สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าในเวลานี้คล้ายคลึงกับปราสาทโบราณงดงามซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ใต้สระกายสิทธิ์นี้ และจากความใหม่เอี่ยมของกำแพง ราวกับว่าปราสาทโบราณหลังนี้เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายทรงพลังรอบปราสาทบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าปราสาทโบราณหลังนี้ดำรงอยู่มาเนิ่นนานแล้ว
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มิใช่ความเก่าแก่ของปราสาทหลังนี้ หากแต่เป็นความน่าอัศจรรย์ที่มีใครบางคนสร้างประสาทเช่นนี้ขึ้นมาใต้สระน้ำลึกได้
“ดูเหมือนว่า ‘โอกาส’ ที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตนภาเซียนจะอยู่ในปราสาทโบราณหลังนี้”
มารยาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย การที่ใครบางคนนำขวดลายครามบรรลุโอสถหวนคืนอำนาจลงมาไว้ที่นี่ได้และสร้างสระกายสิทธิ์นี้ขึ้นมา การที่จะสร้างปราสาทเก่าแก่โบราณอยู่ใต้สระเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เมื่อเห็นว่าเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ยังไม่มีท่าทีว่าจะทะลวงพลังสำเร็จ ฉินอวี้โม่ก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวตรงเข้าไปใกล้ปราสาทโบราณก่อนออกจากคฤหาสน์พร้อมด้วยปิงเสวียน ฉู่เจี๋ย มารยาและอสูรอื่น ๆ เพื่อเดินเท้าเข้าไปสำรวจในตัวปราสาท
ทันทีที่ก้าวออกจากคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นของสายน้ำทันที
อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่ใช้โอสถคุมวารีแต่อย่างใด ทว่าใช้เพลิงอสูรของซิวเพื่อห้อมล้อมตนเอง ฉู่เจี๋ยและปิงเสวียนไว้
แม้ว่าโดยปกติแล้วธาตุไฟจะพ่ายแพ้ต่อธาตุน้ำ ทว่าเมื่อเผชิญกับเพลิงจักรพรรดิที่ทรงพลังนี้ สายน้ำเย็นรอบบริเวณก็ถดถอยหนีเหมือนมนุษย์ที่เผชิญหน้ากับอสรพิษร้าย ดูราวกับพวกมันหดตัวถอยหลังไปอย่างรวดเร็วและเปิดทางให้กลุ่มคนทั้งสามทันที
ฉินอวี้โม่และสหายร่วมทางทั้งสองไม่รอช้าขณะเดินตรงไปยังประตูทางเข้าของปราสาทเก่าแก่
ปราสาทหลังนี้ก่อสร้างขึ้นมาเป็นเหมือนรูปแบบตะวันตกในชีวิตก่อนของนางซึ่งดูงดงามอย่างยิ่ง กลุ่มของฉินอวี้โม่เดินเข้าไปยังประตูก่อนพบว่าแม้สายน้ำเย็นจะเอ่อท่วมข้างนอก ทว่าข้างในปราสาทหลังนี้กลับไม่มีแม้แต่ร่องรอยของหยดน้ำราวกับว่ามันตั้งอยู่บนพื้นดินที่ราบเรียบตามปกติซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งน่าทึ่งและน่าประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
