“ท่านปู่ฉิน..บุตรสาวเจ้าสำนักกระบี่เทวะเทียนซันคือใครรึ”
หลิงหยุนเอ่ยถามชื่อบุตรสาวของเจ้าสำนักกระบี่เทวะด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเมื่อได้เห็นสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดของฉินฉางชิง..
“ตี๋..เสี่ยว.. เจิน..”
ฉินฉางชิกัดฟันแน่นและค่อยๆ เค้นชื่อของบุตรสาวเจ้าสำนักกระบี่เทวะรอดไรฟันออกมาทีละคำ..
“ตี๋เสี่ยวเจิน..”
หลิงหยุนพึมพำชื่อของบุตรสาวเจ้าสำนักกระบี่เทวะออกมาแล้วจึงถามต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไม่ต่างกันจากเมื่อครู่
“ดูท่าตี๋เสี่ยวเจินผู้นี้คงจะไม่ยินยอมให้หนิงเทียนหยาออกจากตระกูลหนิงและล้มเลิกการหมั้นหมายสินะ”
ฉินฉางชิงพยักหน้าด้วยความโกรธแค้น“ถูกต้อง! ครั้งนั้นตี๋เสี่ยวเจินไม่เพียงไม่ยินยอมให้หนิงเทียนหยาล้มเลิกการหมั้นหมาย แต่นางยังเกลียดชังและเคืองแค้นจิวยื่อเป็นอย่างมากด้วย!”
“ครั้งนั้น..จิวยื่อได้ไปอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลหนิง ตี๋เสี่ยวเจินได้พาคนของสำนักกระบี่เทวะไปบุกตระกูลหนิง และต้องการที่จะสังหารจิวยื่อเพื่อสังเวยความเคียดแค้นของตนเอง..”
หลิงหยุนฟังฉินฉางชิงเล่ามาถึงตอนนี้แววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่งกว่าเดิม สายตาของเขานั้นคมกริบราวกับกระบี่ และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ
“แล้วยังไงต่องั้นรึ”
“จิวยื่อที่ในเวลานั้นอยู่ในตระกูลหนิงเมื่อได้รู้ว่าหนิงเทียนหยามีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว นางก็ได้แต่ผิดหวัง และเจ็บปวดใจอย่างที่สุด.. ”
“คนของสำนักกระบี่เทวะนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้บ่มเพาะตนทั้งสิ้น ตระกูลหนิงเองก็ไม่กล้าสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับสำนักกระบี่เทวะ เมื่อตี๋เสี่ยวเจินพบจิวยื่อ นางก็ซัดฝ่ามือเข้าใส่จิวยื่อจนกระอักเลือด และได้รับบาดเจ็บสาหัสในทันที..”
หลิงหยุนนั่งฟังด้วยหัวใจที่เจ็บปวดอย่างที่สุดและถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“หนิงเทียนหยาล่ะเหตุใดเขาจึงไม่ขัดขวางตี๋เสี่ยวเจิน?”
ฉินฉางชิงถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าไปมาและเล่าให้หลิงหยุนฟังต่อด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด
“ขัดขวางงั้นรึต่อให้หนิงเทียนหยากับจิวยื่อร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตี๋เสี่ยวเจินเลย! เช่นนั้นแล้วจะขัดขวางนางได้อย่างไรกัน?”
“แล้วคนของตระกูลหนิงล่ะไม่มีใครออกหน้าเลยงั้นรึ?”
“การหมั้นหมายระหว่างหนิงเทียนหยากับตี๋เสี่ยวเจินเป็นการตกลงระหว่างผู้นำตระกูลหนิงกับเจ้าสำนักกระบี่เทวะ ในเมื่อหนิงเทียนหยาเป็นผู้ผิดข้อตกลง และเป็นฝ่ายต้องการล้มเลิกการหมั้นหมาย ตระกูลหนิงยังจะกล้าออกหน้าอะไรได้อีกรึ”
ฉินฉางชิงยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนเองคล้ายกับต้องการจะปิดบังร่องรอยความเจ็บปวดที่ปรากฏออกมาทางสีหน้า เพราะไม่ต้องการให้หลิงหยุนเห็น
“ครั้งนั้น..ลูกสาวของข้าต้องเผชิญกับความทุกข์ยากถึงเพียงนั้น แต่ข้าซึ่งเป็นพ่อกลับไม่รู้อะไรเลย!”
