บทที่ 1058  ผู้ดูแลสุสาน

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

เช้าวันที่11 สิงหาคม..
  ฮู้ว!!
  รุ่งเช้าหลังจากฝึกฝนวิชาเสร็จแล้วหลิงหยุนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แววตาของเขานั้นเป็นประกายสดใส..
  “ระดับกลางขั้นปฐมชี่..ในที่สุดร่างกายของข้าก็ฟื้นคืนสู่สภาพที่สมบูรณ์สูงสุดเหมือนเดิมแล้วสินะ!” หลิงหยุนบอกกับตัวเองด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
  หลังจากที่ทำการรักษาร่างกายและฟื้นฟูอยู่นาน ในที่สุดร่างกายและพลังปราณของหลิงหยุนก็ฟื้นคืนถึงระดับสูงสุดเช่นเดิมแล้ว!
  ภายในร่างกายของหลิงหยุนเวลานี้..จุดตันเถียนได้หมุนกลับด้าน และเกิดกระแสวนหยิน-หยางอยู่ภายใน พลังหยิน-หยางได้พุ่งออกจากดวงตาปลาหยิน และปลาหยางอย่างต่อเนื่องไม่หยุด และไหลเวียนไปทั่วทั้งเส้นลมปราณสามัญสิบสองเส้น กับเส้นลมปราณวิสามัญอีกแปดเส้น..
  หลังจากที่เข้าสู่ขั้นพลังชี่..เส้นลมปราณเยิ่นและเส้นลมปราณตูของหลิงหยุนก็ได้เปิดออก และวันนี้พลังปราณในร่างกายของหลิงหยุนก็สามารถหมุนเวียนรอบใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์
  เส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายของหลิงหยุนและจุดฝังเข็มทั้งหมดนั้น ได้ถูกซ่อมแซมจนฟื้นคืนสู่สภาพสมบูรณ์สูงสุดแล้ว แต่ก็จะแตกต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย เพราะในเวลานี้ตามจุดฝังเข็มของหลิงหยุนทุกจุดนั้น ล้วนมีพลังสีขาวเจิดจ้าซึ่งแม้จะดูอ่อนกำลังมาก แต่ก็บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!
  “หรือว่าพลังประหลาดนี้จะเป็นพลังแห่งศรัทธาที่เคยเล่าขานกันมา..”
  พลังสีขาวและดำของหยินกับหยางและพลังสีทองของปราณมังกร พลังปราณทั้งสามสายเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณทั่วร่างกายได้อย่างราบรื่น ก่อนจะพุ่งตรงเข้าสู่หว่างคิ้วของหลิงหยุน..
  หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ขั้นสุดออกทดสอบและพบว่าในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรนั้น ไม่ว่าจะมีอะไรเคลื่อนไหว จิตหยั่งรู้ของเขาก็สามารถรับรู้ได้ทันที!
  เวลานี้..พลังและความแข็งแกร่งในขั้นปฐมชี่ของหลิงหยุนก็นับว่ามีสภาพที่เสถียรอย่างมาก..
  หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ..จากนั้นจึงยกนิ้วชี้ขึ้นชี้ออกไปที่ต้นไม้ด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างไปราวสองเมตร แล้วเสียงคล้ายกับไฟฟ้าช็อตก็ดังขึ้น..
  จากนั้นสายฟ้าสว่างวาบก็พุ่งออกจากนิ้วชี้ของหลิงหยุนตรงเข้าปะทะกับลำต้นของต้นไม้จนไหม้เกรียมเป็นสีดำ!
  “หึ..หึ..นี่นับเป็นวิธีการสังหารที่โหดเหี้ยมทีเดียว!”
  หลังจากทดสอบจนพอใจแล้วหลิงหยุนก็ฝึกวิชาดาราคุ้มกายต่อ และหลังจากสิ้นสุดการฝึกในวันนั้น หลิงหยุนก็ได้แต่พึมพำกับตัวเอง
  “เม่ยเฟิง..สถานที่แห่งนี้มีความทรงจำที่สวยงามของเราสองคนอยู่มากมาย เจ้ารอข้าอีกหน่อย ข้าต้องไปช่วยเจ้ากลับมาอย่างแน่นอน!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็กระโดดออกมาจากระเบียงห้องและวิ่งตรงไปที่ถนนเพื่อเรียกแท๊กซี่กลับไปยังบ้านเลขที่-1
  หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วหลิงหยนุก็ขับรถตรงไปยังบ้านในอ่าวจิงฉู..