หากมิใช่เพราะมองออกไปและยังเห็นน้ำที่ท่วมท้นอยู่ข้างนอกประตู เกรงว่าพวกนางคงไม่มั่นใจแล้วว่าตอนนี้ตนเองยังอยู่ในสระกายสิทธิ์อีกหรือไม่
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะมาถึงเร็วเช่นนี้”
ขณะฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กำลังจะเริ่มสำรวจโดยรอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่เฟิ่งซีและเซิ่งเซียวจะเดินนำผู้ติดตามจำนวนหนึ่งออกมาปรากฏกายตรงหน้ากลุ่มของฉินอวี้โม่
เนื่องจากมีจำนวนโอสถคุมวารีที่ไม่มากพอ ในเวลานี้ ข้างกายของเฟิ่งซีและเซิ่งเซียวจึงมีผู้ติดตามเพียงแปดคนเท่านั้นและเมื่อรวมทั้งหมดก็เป็นกลุ่มของคนสิบคน
ก่อนหน้านี้พวกเขาแทบหนาวตายเพราะอุณหภูมิของน้ำในสระกายสิทธิ์และต้องใช้ความพยายามอย่างมากจนกระทั่งค้นพบปราสาทเก่าแก่หลังนี้รวมถึงความแปลกแตกต่างของมัน
ไม่คิดเลยว่าหลังจากเข้ามาเพียงไม่นาน ฉินอวี้โม่และสหายจะบังเอิญตามเข้ามาเช่นกัน สำหรับผู้นำดินแดนเหนือผู้นี้และปิงเสวียน พวกเขามิอาจประมาทได้เลยจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพบว่ามีเพียงฉินอวี้โม่ ฉู่เจี๋ยและปิงเสวียน เฟิ่งซีก็อดยิ้มอย่างผู้ชนะไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ มากันแค่สามคนรึ ? คนอื่น ๆ หายหัวไปไหนกันหมดล่ะ ?”
เขาไม่ทราบเกี่ยวกับคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่ เพราะเหตุนั้นเขาจึงคิดไปว่าการที่นางเข้ามาพร้อมกับสหายเพียงสองคนนั้นเป็นเพราะกลุ่มของพวกนางมีโอสถคุมวารีที่ไม่เพียงพอ
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่มีทางบอกความจริงให้เฟิ่งซีได้ทราบว่าเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ กำลังอยู่ในช่วงของการทะลวงพลังอยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว นางไม่สนใจวาจายั่วยุของอีกฝ่ายแม้แต่น้อยขณะเดินตรงเข้าไปข้างในพร้อมปิงเสวียนและฉู่เจี๋ยข้างกาย
เมื่อเห็นว่าฝ่ายอริมีกันเพียงสามคนเท่านั้น เฟิ่งซีก็ไม่มีทางยอมปล่อยให้พวกนางหลุดมือไปได้ง่าย ๆ
เขาก้าวออกไปขวางหน้าฉินอวี้โม่พร้อมหยิบโอสถออกมาและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ฉินอวี้โม่ เจ้ารู้รึไม่ว่าโอสถเม็ดนี้คืออะไร ?”
เมื่อถูกขวางหน้า ฉินอวี้โม่ก็เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางยกมือปรามฉู่เจี๋ยและปิงเสวียนที่ต้องการลงมือโจมตีขณะมองดูโอสถในมือของเฟิ่งซีและกล่าวตอบ “มันคืออะไรรึ ?”
