแยกจากกันหลังจากที่วิหารแห่งขงจื๊อเปิด เราอาจไม่มีวันได้กลับมาพบกันอีก” หลัวลั่วชิงพูด

สีหน้าของเธอเรียบเฉยและงามสง่าอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ ความกังวลและความไม่สบายใจปรากฏชัด

เห็นหลัวลั่วชิงกังวล จางเซวียนพยายามปลอบใจ “อย่าห่วงเลย เราจะต้องเอาชีวิตรอดจากภัยอันตรายในวิหารแห่งขงจื๊อและกลับมาพบกันอีกครั้งแน่!”

นับตั้งแต่เขาพบเธอ ดูเหมือนเธอจะคงความสุขุมเยือกเย็นไว้ได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ราวกับว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ทำให้เธอเดือดร้อนใจได้ บางทีก็ดูเหมือนเธอจะแยกตัวออกจากโลกภายนอกเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้หลัวลั่วชิงดูจะสะเทือนใจมาก

เป็นความจริงที่ว่าเขาจะต้องพบเจอกับศัตรูมากมายในวิหารแห่งขงจื๊อ และการทะลุมิติแบบสุ่มนั้นก็มีแต่จะนำทุกคนไปสู่การผจญภัยที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องพบกับอันตราย แต่เขาจะไม่ยอมนิ่งเฉยโดยไม่ลุกขึ้นสู้

ส่วนหลัวลั่วชิง…แม้ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ระดับของจางเซวียน เขาก็ยังไม่อาจมองเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเธอได้ เพียงเท่านี้ก็บ่งบอกชัดแล้วว่าระดับพละกำลังของเธอนั้นน่าพรั่นพรึงกว่าเขามาก

และในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทั้งคู่จะต้องหวาดกลัวอะไร?

“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ เราอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย” หลัวลั่วชิงตอบ เธอยื่นมือออกมาแล้วถามว่า “เครื่องรางลำดับแรกอยู่ไหนล่ะ ขอฉันดูหน่อยได้ไหม?”

“นี่ไง” จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำเครื่องรางน้อยออกมายื่นให้

มันเป็นของล้ำค่าที่พวกเขาได้มาพร้อมๆกัน อย่าว่าแต่หลัวลั่วชิงจะอยากเห็นมันเลย ต่อให้เธออยากได้เครื่องรางนี้ จางเซวียนก็จะมอบให้เธอโดยไม่ลังเล