  ……
  วันนี้เป็นวันที่ฉิงฉางชิงกับหลิงหยุนนัดพูดคุยกันสองต่อสอง..
  หลิงหยุนมาถึงที่บ้านราวแปดโมงครึ่งและรีบตรงเข้าไปหาฉินฉางชิงที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องรับแขกพอดี..
  “ท่านปู่ฉิน..หลิงยู่ล่ะครับ”
  ฉินฉางชิงยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“หลิงยู่มีธุระต้องไปจัดการ ก็เลยออกไปข้างนอก บ่ายๆโน่นจึงจะกลับ”
  “วันนี้ก็เหลือเพียงเจ้ากับข้าสองคนเท่านั้น!”
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและรู้ว่าหนิงหลิงยู่จงใจให้ชายชรามีเวลาอยู่กับเขาตามลำพัง..
  “หลิงหยุน..เจ้านั่งลงก่อนสิ!”
  ฉินฉางชิงไม่อยากเสียเวลาอีกและรีบร้องบอกให้หลิงหยุนนั่งลงเพื่อพูดคุยทันที หลิงหยุนเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาตรงข้ามฉินฉางชิง และทั้งคู่ก็กำลังนั่งเผชิญหน้ากัน..
  “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนนี้เป็นเช่นใดบ้าง อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือยัง?”
  “ขอบคุณท่านปู่ฉินที่เป็นห่วง!ข้าหายดีสมบูรณ์เป็นปกติแล้ว!”
  ฉินฉางชิงยิ้มให้หลิงหยนุพร้อมกับตอบไปว่า“เช่นนั้นก็ดี!”
  “หลิงหยุน..ข้ามีบางอย่างจะถามเจ้า เจ้าจะตอบข้า หรือไม่ตอบก็ได้ แล้วแต่เจ้า!”
  หลิงหยุนเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วจึงตอบไปว่า “ท่านปู่ฉินถามมาได้เลย ข้ายินดีจะตอบท่านปู่ทุกเรื่อง!”
  “เวลานี้เจ้าอยู่ในขั้นใดแล้ว”
  หลิงหยุนตอบกลับอย่างไม่ลังเล“ขอตอบท่านปู่ฉินตามตรง.. เวลานี้ข้าอยู่ระดับกลางขั้นปฐมชี่แล้ว..”
  ฉินฉางชิงกำมือตนเองแน่นพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนนิ่งนานก่อนจะพูดขึ้นว่า “ขั้นปฐมชี่งั้นรึ ดูเหมือนข้าจะคาดเดาได้ถูกต้อง! ที่แท้เจ้าก็คือผู้บ่มเพาะตนเพื่อความเป็นอมตะอย่างแท้จริง..”
  ฉินฉางชิงดูเหมือนจะพอใจในคำตอบของหลิงหยุนเป็นอย่างมาก..
  หลิงหยุนไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้กับฉินฉางชิงเขาจึงได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “ถูกต้อง.. และอาจารย์ของข้าก็คือเจ้าสำนักหมอสวรรค์ที่ท่องไปทั่วยุทธภพ และทั่วโลก! แล้วข้าก็เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของเขา..”
  หลิงหยุนรู้ดีว่าความก้าวหน้าอันน่าเหลือเชื่อของตนเองนนั้นย่อมเป็นที่สงสัยคลางแคลงใจของผู้คน ในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะปิดบัง ก็ต้องสร้างหลักฐานที่ดูสมเหตุสมผลสำหรับใช้บอกกล่าวกับชาวยุทธภพ อีกทั้งเขาเองก็ได้ฉายาหมออมตะอยู่แล้ว..
  “ท่านปู่ฉิน..เหตุใดท่านจึงดูไม่ประหลาดใจ หรือตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าข้าคือผู้บ่มเพาะตน ดูท่าท่านคงจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้บ่มเพาะตนในประเทศนี้เป็นอย่างดีสินะ” novel-lucky
  เวลานี้หลิงหยุนใคร่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับผู้บ่มเพาะตนในประเทศนี้ยิ่งนักและดูเหมือนฉินฉางชิงจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะตอบคำถามเหล่านี้..
  ฉินฉางชิงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้หลิงหยุน“ถูกต้อง.. และสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปก็เกี่ยวกับเรื่องผู้บ่มเพาะตนนี่ล่ะ!”
  “ในยุคสมัยนี้..พลังชีวิตในผืนโลกได้ร่อยหรอลงไปมาก ผู้บ่มเพาะตนในประเทศจีนที่ฝึกฝนด้วยวรยุทธนั้น ต่อให้สามารถฝึกไปถึงขั้นเซียงเทียน-9 จนสามารถมีพลังจิต และพลังเหนือธรรมชาติได้ ก็ยังเป็นได้เพียงแค่ปรมาจารย์ที่มีวรยุทธสูงส่งที่สุดเท่านั้น..”
  “หลิงหยุน..เจ้าเองก็เป็นผู้บ่มเพาะตน เจ้าก็ควรจะรู้ว่าพวกเขาแค่ฝึกวรยุทธไปถึงจุดสูงสุดเท่านั้น.. แต่หากไม่มีวิชาบ่มเพาะ พวกเขาจะสามารถฝึกต่อไปจนถึงขั้นอมตะได้อย่างไรกัน”
  “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวข้านั้นเข้าใจได้ถูกต้องหรือไม่”
  หลังจากได้ฟังคำพูดของฉินฉางชิงหลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าเขายังไม่เข้าใจการบ่มเพาะตนที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร แต่ก็นับว่ามีความเข้าใจในระดับหนึ่งทีเดียว!
  “ท่านปู่ฉิน..ที่ท่านกล่าวมาก็ถูกต้อง!”
  วิชาดาราคุ้มกายวิชาคลื่นคงคา วิชาพฤกษาขจี วิชาพลังเย็น วิชาใต้พิภพ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นวิชาที่ใช้ฝึกบ่มเพาะตน..
  ทั้งตี้เสี่ยวอู๋หนิงหลิงยู่ เหมี่ยวเสี่ยวเหมา หลินเมิ่งหาน และเหยาลู่ ก็ล้วนแล้วแต่ฝึกวิชาเหล่านั้น หากไม่นับเรื่องระดับขึ้น ทุกคนก็นับว่าเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะตนที่แท้จริงเช่นกัน!
  “ท่านปู่ฉิน..ไม่ทราบว่าท่านเคยพบเจอผู้บ่มเพาะตนที่แท้จริงในประเทศนี้บ้างหรือไม่”
  ฉินฉางชิงไม่ตอบแต่กลับเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามขึ้นว่า “หลิงหยุน.. ตงเฉี่วยมาอยู่จิงฉูตั้งนาน เจ้ารู้เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลฉินมากน้อยเพียงใด”
  หลิงหยุนส่ายหน้าและตอบกลับด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ท่านปู่ฉิน.. ข้าไม่รู้อะไรเลย น้าหญิงไม่ได้เล่าอะไรให้ข้าฟังมากนัก!”
  ฉินฉางชิงพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม“แล้วเจ้ารู้จักสุสานฉินซือหวงหรือไม่”
  สุสานฉินซือหวงงั้นรึ
  หลิงหยุนถึงกับใจสั่นและรีบตอบกลับทันที “สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ที่ข้าเคยเรียนในประวัติศาสตร์จีน ข้าย่อมรู้จัก..”
  และคำพูดประโยคต่อมาของฉินฉางชิงก็ทำให้หลิงหยุนถึงกับต้องลุกขึ้นยืนและนิ่งเป็นหินไปทันที..
  “ตระกูลฉินของเราได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลสุสานฉินซือหวงนี้มานานมากกว่าสองพันปีแล้ว!”
  “อะไรนะ!”
  ดวงตาของหลิงหยุนเบิกโพลงด้วยตกใจและนิ่งอึ้งไปนาน!
  ‘ที่แท้ตระกูลฉินก็คือผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลสุสานฉินซือหวงเองงั้นรึ’
  ‘มิน่า..ตระกูลนี้จึงได้แซ่ฉิน! อีกทั้งฉินฉางชิงยังรู้และเข้าใจในเรื่องของผู้บ่มเพาะตนที่แท้จริงด้วย ตลอดสองพันปีที่ผ่านมา คงจะมีความลับมากมายทิ้งไว้เบื้องหลัง!’