นางทราบดีว่าโอสถในมือของเฟิ่งซีก็คือโอสถหวนคืนอำนาจเหมือนกับที่นางพบในสระกายสิทธิ์ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ในเมื่ออีกฝ่ายริอาจยั่วยุนางเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ไม่รังเกียจที่จะเล่นไปตามน้ำ
นางเพียงแค่ต้องรอให้เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ทะลวงพลังสำเร็จเสียก่อน หากพวกนางออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว ยิ่งกลุ่มของเฟิ่งซีโอหังมากเพียงใดในตอนนี้ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะยิ่งเจ็บปวดและเสียหน้ามากขึ้นเท่านั้น
“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อเจ้าอยากรู้นัก ข้าก็จะใจดีบอกเจ้าให้เอาบุญ โอสถเม็ดนี้มีชื่อเรียกว่าโอสถหวนคืนอำนาจซึ่งสามารถช่วยให้จอมยุทธ์ขอบเขตเซียนบรรลุขอบเขตพสุธาเซียนได้โดยตรง พวกข้าบังเอิญพบมันในสระกายสิทธิ์ก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันก็มีอยู่ในมือของข้าเพียงสองเม็ดเท่านั้น”
เฟิ่งซียิ้มอย่างผู้ชนะขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยหางตาและกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ดูจากพลังของเจ้าในตอนนี้ เกรงว่าเจ้าคงยังไม่ได้บรรลุถึงขอบเขตพสุธาเซียน มันเป็นโอสถที่ล้ำค่ายิ่งนัก มิใช่ทุกคนที่จะได้มาครอบครองตามใจอยาก มีเพียงผู้เก่งกาจอย่างข้าเท่านั้นที่จะได้ของดีที่พวกเจ้าต่างก็คาดไม่ถึงจากข้างในสระกายสิทธิ์แห่งนี้”
เมื่อได้ยินวาจาหลงและยกยอตนเองของเฟิ่งซี ฉู่เจี๋ยก็แทบอยากจะอาเจียนออกมา
“ข้าเคยพบคนที่หลงตัวเองมาก่อน ทว่าไม่เคยพบผู้ใดที่หลงตัวเองมากเท่ากับเจ้าเลย จงตระหนักถึงพฤติกรรมของตนเสียก่อนและไตร่ตรองดูว่าเจ้ามีบุคลิกนิสัยเป็นอย่างไร ข้าขอแนะนำให้เจ้ารีบพาคนของตนและไสหัวออกไปเสีย อย่ามัวแต่ทำให้ตนเองขายหน้าอยู่ที่นี่ !”
หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ขยิบตาเพื่อส่งสัญญาณมิให้เขากล่าวถึง ‘ของดี’ ที่ฝ่ายตนรวบรวมมาได้ ฉู่เจี๋ยก็คงจะกล่าวออกไปแล้ว
“เจ้าเป็นใคร ?! ริอาจกล่าววาจาสามหาวกับข้าถึงเพียงนี้ !”
ก่อนหน้านี้เฟิ่งซีไม่เห็นฉู่เจี๋ยอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ทว่าตอนนี้การที่จู่ ๆ บุรุษหนุ่มก็กล่าววาจาสามหาวอย่างไม่ไว้หน้า แน่นอนว่าเฟิ่งซีและคนอื่น ๆ ล้วนจับจ้องมาที่เขาอย่างดุร้ายทันที
เมื่อเห็นว่าเจ้าของวาจานั้นทั้งเยาว์วัยและดูอ่อนโยนนุ่มนวล อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งเพียงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้น แน่นอนว่าเฟิ่งซีไม่มีความหวาดหวั่นใด ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงโอหังไม่เปลี่ยนแปลง
“เหอะ การที่ปล่อยให้คนอย่างเจ้ารู้จักชื่อของข้า มันก็คงเป็นมลทินทำให้ชื่อของข้าต้องเสื่อมเสียเปล่า ๆ ไม่ว่าข้าจะมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไรมันก็มิใช่เรื่องของเจ้า จัดการตัวเองและแบกหน้ากลับไปเถอะ อย่าเสนอหน้ามาให้ผู้คนต้องรังเกียจและหวาดกลัวอีกเลย”
ฉู่เจี๋ยไม่เห็นเฟิ่งซีอยู่ในสายตาเลยสักนิด แม้ว่าเฟิ่งซีไม่อ่อนแอไปกว่าตนและยังมาจากขุมกำลังที่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม หลังจากติดตามฉินอวี้โม่มาเป็นเวลานาน ตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดที่ทำให้เขาหวาดหวั่นได้อีกแล้ว
“เจ้าอยากตายรึไง ?!”
เฟิ่งซีโมโหสุดขีดเมื่อได้ยินวาจายั่วยุของบุรุษหนุ่ม ทั้งฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ กล่าววาจาเหยียดหยามเขาหลายครามันก็ทำให้เขาโกรธแค้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยังมีบุรุษหนุ่มอายุน้อยอีกคนที่กล้ากล่าววาจาหยามเกียรติเขาเช่นนี้
“หากวันนี้ข้าไม่ได้สั่งสอนบทเรียนให้เจ้ารู้สำนึก ผู้คนก็คงคิดว่านิกายหงส์มังกรของเราเป็นขุมกำลังที่รังแกได้ง่าย ๆ ! วันนี้หากเจ้าไม่ขอโทษข้า เจ้าอย่าหวังเลยว่าจะได้ออกไปจากที่นี่ !”