ลูกสาวที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจถูกทำร้ายถึงเพียงนั้นแต่ผู้เป็นพ่อกลับไม่รู้เรื่องราว และไม่มีโอกาสได้ช่วยเหลืออะไร เรื่องราวเมื่อสิบแปดปีก่อนนี้จึงเปรียบเสมือนมีดแหลมคมที่คอยกรีดหัวใจของชายชราทุกครั้งที่คิดขึ้นมา..
สีหน้าท่าทางของหลิงหยุนเวลานี้ตรงข้ามกับฉินฉางชิงอย่างสิ้นเชิงเวลานี้หลิงหยุนกลับสงบนิ่งจนดูน่ากลัว!
“เอาล่ะ..อย่าได้สนใจตระกูลหนิง! ท่านปู่เล่าให้ข้าฟังต่อว่าหลังจากนั้นเป็นเช่นใด”
ฉินฉางชิงยกมือขึ้นปาดน้ำตา“แต่นับว่ายังโชคดีที่หนิงเทียนหยานั้นมีใจรักจิวยื่ออย่างแท้จริง เขายอมเอาชีวิตของตนเองเข้าแลก เพื่อช่วยแม่ของเจ้า..”
“ครั้งนั้นเพื่อช่วยชีวิตของจิวยื่อ..หนิงเทียนหยาถึงกับยอมให้ตี๋เสี่ยวเจินบังคับกรีดเลือดสาบานต่อหน้าจิวยื่อว่า ชั่วชีวิตของเขานับจากนั้นจะไม่พบหน้าจิวยื่ออีก!”
“แต่เรื่องนี้ข้าเองก็คิดไม่ตำหนิใคร..เพราะทั้งสองคนนั้นได้ถูกหมั้นหมายกันมาก่อน จิวยื่อเป็นฝ่ายมาทีหลัง และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็นับว่าเป็นความผิดพลาดของจิวยื่อที่ก่อขึ้นด้วยตัวเอง..”
“เพียงแต่…”
สีหน้าของฉินฉางชิงเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาทันทีและกัดฟันพูดออกมาอย่างคับแค้นใจ
“แต่กลับคิดไม่ถึงว่า..ตี๋เสี่ยวเจินจะน่ากลัวและร้ายกาจถึงเพียงนั้น หลังจากที่หนิงเทียนหยากรีดเลือดสาบานต่อหน้าจิวยื่อแล้ว นางก็ประกาศแต่งงานกับหนิงเทียนหยาทันที!”
การกระทำของตี๋เสี่ยวเจินก่อนหน้านี้นั้นยังพอเข้าใจได้ว่านางทำไปเพราะความคับแค้นใจแต่การประกาศแต่งงานต่อหน้าฉินจิวยื่อนั้น เท่ากับเป็นการจงใจสร้างความอัปยศอดสูให้กับนางอย่างที่สุด!
หลิงหยุนถามต่อทันที“ท่านปู่ฉิน.. นี่ท่านกำลังจะบอกข้าว่าตี๋เสี่ยวเจินต้องการให้แม่ของข้าเห็นนางแต่งงานกับหนิงเทียนหยาด้วยตาตัวเองงั้นรึ”
ฉินฉางชิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ“จะเป็นอื่นไปได้อย่างไรเล่า”
“เวลานั้นต่อให้แม่ของเจ้าอยากจะหนีออกมาจากที่นั่งก็คงยากที่จะทำได้!”
หลิงหยุนได้ฟังก็ถึงกับโกรธจนหน้าเครียดและได้แต่ร้องตะโกนออกมา “ผู้หญิงคนนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก!”