  “เจ้านั่งลงก่อน..แล้วค่อยๆคุยกัน!”
  หลิงหยุนนั้นยังคงอยู่ในอาการตกใจแต่ฉินฉางชิงกลับสงบนิ่งอย่างมาก ราวกับกำลังพูดคุยกันในเรื่องทั่วๆไป..
  “หลิงหยุน..ความจริงเรื่องนี้ตระกูลเย่กับตระกูลหลงในปักกิ่งต่างก็รู้กันดี จึงไม่ได้เป็นความลับอะไร!”
  “และที่ข้าบอกเจ้าก็เพื่อให้เจ้าได้รู้เอาไว้เท่านั้นแต่เรื่องที่ข้าจะพูดกับเจ้าในวันนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้!”
  หลิงหยุนนั่งนิ่งและดูเหมือนฉินฉางชิงจะไม่ต้องการพูดเรื่องนี้มากนัก..
  ระหว่างที่รอให้หลิงหยุนนั่งลงอีกครั้งฉินฉางชิงก็พูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. เจ้ายังจำเรื่องที่ข้าบอกกับเจ้าเมื่อสองสามวันก่อนได้หรือไม่ ข้ารับปากจะเล่าเรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อนให้เจ้าได้รู้!”
  หลิงหยุนทำสีหน้าจริงจังพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าจำได้..”
  แล้วความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นในแววตาของฉินฉางชิง“เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว..”
  เมื่อสิบแปดปีที่แล้วนั้น..หลังจากที่ฉินจิวยื่อได้เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน นางก็ได้ออกมาท่องยุทธภพตามลำพัง และในการออกมาท่องยุทธภพในครั้งนั้น ก็ทำให้นางได้รู้จักกับบุรุษผู้หนึ่งนามว่าหนิงเทียนหยา..
  หนิงเทียนหยาเป็นชายหนุ่มรูปงามเมื่อทั้งคู่ได้พบกัน ต่างก็ตกหลุมรักกันและกันทันที..
  ในครั้งนั้นทั้งคู่ยังเป็นเพียงหนุ่มสาวอายุยี่สิบปีเท่านั้นหลังจากที่ได้เปิดใจให้กันและกันแล้ว ทั้งสองคนต่างก็ก้าวข้ามเส้นกั้นระหว่างชายหญิง ในที่สุดฉินจิวยื่อก็ตั้งท้อง และเรื่องนี้ก็ได้ร่ำลือไปทั่วทั้งยุทธภพ แต่เรื่องราวต่อจากนั้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น!
  เพราะกลับกลายเป็นว่าหนิงเทียนหยานั้นเป็นทายาทของตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งซึ่งก็คือตระกูลหนิง!
  ไม่เพียงแค่หนิงเทียนหยาต้องกลับไปตระกูลหนิงแต่ครอบครัวของหนิงเทียนหยายังได้เดินทางมาที่ตระกูลฉินแจ้งข่าวว่า.. ตระกูลหนิงได้หมั้นหมายหญิงสาวผู้หนึ่งให้แต่งงานกับหนิงเทียนหยาไว้แล้ว..
  เรื่องนี้จึงนับเป็นโศกนาฏกรรมของหนิงเทียนหยากับฉินจิวยื่อทั้งคู่ได้ตัดสินใจหนีตามกันไป หนิงเทียนหยานั้นตัดสินใจออกจากตระกูลหนิงเพื่อหนีไปอยู่กินกับฉินจิวยื่อ..
  และการตัดสินใจของหนิงเทียนหยาในครั้งนั้นก็ได้ทำให้ตระกูลหนิงสร้างความบาดหมางใจให้กับหญิงสาวที่ได้หมั้นหมายไว้..
  “หญิงสาวที่ตระกูลหนิงหมั้นหมายไว้ให้กับหนิงเทียนหยาก็คือบุตรสาวของเจ้าสำนักกระบี่เทวะเทียนซัน”
  เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้..ฉินฉางชิงก็หยุดนิ่งไป และดวงตาคู่นั้นก็ปรากฏร่องรอยของความอัปยศอดสูใจอย่างมาก