ทันทีที่กล่าวจบ เฟิ่งซีก็สั่งคนของนิกายหงส์มังกรเข้าล้อมรอบกลุ่มของฉินอวี้โม่ทันที
แท้ที่จริง เฟิ่งซีมีแผนการของตนเองอยู่ ก่อนหน้านี้คนของฉินอวี้โม่ถือว่าเก่งกล้าไม่น้อย หากทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันอย่างซึ่งๆ หน้า เกรงว่าพวกเขาอาจไม่สามารถเอาชนะได้ ทว่าตอนนี้ฝ่ายฉินอวี้โม่มีเพียงสามคนเท่านั้นในขณะที่ฝ่ายของเขามีกันถึงสิบคน จากสถานการณ์ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งซีเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสมบูรณ์
หากสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อกำจัดอริได้ มันก็ย่อมเป็นผลดีสำหรับนิกายหงส์มังกรของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น การที่กำจัดคนทั้งสามจะทำให้ทั้งดินแดนทางเหนือต้องสะเทือนอีกคราและนครล่าฝันก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน แล้วเขาจะพลาดโอกาสยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นแผนการที่ดี แต่การกำจัดคนทั้งสามก็มิใช่เรื่องง่ายเลย
“เฟิ่งซี จะเสแสร้งพูดจาให้ตนเองดูดีไปทำไมกัน ? หากเจ้าอยากใช้โอกาสนี้ในการฆ่าพวกเราทั้งสามก็กล่าวมาตามตรงเถอะ ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้าจะมีฝีมือสักแค่ไหน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางยกยิ้มมุมปาก เฟิ่งซีผู้นี้คิดจริง ๆ รึว่านางจะไม่ทราบถึงความคิดที่แท้จริงของเขา ?
แม้ตอนนี้กลุ่มของนางจะมีเพียงสามคนและฝ่ายเฟิ่งซีก็ได้เปรียบเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นจริงก็ยังไม่แน่ชัดว่าฝ่ายใดจะพ่ายแพ้หรือคว้าชัยชนะไปได้
“ฮ่า ๆ ๆ ที่นี่คึกคักดีจริงเชียว !”
ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด น้ำเสียงมุ่งร้ายเสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างชัดเจน จากนั้นประตูที่อยู่ไม่ไกลก็เปิดออกและร่างของมังกรเหมันต์ค่อย ๆ ปรากฏตรงหน้าทุกคน
“ไม่คิดเลยว่ามนุษย์อ่อนแออย่างพวกเจ้าจะมีฝีมือพอสมควรและมาถึงที่นี่ได้ก่อนข้า”
หลังจากกวาดสายตามองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มังกรเหมันต์ก็กล่าวขึ้นเบา ๆ มันยังคงรู้สึกถึงความคุ้นเคยที่แผ่มาจากฉินอวี้โม่ทว่าก็ยังนึกไม่ออกเช่นเดิม
“ท่านมังกรเหมันต์ พวกเราเพียงโชคดีเท่านั้น เนื่องจากทราบดีว่าท่านยังมาไม่ถึง เราจึงรออยู่หน้าประตู หากท่านยังไม่ได้เข้าไป แน่นอนว่าพวกเราก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปก่อน”
ต้องกล่าวเลยว่าเฟิ่งซีเป็นคนมีไหวพริบทีเดียว เมื่อตระหนักได้ว่ามังกรเหมันต์เป็นอสูรที่แข็งแกร่งเกินไปและไม่สามารถยั่วยุได้ เขาจึงกล่าวประจบประแจงมังกรเหมันต์เพื่อไม่ให้มันเข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ในตอนนี้ สำหรับ ‘โอกาส’ ที่ยิ่งใหญ่ใต้สระกายสิทธิ์นั้น หลังจากนี้ เขาก็จะต้องแย่งชิงกับมังกรเหมันต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“จิ๊จิ๊ ฉลาดดีนี่”