ฉินฉางชิงเล่าต่อ“เฮ้อ.. ตอนนั้นจิวยื่อคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือฆ่าตัวตาย! แต่นางผู้หญิงชั่วช้านั่นกลับข่มขู่แม่ของเจ้าว่า หากจิวยื่อกล้าฆ่าตัวตาย นางจะพาคนของสำนักกระบี่เทวะไปทำลายล้างตระกูลฉินให้สิ้นซาก!”
หลิงหยุนถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้นอย่างที่สุด!
“ครั้งนั้น..จิวยื่อจะตายก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่ได้เช่นกัน จึงได้แต่อยู่อย่างกล้ำกลืน และทนดูหนิงเทียนหยากับตี๋เสี่ยวเจินเข้าพิธีแต่งงานกันจนเสร็จสิ้น ตลอดการเตรียมงานจนกระทั่งวันพิธีนั้น ก็กินเวลานานถึงเก้าวัน..
“เรียกได้ว่าตลอดเก้าวันนั้นแม่ของเจ้าต้องทนกล้ำกลืนอยู่อย่างอัปยศอดสูเกินกว่าที่จะรับไหว!”
“หลังจากงานแต่งงานเสร็จสิ้นลงจิวยื่อจึงได้ออกมาจากบ้านตระกูลหนิง.. ”
“ครั้งนั้น..จิวยื่อท้อแท้สิ้นหวังอย่างที่สุด นางตั้งใจว่าจะกลับไปยังตระกูลฉินเพื่อพบกับข้าเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงจะไปหาสถานที่สำหรับฆ่าตัวตาย! แต่เมื่อกลับไปถึงบ้านกลับพบว่าตนเองได้ตั้งท้องหลิงยู่แล้ว..”
“แต่จิวยื่อกลับปิดปากเงียบไม่ยอมบอกใครเพราะรู้สึกผิด และได้แต่ทนทุกข์ใจอยู่เพียงผู้เดียว!”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ฉินฉางชิงก็เอาแต่ร้องไห้น้ำตาไหลพรากพร้อมกับสะอึกสะอื้น..
หลิงหยุนจึงได้ถามต่อว่า“ท่านปู่ฉิน.. แล้วเหตุใดท่านจึงได้รู้เรื่องที่ท่านแม่ของข้าตั้งท้องหลิงยู่”
ฉินฉางชิงตอบกลับด้วยความโมโห“ก็เมื่อครั้งที่จิวยื่อถูกฝ่ามือของตี๋เสี่ยวเจินจนได้รับบาดเจ็บนั้น ตระกูลหนิงได้ให้คนมารักษาอาการบาดเจ็บให้กับนาง จึงพบว่านางกำลังตั้งท้อง..”
“แต่เรื่องนี้ก็ดันไปเข้าหูของตี๋เสี่ยวเจินเข้าจนได้!” ไอลีนโนเวล
“ผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมราวกับปีศาจ..อย่างไรนางก็ไม่ยอมให้เด็กในท้องได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก จึงได้พาคนของสำนักกระบี่เทวะบุกมาที่ตระกูลฉิน และต้องการที่จะสังหารข้ากับคนตระกูลฉินทั้งหมด”
“และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ได้ทำให้ข้ารู้ว่าจิวยื่อกำลังตั้งครรภ์และต้องทนรับกับความอัปยศอดสูมากเพียงใด..”
“เมื่อพวกเราตระกูลฉินได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดทุกคนต่างก็โกรธมาก และสองฝ่ายก็ได้ต่อสู้กันอย่างไม่ยอมแพ้..”
หลิงหยุนแทบไม่ต้องถามถึงผลของการต่อสู้ก็รู้ได้ว่าตระกูลฉินต้องสูญเสียไปมากเพียงใดกับการต่อสู้ในครั้งนั้น..
“อีกฝ่ายนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้บ่มเพาะแม้ครั้งนั้นตระกูลฉินจะนับว่าแข็งแกร่งไม่น้อย และมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียนอยู่มากมาย แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตี๋เสี่ยวเจินกับคนของสำนักกระบี่เทวะมากมายที่นางนำมาด้วย..”
“ตระกูลฉินมีแต่สูญเสียกับสูญเสีย!นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก และหลังจากการสูญเสียครั้งใหญ่ในตอนนั้น ก็ทำให้ตระกูลฉินหมดคุณสมบัติที่จะยืนผงาดเคียงคู่กับตระกูลหลงอีกต่อไป..”
“หลังจากที่ตี๋เสี่ยวเจินเป็นฝ่ายชนะ..นางก็ได้ยื่นข้อเสนอให้เลือกระหว่างทำลายล้างตระกูลฉิน กับทำลายเด็กในท้องของจิวยื่อ”
หลิงหยุนซึ่งอยู่ในท่าทีสงบนิ่งอย่างผิดวิสัยก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “แล้วหนิงเทียนหยาล่ะ เขาถูกจับขังไว้งั้นรึ? จึงไม่ปรากฏตัว..”
“ตี๋เสี่ยวเจินถึงขนาดให้หนิงเทียนหยากรีดเลือดสาบานว่าจะไม่พบหน้าจิวยื่ออีกคิดว่านางจะยินยอมให้เขาตามมาด้วยงั้นรึ”
“แล้วผลสุดท้ายเป็นเช่นไร”
หลิงหยุนพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อสิบแปดปีก่อนได้อย่างชัดเจนแล้วเขาแทบไม่อยากจะฟังอะไรมากไปกว่านี้ เพราะเกรงว่าจะไม่สามารถระงับความโกรธได้..
“เวลานั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าสำนักดาบสวรรค์ได้มาพูดอะไรกับตี๋เสี่ยวเจินจู่ๆ นางก็เปลี่ยนใจ!”
“นางผู้หญิงจิตใจโหดเหี้ยมผู้นั้นได้บอกกับจิวยื่อว่านางจะยอให้จิวยื่อคลอดลูกออกมา แต่ทันทีที่คลอดแล้ว ก็ให้ส่งตัวเด็กไปให้ตระกูลหนิงเป็นผู้เลี้ยงดู!”
หลิงหยุนแสยะยิ้มและพูดขึ้นด้วยเสียงที่เย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม“หึ.. ช่างเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหี้ยมโหดยิ่งนัก!”
หลิงหยุนรู้ได้ทันทีว่าหากหนิงหลิงยู่ลืมตาออกมาดูโลก และถูกนำไปมอบให้กับตระกูลหนิงแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าตระกูลหนิงต้องส่งนางให้กับตี๋เสี่ยวเจินเป็นแน่ และเหตุการณ์หลังจากนั้นก็คงยากที่จะคาดเดาได้!
“ข้าไม่สามารถทนเห็นตระกูลฉินถูกทำลายไปต่อหน้าได้จึงได้บอกกับจิวยื่อว่า หลังจากคลอดแล้ว ก็ให้ส่งเด็กไปบ้านตระกูลหนิง..”
“แต่กลับคิดไม่ถึงว่า..จิวยื่อยอมตายดีกว่าจะต้องส่งลูกของตนเองให้กับตระกูลหนิง! นางจึงได้ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า นับจากวันนั้นไป.. นางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลฉินอีกต่อไป และไม่มีสัมพันธ์ใดๆเกี่ยวข้องกับตระกูลฉินอีก ที่สำคัญ.. นางจะไม่ยอมมอบลูกของนางให้กับผู้ใดทั้งนั้น!”
“ข้ารู้ว่าจิวยื่อเองก็ไม่มีหนทางอื่นแล้วนางจึงจำต้องประกาศตัดสัมพันธ์กับตระกูลฉิน เพื่อให้ตี๋เสี่ยวเจินไม่มาสร้างปัญหาให้กับตระกูลฉินอีก..”
“เมื่อตี๋เสี่ยวเจินเห็นเช่นนั้นนางก็คิดที่จะลงมือฆ่าจิวยื่อในทันที แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหนิงเทียนหยาจะให้คนส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้กับตี๋เสี่ยวเจิน”
“สีหน้าของตี๋เสี่ยวเจินเปลี่ยนไปในทันทีหลังจากที่อ่านข้อความในจดหมายฉบับนั้นนางไม่ลงมือสังหารจิวยื่อ และได้ประกาศต่อหน้าคนตระกูลฉินว่า..”