เมื่อได้ยินวาจาของเฟิ่งซี มังกรเหมันต์ก็มองตรงไปที่เขาทว่ากล่าวตอบรับด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ
โอกาสในสระกายสิทธิ์คือสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้และมันไม่ต้องการเสียเวลาให้ล่าช้าแม้แต่เสี้ยวอึดใจ ในเมื่อมนุษย์ผู้นี้กล่าวว่าให้มันเข้าไปก่อน มันก็จะไม่เกรงใจอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ไปก้าวก่ายเรื่องของพวกเจ้า”
มังกรเหมันต์กล่าวขึ้นเบา ๆ ก่อนเดินตรงเข้าไปข้างใน มิอาจทราบได้เลยว่าโอกาสครั้งสำคัญในสระกายสิทธิ์ซ่อนอยู่ที่ใดในปราสาทโบราณหลังนี้ ทว่ามันก็ต้องเริ่มค้นหาให้ทั่ว
เมื่อมังกรเหมันต์หายไปจากตรงหน้าทุกคน เฟิ่งซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขากังวลว่ามังกรเหมันต์อาจฉุนเฉียวและเริ่มโจมตีพวกเขา เพราะด้วยความแข็งแกร่งของเขาและพวก แม้รวมกันก็มิใช่คู่ต่อสู้ของมังกรเหมันต์แม้แต่น้อย
“ฉินอวี้โม่ มาคุยเรื่องธุระของเราต่อเถอะ… พวกเจ้าจะยอมกล่าวขอโทษดี ๆ หรือต้องการจะนอนจมกองเลือดอยู่ที่นี่ ไม่ว่าพวกเจ้าจะเลือกทางใด พวกข้าก็จะสนองให้ตามนั้น”
เฟิ่งซีจ้องหน้าฉินอวี้โม่และสหายพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่เล็กน้อย
“ขอโทษงั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย้ยหยันเมื่อได้ยินวาจาข่มขู่และกล่าวต่อ “เจ้ากำลังฝันกลางวันอยู่รึ ?”
“หากเจ้าอยากนอนก็กลับไปนอนเถอะ อย่ามาเสนอหน้าอยู่ที่นี่ให้เคืองตาพวกข้าเลย”
ฉู่เจี๋ยกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยเฟิ่งซีอย่างชัดเจน
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะบีบบังคับให้ข้าตัดสินใจเองสินะ ?”
เฟิ่งซีไม่โกรธเคืองเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และฉู่เจี๋ย ทั้งสองฝ่ายสาดวาจาตอบโต้กันไปมาหลายคราและเขาทราบดีว่าหากเป็นเรื่องฝีปากนั้นเขามิอาจเทียบฉินอวี้โม่และเหล่าสหายได้เลย เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่กล่าวสิ่งใดให้ยืดเยื้อและกล่าวข่มขู่ต่อไป
“เจ้าโง่ !”
ฉินอวี้โม่เพียงชำเลืองมองเขา ทว่ากำลังคิดไตร่ตรองอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้มิใช่เวลาที่เหมาะสมกับการต่อสู้อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรแล้วจุดประสงค์ของพวกนางก็คือ ‘โอกาส’ ที่อยู่ใต้สระกายสิทธิ์แห่งนี้
เซิ่งเซียวผู้ซึ่งไม่กล่าวสิ่งใดตั้งแต่ต้นและเพียงมองดูทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน ทว่าจู่ ๆ เขาก็เผยรอยยิ้มบางอย่างมีเลศนัยและเดินออกมาอย่างช้า ๆ
. .