“ในเมื่อลูกในท้องของจิวยื่อเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลหนิงจึงไม่สามารถปล่อยให้สายเลือดตระกูลหนิงต้องเร่ร่อนอยู่นอกตระกูลได้ อีกสิบแปดปีนางจะส่งคนมารับลูกสาวของจิวยื่อกลับเข้าตระกูลหนิง..”
“แต่หลังจากนั้นข้าจึงได้รู้ว่าจดหมายฉบับนั้นเขียนไว้ว่าหากจิวยื่อตาย หนิงเทียนหยาก็จะขอตายตาม และดูเหมือนครั้งนั้นตี๋เสี่ยวเจินก็จะตั้งท้องอยู่ด้วย..”
หากตี๋เสี่ยวเจินฆ่าฉินจิวยื่อและหนิงเทียนหยาฆ่าตัวตายตาม ลูกในท้องของตี๋เสี่ยวเจินก็จะต้องกำพร้าพ่อ ด้วยเหตุนี้ตระกูลฉินและจิวยื่อจึงได้รอดพ้นหายนะ และหนิงหลิงยู่ก็ได้มีโอกาสออกมาลืมตาดูโลก!
ฉินฉางชิงพูดต่อว่า“จิวยื่อต้องมีชีวิตที่ลำบากลำบนอย่างที่ไม่ควรต้องพบเจอ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ตระกูลฉินของข้าก็ไม่รู้จะทำเช่นไร และได้แต่รู้สึกผิดต่อนาง..”
“แต่ครั้งนั้นจิวยื่อเพิ่งจะอายุเพียงยี่สิบปีแต่กลับท้องไม่มีพ่อ ข้าจึงต้องการให้นางแต่งงานกับใครสักคน.. ”
“แต่คิดไม่ถึงว่าจิวยื่อจะดื้อรั้นถึงเพียงนั้นไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมแต่งงาน และได้สาบานกับข้าว่าชาตินี้จะไม่ยอมแต่งงานกับผู้ใด นางจะคลอดลูกและเลี้ยงดูจนเติบโตด้วยตัวเอง และเพื่อไม่ให้ตระกูลฉินต้องลำบากใจ นางจึงแอบหนีออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ และนับจากวันนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย..”
“และในคืนเดียวกันนั้นฉินตงเฉี่วยในวัยสิบขวบก็ถูกคนของสำนักดาบสวรรค์นำตัวไป และสอนวรยุทธให้!”
สำหรับฉินฉางชิงเหตุการณ์ในครั้งนั้นนับเป็นฝันร้ายของเขาโดยแท้! ตระกูลฉินเกือบจะถูกทำลายล้าง และได้รับความอัปยศอดสูอย่างที่สุด ฉินจิวยื่อประกาศตัดขาดกับตระกูลฉิน และแอบหนีออกจากบ้านไป ส่วนฉินตงเฉี่วยก็ถูกสำนักดาบสวรรค์นำตัวไปนานนับสิบปี..
และนี่คือเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดของตระกูลฉินเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว..
หลิงหยุนได้เข้าใจทั้งหมดแล้วว่า..
เหตุใดตระกูลฉินจึงต้องดีกับสำนักดาบสวรรค์
เหตุใดฉินจิวยื่อต้องทนลำบากลำบนอยู่นอกตระกูลมาถึงสิบแปดปี
และเหตุใดขั้นของนางจึงติดอยู่เพียงแค่นั้นนานถึงสิบแปดปี
สุดท้ายจึงได้รู้ว่าเพราะเหตุใดฉินตงเฉี่วยจึงหมางเมินกับฉินฉางชิง
หลิงหยุนเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที..
“ท่านปู่ฉิน..แล้วเหตุใดท่านแม่จึงต้องออกเดินทางไปที่สำนักกระบี่เทวะด้วย”
หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความสงสัย..
ฉินฉางชิงส่ายหน้า“ข้าเองก็ไม่รู้เหตุผลเช่นกัน แต่สาเหตุเดียวที่ข้าคิดได้ก็คือ น่าจะเกี่ยวข้องกับหนิงเทียนหยา!”